วัดพุทธปัญญา

บทความ\แปดปีที่วัดพุทธปัญญา

แปดปีที่วัดพุทธปัญญา

            วันที่ 22 เมษายน 2545 ฉันได้รับนิมนต์มาที่วัดพุทธปัญญา เพื่อแก้ปัญหาความแตกแยกภายในวัดที่สะสมกันมานาน จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งก็ระเบิดออกมา เป็นผลให้ต่างฝ่ายต่างเดินออกจากวัดกันไป สาเหตุสำคัญของความขัดแย้งก็คล้ายๆกับความขัดแย้งในที่อื่นๆคือ ความขัดแย้งทางความคิด และทิศทางการพัฒนาวัด ที่ต่างคนต่างก็มีแนวความคิดเป็นของตัวเอง ต่างคนต่างยึดถือว่า ความคิดของตนเองถูกต้อง ไม่ยอมปรับเข้าหากัน จึงเดินทางไปด้วยกันไม่ได้ ทั้งๆที่ทุกคนเป็นคนดี มีความปรารถนาดีต่อวัดอยากเห็นความก้าวหน้าของวัดของพระพุทธศาสนาด้วยกันทั้งนั้น แต่ต้องเป็นแนวทางที่ตนเองชอบ หรือหากจะเรียกตามภาษาหลวงพ่อพุทธทาสก็เรียกว่า โรคตัวกูขึ้นใจ หากถอดถอนออกไม่ได้ปล่อยให้คาราคาซังอยู่ก็จะสร้างความอึดอัดขัดเคืองทะเลาะเบาะแว้งและขัดแย้งกันได้ทุกหนทุกแห่งทุกเมื่อ

            คณะกรรมการเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนพุทธศาสนิกชนที่เคยทำบุญสนับสนุนวัดก็จากไปอย่างไม่หวนคืนทีเดียว จำได้ว่า เมื่อมาอยู่ได้เพียงไม่กี่วันก็ถึงวันที่ 11 พฤษภาคม 2545 จึงได้จัดงานเสวนาธรรมเพื่อเป็นธรรมสมโภชฉลองวันเกิด หลวงพ่อปัญญานันทะ เพื่อจะได้ร่วมกันศึกษาวิถีธรรมของพระมหาเถระที่อุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา มีผู้มาร่วมงานทั้งคณะกรรมการและพุทธศาสนิกชนทั่วไปรวมได้จำนวน 9 คน

            หากจะจัดทำบัญชีสิ่งที่วัดมีอยู่ตามความทรงจำ ก็จะ มีความขัดแย้ง มีทรัพย์สินเป็นเงินสด 50,000 กว่าดอลล่าร์ มีที่ดินหนึ่งผืน มีหนี้สิน 95,000 ดอลล่าร์ มีกรรมการและพุทธศาสนิกชนที่ไม่กลัวความขัดแย้งจิตใจเข้มแข็งที่ยังยืนหยัดเหลือติดวัดอยู่อีก 9 คน

            ถ้าในสภาวะปกติ ไม่มีความขัดแย้งใดๆกันเลย วัดที่มีทรัพย์สินและหนี้สินขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตที่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแต่ประการใด หากยังมีพุทธศาสนิกชนวนเวียนมาทำบุญอยู่ไม่ขาดสายไม่นานก็จะสามารถจ่ายหนี้ค่าที่ดินได้ไม่ยากนัก แต่เมื่อคนส่วนใหญ่พากันถอนตัวไปแล้วนี้ซิ อย่าว่าแต่เงินตั้งสามสี่หมื่นที่จะนำมาสมทบเพื่อจ่ายค่าที่ดินซึ่งจะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่มหึมาน่ากลัวขึ้นมาทันที แม้แต่เงินที่จะจ่ายค่าน้ำค่าไฟประจำเดือนอย่างเดียวยังยังติดๆขัดไม่ราบรื่นแน่นอน

            สถานการณ์ตรงนี้ใครจะนำมาเป็นบทเรียนขององค์กรต่างๆหรือของประเทศก็ได้ว่า แม้สถานที่นั้นจะสะดวกสบายตามสมควรแต่หากความขัดแย้งที่ตกลงกันไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อไร ทรัพย์สินที่มีอยู่จะไร้ค่าไปในพริบตา ไม่สามารถจะนำพาองค์กรไปได้เลย

            ประเทศไทยที่แสนจะอุดมสมบูรณ์ของเรา อยู่กันมาชั่วลูกชั่วหลานอย่างมีความสุข หลายร้อยปี แต่พอชนในชาติขัดแย้งกันอย่างแรงชนิดที่ไม่สามารถจะประนีประนอมกันได้ ทรัพยากรและความอุดมสมบูรณ์ทั้งหลายที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งก็หมดราคาไร้ค่าไปในพริบตา เมืองไทยเป็นประเทศที่ยังมีสีเขียวอยู่อีกมาก คนทั่วโลกชอบไปชื่นชมสีเขียวของธรรมชาติและชิมผลไม้นานาพันธุ์เสมือนได้เยือนแดนสวรรค์แห่งผลไม้ แต่พอความขัดแย้งทางการเมืองปะทุขึ้นมาแต่ละครั้ง นักท่องเที่ยวก็จะหยุดไปทันที ปล่อยสวนสวรรค์ให้สัตว์นรกกัดกันจนแทบจะวอดวายกันไปทั้งสวน

            เมื่อปัญหาหลักของวัด คือ ความขัดแย้งทางความคิด เมื่อจะแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจของพระพุทธเจ้าก็ต้องแก้ที่ตัวเหตุแห่งทุกข์คือ ความขัดแย้ง การแก้ปัญหาความขัดแย้งในโลกนี้มีหลายวิธี แต่ละวิธีก็เหมาะสมที่จะใช้ไปแก้ไขในสถานที่แต่ละแห่ง จะใช้ตัวแบบการแก้ไขของแห่งหนึ่งไปแก้อีกแห่งหนึ่งย่อมไม่ได้

            วิธีการที่ชัดที่สุดที่จะต้องทำก่อนคือ ขจัดความขัดแย้งที่มีอยู่ให้หมดไป ระวังไม่ให้ความขัดแย้งใหม่ๆเกิดขึ้นอีก การอภัย ความรัก ความอดทน เป็นหลักธรรมสำคัญที่จะต้องปฏิบัติร่วมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างกันอันจะเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งด้วยความรักและความอดทน หลีกเลี่ยงกิจกรรมใดๆที่จะเป็นเหตุให้กระทบกระทั่งอันจะนำไปสู่ความขัดแย้งอีก ดูแลรักษาทุกคนที่มีความรู้สึกแห่งความเป็นตัวตนและความยึดมั่นถือมั่นสูงด้วยความไม่มีตัวตนและความปล่อยวาง ไม่เก็บมาสร้างจินตนาการแห่งการต่อสู้เพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้หรือชนะ แต่เน้นการอยู่ร่วมกันอย่างพี่น้องที่อาจจะมีความเห็นต่างกันบ้างแต่พร้อมที่จะอภัยให้แก่กันและกันเสมอ เพราะเรารักกันกำลังร่วมกันสร้างความดี

            การบริหารวัดหรือองค์กรศาสนา หากถือธรรมเป็นใหญ่ คือ นักการศาสนาที่อยู่ในวัดและพุทธศาสนิกชนที่เดินเข้ามาวัดชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อจุดประสงค์ทางศาสนาโดยตรงความขัดแย้งหรือปัญหาใดๆจะไม่เกิดขึ้น แต่หากต่างคนต่างถือตัวตนเป็นใหญ่ หรือถือตนเป็นศูนย์กลาง จะสร้างความขัดแย้งได้ง่าย

            ด้วยตระหนักถึงความจริงข้อนี้ จึงบอกกล่าวแก่พุทธศาสนิกชนทุกคนว่า ทั้งพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน หากเข้าวัดเพื่อการศึกษา ปฏิบัติและเผยแผ่พระธรรม จะไม่มีทางเกิดปัญหาใดๆขึ้นเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า พระธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม หรือพระธรรมที่ปฏิบัติดีแล้วนำความสุขมาให้

            บนหลักการนี้ ใครที่เคยมาร่วมกิจกรรมวัดพุทธปัญญาเป็นเวลาแปดปีล่วงมาแล้วจึงพบว่า กิจกรรมวัดพุทธปัญญา ไม่มีอะไรใหม่นอกจากวนเวียนอยู่กับสวดมนต์แปลบ้าง ไม่แปลบ้าง นั่งสมาธิ ฟังธรรม สนทนาธรรมและเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกที่นำมาเป็นอุทาหรสอนธรรมกันสดๆ เหตุการณ์รุนแรงต่างๆทั่วโลกก็เป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ธรรมะว่า เป็นการสะท้อนภาพของกิเลสสามกองคือ โลภะ โทสะ และโมหะ ที่สะสมกันมานานที่เรียกว่า อนุสัย และไหลออกมาเป็นสงคราม เป็นการบราฆ่าฟันกัน โกงกินคอรัปชั่นกัน ซึ่งอยู่ในขั้นที่เรียกว่า อาสวะ

            เมื่อกิเลสเหล่านี้ได้ไหลออกมาเสียบ้างก็ค่อยทุเลาความดิ้นลงได้หน่อยนึง แต่ถ้าหากยังไม่รู้ตัวไปเก็บสะสมและส่งเสริมอีก ก็จะมีปริมาณมากขึ้นจนเน่าและไหลออกมาอีก ซึ่งสร้างควาทุกข์ทรมานแสนสาหัสให้ตนเองบ้างให้ผู้อื่นบ้าง พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้ระวังใจเพื่อไม่ให้รับกิเลสเข้าไปหมักหมมมากเกินไป จะก่อทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นอย่างไม่มีที่สุดและจุดจบ

            ในทางตรงกันข้ามพระพุทธเจ้าตรัสว่า การสะสมบุญนำความสุขมาให้ เป็นการเปลี่ยนของที่จะสะสมในใจ เหมือนภาชนะใบหนึ่งถ้านำเนื้อหรือปลามาดองไว้ ก็จะเหม็นและไหลเยิ้มในที่สุด แต่ถ้าเก็บแก่นจันทร์และกำยานยิ่งนานเท่าไรก็ยิ่งหอมเท่านั้น

            การสะสมบุญตามแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสนี้ แท้จริงคือ การฝึก กาย วาจาและจิตให้บำเพ็ญประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นนั่นเอง การทำบุญที่ว่านี้ประกอบไปด้วยการให้ ทาน รวมทั้งการให้ธรรมะและการให้อภัย การสมาทานศีล การเจริญภาวนา การอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยนไม่แข็งกระด้าง การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจ การแสดงธรรม การฟังธรรม การมอบบุญหรือความดีให้แก่คนอื่น คือบอกเล่าถึงความดีที่ทำแล้วให้เขาได้รับรู้แล้วรู้สึกชื่นใจ คนที่รับรู้ความดีแล้วก็ยินดีกับคนทำความดีนั้น ปรับปรุงความคิดความเห็นให้มุ่งตรงต่อสัจธรรม

            กิจกรรมเหล่านี้ทำได้มากเท่าไร สะสมไว้ในกาย วาจา และใจมากเท่าไร ยิ่งทำให้คุณภาพชีวิตและจิตใจดีมากเท่านั้น สังคมประเทศชาติและโลกสงบได้มากเท่านั้น

            การทำความดีก็ต้องทำซ้ำๆซากๆเพราะจะได้มีความดีเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นนิสัยถาวรที่เรียกว่าบารมีบ้าง คุณธรรมบ้าง ยิ่งทำดีด้วยความตั้งใจ ความดีก็เกิดขึ้นเห็นชัดสัมผัสได้ง่าย

            ประโยชน์ของหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อนำมาพัฒนาชีวิตจิตใจให้ดีขึ้นตามลำดับ จึงตั้งใจในเชิงนโยบายการทำงานสร้างว่า สร้างใจ สร้างคน สร้างชุมชน และสร้างวัด สาเหตุที่เลือกสร้างใจก่อน เพราะใจ เป็นหัวหน้า ทุกอย่างสำเร็จด้วยความตั้งใจ โดยต้องเข้าใจในสิ่งที่กำลังกระทำ ตั้งใจ และจริงใจ ในการกระทำ

            วัดพุทธปัญญาจึงมีการโฆษณาหรือสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าวัดน้อยมาก เพียงแต่บอกกำหนดการให้ทราบว่าจะทำอะไรที่ไหนอย่างไรเท่านั้น เพราะพุทธศาสนิกชนที่เข้าวัดเพื่อจะได้สร้างความสุขสงบดีแล้วนั้นต้องเข้าวัดด้วยความตั้งใจ เต็มใจ และจริงใจ โดยไม่มีเงื่อนไขแห่งความคาดหวังและแรงจูงใจใดๆเข้ามาเป็นหลัก จะพบกับความโล่งโปร่งสบายทั้งก่อนเข้าวัด กำลังเข้าวัดและกลับไปบ้านแล้ว

            เมื่อสร้างใจให้ตระหนักในพระธรรมร่วมกันแล้ว คนมีธรรมะและใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตแล้วได้รับผลจากการปฏิบัติธรรมก็เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ การรวมตัวของคนมุ่งธรรมเป็นหลักมากขึ้นๆจึงกลายเป็น ชุมชนคนรักธรรม

            หลายปีผ่านไปการประกาศพระพุทธศาสนาที่ปราศจากกลิ่นอายแห่งไสยศาตร์และโหราศาตร์และพุทธพานิชทั้งปวงก็ได้รับการตอบรับจากพุทธศาสนิกชนครั้งละหนึ่งคนหรือสองคนมากขึ้นตามลำดับ สื่อหลักที่มีน้ำใจถ่ายทอดสื่อสารแนวความคิดและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้พุทธศาสนิกชนทราบกันก็คือ หนังสือพิมพ์ไทยทาวน์ ยู เอส เอ หนังสือพิมพ์ เอ็มทีนิวส์ และหนังสือพิมพ์สยามมีเดีย และได้เช่าเวลาของNattvเผยแผ่ธรรมะด้วยโดยจ่ายค่าเช่าเวลาเดือนละ 250 ดอลล่าร์ โดยไม่เคยขึ้นค่าเช่าแต่ประการใด พุทธศาสนิกชนจึงได้รับรู้รับทราบกันทั่วประเทศอเมริกา แคนาดา และประเทศใกล้เคียง

            เมื่อชุมชนวัดที่เชื่อใจ มั่นใจ จริงใจ ตั้งใจที่จะช่วยกิจการวัดพุทธปัญญามีมากขึ้น การสร้างวัดที่เป็นศาสนวัตถุก็ดำเนินการตามลำดับด้วยเงินที่หลั่งไหลมากจาธารน้ำใจที่ตั้งใจ จริงใจและเต็มใจ โดยมิได้มีรายการจูงใจ บังคับใจ ย้อมใจและฝืนใจแต่อย่างใด

            วันที่ 7 เมษายน 2547 ได้จ่ายค่าที่ดินวัดที่เป็นหนี้อยู่เก้าหมื่นห้าพันเหรียญหมดสิ้นเพื่อให้ที่ดินตกเป็นของพุทธศาสนิกชน ต่อจากนั้นทางคณะกรรมการและคณะสงฆ์ได้ร่วมกันตัดสินใจเสนอความคิดที่จะสร้างวัดให้ถูกต้องตามกฎหมายตามข้อกำหนดของมลรัฐแคลิฟอร์เนียและท้องถิ่นโพโมาน่าทันที

            ท่านผู้ใจบุญหลายท่านที่ออกแบบวัดได้ ประสานงานทางซิตี้ได้ ช่วยกันเป็นล่ำเป็นสันจนขอนุญาตสร้างวัดได้สำเร็จ

            วันที่ 27 พฤษภาคม 2550จึงได้มีการวางศิลาธรรมและก่อสร้างวัดตามลำดับ ใช้เวลาก่อสร้างสิบเอ็ดเดือนก็สำเร็จลง วัดพุทธปัญญาจึงเป็นวัดที่สมบูรณ์ตามกฎหมายตามข้อกำหนดของท้องถิ่นว่าต้องสร้างลานจอดรถ รั้วสองด้านและอาคารหนึ่งหลัง ดังที่ท่านสาธุชนทั้งหลายได้เห็นเป็นประจักษ์อยู่ทุกวันนี้ เงินค่าก่อสร้างทั้งหมด ประมาณสามแสนกว่าดอลล่าร์ ส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาคที่มาจากท่านที่เห็นคล้อยตามกันที่จะสร้างวัตถุแบบเรียบๆง่ายๆค่าใช้จ่ายถูกใช้ประโยชน์มาก ปัจจุบันนี้ยังมีหนี้สินที่จะต้องชำระจากเงินที่กู้ยืมมาใช้ในการก่อสร้าง อีกสองหมื่นดอลล่าร์ คาดว่าจะสามารถจ่ายหนี้สินได้หมดสิ้นประมาณเดือนมิถุนายน 2553

            ต่อมาในวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2551ได้จัดงานพัทธสีมาสาธิตฝังลูกนิมิตวัดพุทธปัญญาใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็เสร็จสิ้นสังฆกรรมวัดพุทธปัญญาจึงกลายเป็นวัดที่สมบูรณ์แบบทั้ง ธรรมวินัย พฤตินัยและนิตินัยทุกประการ

            วัดแห่งนี้เป็นองค์กรไม่หากำไรบริหารงานร่วมกันระหว่างพระสงฆ์ คณะกรรมการอำนวยการและคณะกรรมการบริหารรวมแล้ว16 ท่าน มาจากการเลือกตั้งทุกๆสองปี

            เมื่อบรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบเย็นเป็นมิตรภาพปรากฏขึ้น พุทธศาสนิกชนก็ค่อยๆทะยอยเดินเข้ามาร่วมกิจกรรมกันมากหน้าหลายตาตามลำดับ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2553 ที่ผ่านมาได้จัดงานสงกรานต์สรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระสฆ์ เก้ารูป และสรงน้ำผู้สูงอายุมีผู้มาร่วมงานกันล้นวัดเล็กๆ ปรากฏารณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าบัดนี้วัดพุทธปัญญาได้อยู่ในอ้อมใจของพุทธศาสนิกชนที่เคยสนับสนุนมาตลอดและจะสนับสนุนกันต่อไป เพราะวัดนี้มิใช่สมบัติของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นสมบัติของพุทธศาสนิกชนที่ได้ร่วมกัสร้างขึ้นมาและจะร่วมกันใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตให้สงบร่มเย็นอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณตลอดไป

           

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple