วัดพุทธปัญญา

บทความ\บันทึกต้นฤดูใบไม้ผลิ พุทธศักราช 2553

บันทึกต้นฤดูใบไม้ผลิ พุทธศักราช 2553

       เช้าตรู่ของวันที่ 16 มีนาคม 2553 เมื่อฉันทำภารกิจส่วนตัวประจำวันเสร็จแล้วกำลังจะนั่งลง เขียนหนังสือ ตามที่เคยกระทำมาเป็นประจำ การตื่นนอนแต่เช้าตรู่สมองผ่องใสเพราะยังไม่มีเรื่องใดๆผ่านเข้ามาในวิถีจิต ประกอบกับได้พักผ่อนเต็มที่ ขณะนั้นกุฏิที่พักไหวอย่างแรง ฉันเฝ้าติดตามดูต่อไปว่า ความสะเทือนของกุฏิมาจากสาเหตุอะไรกันแน่ เมื่อหาไม่พบก็ทำงานต่อไป

            หลังจากฉันอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก่อนทำวัตรเช้ามีเวลาเหลือประมาณสามสิบนาทีมักจะใช้เวลาดูข่าวๆต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกด้วยวิธีการง่ายคือ แค่เปิดหน้าอินเตอร์เน็ตโดยใช้โปรแกรมยาฮูเอ็กโพลเรอร์ ก็พบข่าวต่างๆจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาให้ได้รับทราบศึกษาเรียนรู้อย่างเต็มที่ เมื่อเปิดอินเตอร์เน็ตก็ได้ทราบจากข่าวพาดหัวเน็ตว่า เกิดแผ่นดินไหวเล็กๆทางด้านทิศตะวันออกของมหานครลอสแอนเจลิสประมาณ 4.4 เร็คเตอร์ ไม่มีผู้คนได้รับบาดเจ็บหรือ ล้มตายแต่ประการใด

            ข่าวจากประเทศไทยในเช้าวันนี้ก็ยังคงเสนอข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อโค่นล้มรัฐบาลปัจจุบันและระบบอำมาตย์ที่อยู่คู่ประเทศไทยมาเป็นเวลานาน ผู้นำการเคลื่อนไหวให้เหตุผลของการล้มอำมาตย์ว่า เพื่อให้ประชาชนได้รับความเสมอภาคและความยุติธรรม ซึ่งคนทั่วไปเข้าใจได้ยากมากเพราะระบบอำมาตย์ไทยยังไม่เคยทำร้ายคนส่วนใหญ่ของประเทศจนคนส่วนใหญ่รู้สึกว่า ถูกระบบอำมาตย์กดขี่จนสุดทน แต่ถ้าผู้ที่เดินขบวนต้องการจะบอกความทุกข์ยากจากพิษภัยของระบบอำมาตย์ของไทยให้เพื่อนร่วมชาติได้รับรู้ หรือ ต้องการให้โลกรับรู้ด้วย พวกเขาก็ทำได้ตามกรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องพร้อมที่จะเคารพและรับฟังความเห็นของฝ่ายที่ต้องการให้รัฐบาลชุดนี้และรบบอำมาตย์ยังคงดำรงอยู่เช่นเดียวกัน

            ความเห็นต่างกันที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเมตตาและปัญญา เป็นความงดงามของสังคมทุกสังคม แต่การผูกขาดความคิดเรื่องความถูกต้องของคนเพียงกลุ่มเดียวหรือการผูกติดอยู่กับความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งจนโงหัวไม่ขึ้นจะกลายเป็นอันตรายต่อคนที่เห็นต่าง ในสังคมที่จะต้องอยู่ร่วมของคนที่มีความแตกต่างกันการแบ่งปันความเห็นและอุดมคติและหาจุดร่วมด้วยกันย่อมเป็นหนทางที่จะอยู่กันอย่างมีความสุขได้

            กลุ่มคนเสื้อแดงที่กำลังเคลื่อนไหวได้ทำกิจกรรมไปสองอย่างแล้ว เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา นั่น คือ การนำขบวนคนเสื้อแดงไปล้อมรอบราบสิบเอ็ดอันเป็นค่ายทหารที่สำคัญกลางกรุง แต่ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเพราะทั้งทหารและผู้นำของคนเสื้อแดงต่างสนทนาพาทีกันด้วยดี พอตกเย็นก็เดินทางกลับที่ตั้งแถวถนนราชดำเนินด้วยความปลอดภัย แม้ค่ำวันนั้นจะมีการยิงเอ็มเจ็ดสิบเก้าเข้าที่ ร. หนึ่งพันหนึ่ง ทหารรักษาพระองค์จนทหารได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ได้สร้างความขัดแย้งให้รัฐบาลกับฝ่ายเสื้อแดงแต่ประการใด

            เช้าวันต่อมากลุ่มเรียกร้องเพื่อการยุบสภา ไล่รัฐบาลและล้มระบบอำมาตย์ ได้ร่วมกันสละเลือดสิบล้านซีๆเพื่อนำเลือดไปละเลงบริเวณประตูทางเข้าทำเนียบรัฐบาลและหน้าประตูทางเข้าพรรคประชาธิปัตย์

            ผู้นำชาวเสื้อแดงได้อธิบายความหมายของการนำเลือดของผู้ชุมนุมไปละเลงตามสถานที่ดังกล่าวเอาไว้ว่า เป็นการส่งสัญญาณเชิงจิตวิทยาไปให้คุณอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีทราบว่า คุณอภิสิทธิ์จะเดินข้ามกองเลือดเข้าไปทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยก็ให้รู้กันไป

            ข่าวบางกระแสก็เล่าลือกันว่า การนำเลือดไปละเลงไว้ตามสถานที่ดังกล่าวเป็นการกระทำเชิงไสยศาสตร์ เพื่อแก้เคล็ดคำทำนายของโหรทั้งหลายที่เคยทำนายไว้ว่า ตราบใดที่เลือดยังไม่ทาแผ่นดิน บ้านเมืองไทยจะไม่มีวันสงบ จึงแก้เคล็ดโดยการนำเลือดไปทาแผ่นดินอันเป็นทางสัญจรของรัฐบาล

            นับเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยที่น่าศึกษา โดยปกติ เรื่องของการเมืองมักจะมีแต่เรื่องของรัฐศาสตร์ สังคมศาศตร์ และนิติศาสตร์ เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้ มีเรื่องไสยศาสตร์และโหราศาสตร์เข้ามาร่วมเกี่ยวข้องอย่างเต็มตัว นับเป็นสีสันทางการเมืองไทยที่หาดูได้ไม่ง่ายนัก

            การเดินขบวนผ่านไปสามวันแล้ว ยังไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้น นับเป็นความพยายามทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายเดินขบวนที่จะระมัดระวังมิให้เหตุร้ายเกิดขึ้น การระวังมิให้เหตุร้ายเกิดขึ้นทั้งแก่ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายเดินขบวนเป็นสิ่งที่กระทำได้ ถ้าทั้งสองฝ่ายใช้สติปัญญา มากกว่าความรู้สึกแพ้ชนะและสะใจเป็นหลัก ก่อนจะลงมือกระทำอะไรลงไปต้องใคร่ครวญให้มากว่า เรื่องที่จะทำลงไปแต่ละเรื่องจะมีผลกระทบแก่ตนเอง แก่ผู้อื่น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวหรือไม่ อย่างไร ถ้ามีผลกระทบก็อย่าพึงกระทำลงไป ทั้งสองฝ่ายต้องใช้ความอดทนให้มาก สุดท้ายหากถึงคราวที่จะต้องแพ้เพื่อรักษาชีวิตเพื่อนร่วมชาติไว้ก็ต้องแพ้เป็นเพื่อรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่มีค่ามากกว่า ความแพ้ชนะ ที่ไม่จีรังยั่งยืน มันหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปมาอยู่อย่างนั้น แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ถ้าไม่จำเป็นต้องตายก็อย่าเพิ่งเร่งให้ตายกันง่ายๆ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ก็ยาก การเติบโตก็ยาก การฝ่าฟันโรคภัยไข้เจ็บก็แสนยาก หากยังไม่ถึงเวลาก็อย่าเพิ่งเร่งร้อน ควรปล่อยให้ตายกันไปตามธรรมชาติ

            ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายเดินขบวนควรยึดพุทธภาษิตบทเดียวกันว่า ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ทั้งสองฝ่ายต้องคิดให้จงหนักก่อนลงมือทำสิ่งใดลงไป อำนาจ หากจะต้องสูญเสียตำแหน่ง หน้าที่ หรือหน้าตาเพื่อรักษาชีวิตมนุษย์เพื่อนร่วมชาติ ก็จงเต็มใจสูญเสียไปเถอะ ตำแหน่ง หน้าที่ หน้าตา เสียไปแล้วหาใหม่ได้แต่ชีวิตของเพื่อนมนุษย์ที่สูญเสียไปเพียงคนเดียวจะหาคืนไม่ได้

        ฤดูหนาวที่แสนจะหนาวเหน็บค่อยๆผ่านไป ฝนสั่งฟ้าห่าใหญ่เพิ่งผ่านพ้นไป อากาศอุ่นขึ้นตามลำดับ ชุดกันหนาวเริ่มจะถูกเก็บเข้าตู้ทีละชุดสองชุด เวลาเดินทางไปไหนผ่านเนินเขาเตี้ยๆจะเห็นหญ้าเขียวชอุ่มสลับกับดอกผักกาดป่าสีเหลือง ประดุจพรมผืนใหญ่หลากสีคลุมอยู่ตามเนินเขาเตี้ยๆ ฝูงวัวที่ถูกปล่อยไว้ตามภูเขากำลังมีความสุขกับการและเล็มหญ้าอ่อนๆท่ามกลางแดดอุ่นๆประดุจได้รับเชิญไปงานเลี้ยงที่แสนอลังการและอาหารอร่อย

            พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าส่องแสงสาดมายังพื้นโลกให้อบอุ่นและร้อนแรงขึ้นตามลำดับ ฟ้าสีครามใส มีเมฆเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่งผ่านไปมาเพียงหย่อมเล็กๆ ไม้พุ่มที่ต้องสลัดใบในฤดูหนาวกลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้งหนึ่ง ต้นไม้บางชนิดพอฤดูใบไม้ผลิย่างเข้ามา ก็ผลิดอกสีชมพู สีขาว สีแดง ออกมาโดยไม่ต้องมีใบมาปะปนเลย ยิ่งดูยิ่งงามยิ่งนัก

            ธรรมชาติแท้ๆแสดงธรรมเรื่องความเปลี่ยนแปลงได้ซาบซึ้งสวยงามยิ่งนัก มีทั้งฝ่ายเกิดและฝ่ายดับสลับกันไป ไม่ปล่อยให้สิ่งใดให้เที่ยงแท้จีรัง ใครที่ยังหาความยุติธรรมในโลกมนุษย์ นรก หรือสวรรค์ไม่พบ จงหาความยุติธรรมจากกฎของธรรมชาติเถิดแล้วจะประจักษ์แก่ใจว่า ยุติธรรมจริงๆ

           

           

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple