สังขาร
สุภาพบุรุษท่านหนึ่ง มาทำบุญที่วัดพุทธปัญญาสองครั้งแล้ว ได้เล่าให้ฟังว่า รู้จักวัดพุทธปัญญา ด้วยการแนะนำของเพื่อนๆ ผู้ใฝ่ธรรมว่า หากต้องการศึกษาธรรมะชนิดที่เจ้าอาวาสมีเวลาให้เต็มร้อยแล้วละก็ไปวัดพุทธปัญญาซิ เลยมาทดลองดู เมื่อมาแล้วก็ขอถามปัญหาธรรมะสักข้อว่า สังขาร แปลว่าอะไร หมายความว่าอย่างไรครับ
ท่านเจ้าอาวาสจึงตอบว่า คำว่า สังขาร แปลว่า การผสม การปรุงแต่ง การสร้าง ความนึกคิดต่างๆ ทั้งดี ไม่ดี หรือ เป็นกลางๆ ก็เรียกว่าสังขาร
ร่างกายของเราทุกคนก็เรียกว่า สังขาร ปรุงแต่ขึ้นมาจาก ธาตุสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม
หากสังเกตกว้างๆก็จะเห็นได้เลยว่า ธาตุดิน คือ สิ่งที่มีลักษณะแค่นแข็ง จับต้องได้ตามที่ปรากฏชัดออกมาทาง ผม ขน เล็บ ฟัน และหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ลำไส้ ตับ ปอด หัวใจ พังผืด ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หรือสิ่งอื่นๆที่เห็นหรือจับต้องได้
ธาตุน้ำ มีลักษณะเอิบอาบ ซึมซาบแสดงตนออกมาชัดๆทาง น้ำลาย น้ำมูก น้ำตา เลือด น้ำเหลือง เป็นต้น
ธาตุไฟ ปรากฏออกมาเป็นความอบอุ่นของร่างกาย ที่เราสามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นนี้ได้ทางผิวหนัง หรือหากต้องการจะสัมผัสความอุ่นกันชัดๆก็ใช้ฝ่ามือแตะแถวซอกคอ ก็จะได้สัมผัสกับธาตุไฟที่เข้าไปทำหน้าที่ร่วมกันกับธาตุอื่นๆปรุงแต่งร่างกายตามกฎของธรรมชาติ
ธาตุลม ปรากฏได้ ทางลมหายใจออกเข้า ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญชนิดที่ว่า ขาดลมหายใจเมื่อไรก็สิ้นใจเมื่อนั้น
การแยกแยะอย่างนี้เป็นการแยกแยะให้เห็นแบบหยาบๆ ความจริงแล้วในอวัยวะทุกส่วนของร่างกายแม้ชิ้นเล็กๆเช่น ผมหรือขนหนึ่งเส้น ล้วนมีธาตุสี่ประกอบกันเข้าอย่างครบถ้วน
ชีวิตของคนและสัตว์ตลอดถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมเรียกว่า อุปาทินกสังขาร แปลว่า สังขารที่มีใจครอบครอง
บ้านเรือน สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ยวดยานพาหนะ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว แม่น้ำลำคลอง ทะเล มหาสมุทร ล้วนเป็นสังขาร ที่เรียกว่า อนุปาทินกสังขาร แปว่า สังขารที่ไม่มีใจครอง
สาเหตุที่เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า สังขาร เพราะปรากฏขึ้นมาจากการวมตัวของธาตุหรือสิ่งต่างๆที่นำมาประกอบกันเข้า หรือ ประกอบขึ้นมาตามกฎของธรรมชาติทั้งสิ้น
คำว่า ธรรมชาติ แปลตรงตัวว่า เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย กล่าวคือสิ่งต่างๆล้วนเกิดขึ้นมาเพราะมีเหตุให้เกิด จะเสื่อมสลายหรือดับไปก็เพราะมีเหตุให้เสื่อมสลายหรือดับไป
สังขาร ทั้งที่มีใจครอง และสังขารที่ไม่มีใจครองที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ เป็นสังขารฝ่ายรูปธรรม
ส่วนสังขารฝ่ายนามธรรมคือ ความคิด แบ่งเป็นสามกลุ่มคือ คิดดี คิดชั่ว คิด กลางๆระหว่างดีกับชั่ว เช่น เดินเข้าไปเที่ยวในสวนเห็นกระรอกวิ่งผ่าน คนที่ชอบกระรอกก็จะคิดว่า แหมกระรอกตัวนี้น่ารักจริงๆ มาเที่ยววันหลังจะเอาผลไม้มาฝาก
ความคิดที่ว่า จะเอาผลไม้มากฝาก เป็นสังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากกุศล หรือ เป็นสังขารฝ่ายดี เพราะ เป็นความคิดที่ดี
อีกคนหนึ่ง เดินทางไปเที่ยวในสวนแห่งเดียวกัน พอเห็นกระรอกวื่งผ่าน ก็คิดไปว่า แหมกระรอกตัวนี้อ้วนดี น่าจะนำไปทำกระรอกย่าง วันหลังจะนำหนังสติ๊กมาด้วย
ความคิดที่ว่า น่าจะนำไปย่าง และวันหลังจะนำหนังสติ๊กมาด้วยนั้น เป็นสังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากอกุศล อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย นับเป็นสังขารฝ่ายชั่ว
อีกคนหนึ่งเดินเข้าไปเที่ยวในสวนเดียวกันเห็นกระรอกตัวเดียวกัน แต่ไม่ให้ความสนใจเลยเดินผ่านไปเฉยๆไม่คิดดีหรือไม่คิดชั่วกับกระรอกตัวนั้น เพียงรู้ชัดเจนว่า กระรอกตัวนั้นมีรูปพรรณสันฐารอย่างไรครบถ้วน นี้จัดเข้าในสังขารที่เป็นกลางๆ ไม่ถูกความชั่วปรุงแต่งไปในทางชั่ว ไม่ถูกความดีปรุงแต่งไปทางดี รู้แล้วผ่านไปไม่ติดใจ ไม่ประทับใจ ไม่มีความชอบหรือชังแต่ประการใด
จุดนี้เข้ากับกฎธรรมชาติว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเกิดขึ้นแล้วดับไป ตามสำนวนชาววัดว่า เห็นสักว่าเห็น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งหรือแบกยึด ทุกอย่างก็ไหลเรื่อยไปไม่ถ่วงใจให้หนัก หรือยุ่งยากเกะกะแต่ประการใดเลย
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple