วัดพุทธปัญญา

บทความ\อวิชชา

อวิชชา

ลานธรรมวัดพุทธปัญญา เปิดเสวนาทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้าก็ทำวัตรสวดมนต์แปลร่วมกันแล้วฟังธรรม ภาคบ่ายเสวนาเรื่องสุขภาพ กาย ซึ่งในวันที่ 30 กันยายน 2550 คุณหมอเทียนทอง คำพอ เป็นคุณหมอขวัญใจชาวบ้าน จะได้บรรยาย เรื่อง กินอะไรถึงสวย ตั้งแต่เวลา 13.00 น . เป็นต้นไป

ฟังคุณหมอบรรยายเรื่องสุขภาพกายเสร็จแล้ว ติดตามมาด้วยเรื่องสุขภาพจิต ด้วยการนำเอาซีดีคำบรรยายของท่านอาจารย์พุทธทาสมาเปิดฟังและนั่งสมาธิกันไปหนึ่งชั่วโมง ใครมีปัญหาอะไรก็เสวนากันต่อ เพื่อให้ลานธรรมแห่งนี้เป็นสถานที่ศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง

อุบาสกท่านหนึ่งตั้งคำถามว่า ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยอธิบายคำว่าอวิชชาอย่างง่ายๆ ที่นำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันให้ฟังสักครั้ง เพื่อจะได้เป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตต่อไป

ประธานลานธรรมขยับจีวร แถลงว่า คำว่า อวิชชา แปลว่า ความไม่รู้

หากจะวิ่งเข้าสู่หัวใจพระพุทธศาสนากันตรงๆชนิดไม่อ้อมค้อมเลยก็จะหมายความถึง ความไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ทางแห่งความดับทุกข์ หรือไม่รู้ทางที่จะป้องกันมิให้ทุกข์เกิด

ความทุกข์ในที่นี้ หมายถึง ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความอึดอัดใจ ความหนักใจ ความระทมใจ ซึ่งเป็นสภาวะที่ทุกคนเคยประสบมาแล้วแต่อดีตและสัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่บางทีอาจจะเคยชินไปเสียแล้ว เวลาเกิดความทุกข์เล็กๆน้อยๆจึงมิได้สักเกต จะรู้สึกเฉพาะทุกข์หนักๆเช่นทุกข์เกิดจาก การพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งของที่รักที่ชอบใจ หรือเวลาปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา ก็ล้วนเป็นทุกข์ที่สัมผัสได้

นอกจากนั้นความทุกข์ที่เกิดจากความไม่พอใจอะไรเล็กๆน้อยๆเช่นรถติดไฟแดง บ่อยๆทั้งๆที่อยากไปถึงจุดหมายเร็วๆ ก็มิคอ่ยได้สังเกตนัก บางทีแม้ความทุกข์หนักๆที่ตนได้รับก็ไม่รู้ตัวว่า มันเป็นทุกข์ ไม่ได้ให้ความสนใจ จึงไม่รู้จักว่า ทุกข์เป็นอย่างไร

ความไม่รู้จัก ความไม่สนใจนี้แหละเรียกว่า อวิชชา

ความไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ก็เป็น อวิชชา อีกอย่างหนึ่ง เวลาเป็นทุกข์ บางคนแสวงหาเหตุแห่งทุกข์ว่า มาจากไหน มาอย่างไร แต่บางคนไม่แสวงหาเหตุ หรือเข้าใจเหตุแห่งความทุกข์ที่ไกลตัวออกไป มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ เช่นเข้าใจว่า ความทุกข์เกิดจากดวงไม่ดี ไม่รู้เหมือนกันว่า ดวงคืออะไร มันอยู่ที่ไหน

บางคนเข้าใจว่า ความทุกข์มาจากพระพรหมลิขิตมาสมบูรณ์แล้ว แก้ไขไม่ได้ ก็ปล่อยเลยตามเลย ส่วนคนที่เข้าใจว่า ดวงไม่ดี มีคนสถาปนาตัวเองเป็นนักแก้ดวง เมื่อไม่รู้ความจริงก็ถูกต้มถูกตุ๋นกันไป แก้ดวงเท่าไรความทุกข์ก็มีอยู่เท่าเดิม นี้คือไม่รู้ว่าเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างไร ก็นับเป็น อวิชชา อีกประเภทหนึ่ง

ความไม่รู้ถึงความไม่เกิดแห่งทุกข์ ความทุกข์นั้นแท้จริงอยู่ในกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป แต่เมื่อใจว่างจากความทุกข์ ปลอดทุกข์ ไม่มีทุกข์ สงบเย็นตามธรรมชาติก็มิได้สังเกต เข้าใจผิดไปว่าเกิดมาชาตินี้ต้องทนทุกข์ทรมานไปทั้งชาติ ทั้งๆที่ความทุกข์มิได้จับอยู่ที่ขั้วหัวใจตลอดเวลา เมื่อไม่รู้ว่า ความว่างแห่งกิเลสเป็นอย่างไร จิตใจเบาโล่งโปร่งสบายเป็นอย่างไร นี้ ก็นับเป็น อวิชชา อีกอย่างหนึ่งคือไม่รู้ ความไม่เกิด แห่งทุกข์

เมื่อไม่เข้าใจว่า ทุกข์คืออะไร เหตุแห่งทุกข์คืออะไร ความไม่ทุกข์มีหรือไม่ จึงไม่ทราบถึงทางเดินไปสู่ความไม่ปรากฏแห่งทุกข์เช่นกัน

วิธีปฏิบัติเพื่อลด อวิชชา คือ การเจริญสติ มองดูใจตามที่เป็นจริงอย่าสม่ำเสมอ เวลาที่เป็นทุกข์ก็อย่าลืมมองเข้าไปสัมผัสรสชาติของมัน ว่าเป็นอย่างไร ตั้งอยู่นานแค่ไหน มองดูสาเหตุแห่งทุกข์นั้นว่ามาจากไหน และเมื่อเวลาทุกข์ผ่านพ้นไปก็อย่าลืมเฝ้าดูว่า ขณะนั้นใจเป็นอย่างไร และจุดเริ่มต้นที่จะเดินไปสู่ความไม่มีทุกข์คือ ความเข้าใจตามความเป็นจริงชัดๆว่าอะไรเป็นอะไร ผ่านประสบการณ์ตรงที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิอันเป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งความไม่ทุกข์

สติ สัมมาทิฎฐิ และปัญญา จึงเป็นธรรมะฝ่ายสว่าง อยู่ตรงกันข้ามกับความมืด เมื่อแสงสว่างปรากฏ ความมืดหายไปฉันใด เมื่อสติ สัมมาทิฎฐิ และปัญญา ปรากฏ อวิชชาก็หายไปฉันนั้น

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple