วัดพุทธปัญญา

บทความ\มาฆบูชา; มารักกันเถอะ

มาฆบูชา; มารักกันเถอะ

            วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง หากเรียงลำดับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ตลอดทั้งปี วันมาฆบูชาก็เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันแรกของปีตามมาด้วย วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา สาเหตุที่ชาวพุทธยกย่องวันเหล่านี้ว่า เป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่เกี่ยวกับพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นสรณะสูงสูด ที่ชาวพุทธถือเป็นแสงสว่างนำทางชีวิต

            วันมาฆบูชา ตรงกับวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสาม โดยการนับตามจันทรคติ เป็นวันที่มีเหตุการณ์สี่อย่างมาประจวบเหมาะกันเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต คือ

  1. พระสงฆ์ 1250 รูป มาประชุมกันเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย ณ เวฬุวนาราม อันเป็นวัดแห่งแรกในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเพียงป่าไม้ไผ่ ไม่มีสิ่งก่อสร้าง หรือเครื่องมุงบังใดๆ อยู่ใกล้ๆกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
  2. พระสงฆ์ทั้ง 1250 รูปที่มาประชุมกันนั้น เป็นพระอรหันต์ ไม่มีกิเลสใดๆหลงเหลือตกค้าง เปี่ยมด้วยสติและปัญญาอันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
  3. พระสงฆ์ทั้ง 1250 รูปนั้น ล้วนได้รับการบรรพชาอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรงตามวิธีการให้การอุปสมบทที่เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา
  4. วันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เป็นโคมไฟดวงใหญ่ส่องลงมา ณ ที่ประชุมใหญ่ครั้งสำคัญแห่งพระอรหันต์ทั้งปวง

พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็นหลักสัจธรรมสำคัญ ที่พระอรหันต์ทั้งหลายได้รับฟังแล้ว นำไปถ่ายทอดเผื่อแผ่แก่มวลมนุษย์ได้พบทางอันสว่างไสวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ นับเป็นสารธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนาที่ครอบคลุม ทั้งหลักการ อุดมการณ์ และวิธีการปฏิบัติ อย่างกระทัดรัดครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นสัจสากลที่ผู้ปรารถนาความหลุดพ้นจากบาปกรรม มุ่งสะสมกรรมดี มีความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทั้งปวงเป็นจุดหมายปลายทาง

      หลักสัจธรรมที่เป็นหลักการอันแสดงเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนามีสามประการ

  1. ไม่ทำบาปทั้งปวง
  2. ทำกุศลให้ถึงพร้อม
  3. ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ

ถ้อยคำสำคัญแห่งหลักการที่ควรพิจารณาสามคำในสามหัวข้อ

คำว่า บาป เพียงคำเดียว หมายถึงความเศร้าหมองใจ หากความเศร้าหมองใจมีมากก็บาปมาก ความเศร้าหมองใจมีน้อย ก็บาปน้อย หากไม่มีความเศร้าหมองใจเลย ก็ไม่มีบาปเลย เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ทำบาปทั้งปวง ก็หมายรวมถึง ไม่กระทำ ไม่พูด และไม่คิด สิ่งใดๆที่เป็นเหตุให้เศร้าหมองใจ การพิจารณาว่าสิ่งใด เป็นเหตุให้เศร้าหมองใจหรือไม่ ตนเองซึ่งเป็นผู้รู้สึกถึงความเศร้าหมองได้ด้วยตนเองเป็นผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง การทำบาป หรือการไม่ทำบาปขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตนเองจริงๆ แม้ชีวิตจะเกี่ยวข้องกับผู้คนบนโลกมากมายที่มีส่วนผลักดันให้เดินไปสู่การประกอบบาป แต่การตัดสินใจครั้งสุดท้ายเป็นดุลพินิจของตนเองแท้ๆ แต่ละคนจึงมีอิสระที่จะตัดสินใจกระทำบาปหรือไม่กระทำบาปได้

คำว่า กุศล แปลว่า ความดี ความฉลาด เมื่อพูดถึงคำว่า ดี ในที่นี้ หมายรวมเอาความดีทั้งกาย วาจา และใจ ความดีทางกาย คือ ใช้กายสร้างความดี ความดีทางวาจา คือ พูดดีๆ ความดีทางใจ คือ คิดดีๆ คิดแล้วไม่เศร้าหมอง เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า ทำความดีให้ถึงพร้อมก็ต้องหมายรวมเอาทั้ง ทำดี พูดดี และคิดดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง อนึ่งเมื่อพูดถึงความดี พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลักษณะของความดีนั้นคือ สิ่งที่ทำง่าย ไม่ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ ตนเองไม่เดือดร้อนในภายหลัง

คำว่า จิตขาวรอบ หมายถึงจิตบริสุทธิ์หมดจดสดใส ไม่มีรอยมลทินใดๆเจือปน แม้แต่น้อย พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำจิตของตนให้ขาวรอบ คือ การทำจิตให้ขาวรอบนั้น ต้องทำที่ตน ไม่ไปทำให้จิตของคนอื่นขาวรอบ ตามหลักสำคัญที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความบริสุทธิ์ หรือความไม่บริสุทธิ์ เป็นเรื่องเฉพาะตน ไม่มีใครทำใคร ให้บริสุทธิ์ หรือเศ้าหมองได้ ตัวใคร ตัวมัน ใจใคร ใจมัน

วิธีการทำจิตให้ขาวรอบตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ก็คือ การเจริญภาวนา คือ ทำใจให้เจริญก้าวหน้า ด้วยการเพิ่มสติให้มากจนไม่มีช่องว่างให้มลทินใดๆแม้น้อยเล็ดลอดสอดแทรกเข้าไปสู่ใจได้ การสะสมสติให้มีมากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มีหลายวิธีแต่จะต้องมีสติเป็นหลักสำคัญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น อานาปานสติ หรือ สติปัฏฐานสี่ก็ตาม

พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายคือ พระผู้ทรงมีสติสมบูรณ์และปัญญาเจิดจ้าสว่างไสว

วันมาฆบูชาจึงเป็นวันที่ผู้มีสติและปัญญาสมบูรณ์ที่สุดมาประชุมกันมากเป็นประวัติศาสตร์ของโลก เป็นการประชุมที่ทำให้มุมโลกตรงนั้นเย็นสนิท ไม่มีมลพิษอันเป็นเหตุแห่งภาวะโลกร้อนแทรกซ้อนเลย สถานที่ประชุมก็เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ที่ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่ต้องตกแต่งสถานที่ด้วยการทำลายสิ่งแวดล้อม พระอรหันต์ทั้งหลายก็ล้วนมีจิตบริสุทธิ์เย็นสนิทยุติการปรุงแต่งเรื่องร้อนลงสิ้นเชิง แม้แต่แสงที่ส่องลงมากลางที่ประชุมก็ใช้พลังแสงจันทร์ที่ไม่ร้อน เป็นการประชุมที่ผู้นำระดับโลกที่จัดการประชุมเรื่องภาวะโลกร้อนต้องเหลียวมองและอาจจะต้องยึดเป็นแบบอย่างที่จะลดภาวะโลกร้อนให้เกิดเป็นความจริงขึ้นมา

หลักการทั้งสามประการนี้พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งหมายความว่าพระศาสดาองค์ใดทรงสั่งสอนหลักการทั้งสามประการนี้ นับเป็นการสอนศาสนาของพระพุทธเจ้าเช่นกัน

เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงหลักการของพระพุทธศาสนาว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะสอนพุทธธรรมบนหลักการเดียวกันแล้วพระองค์ตรัสอุดมธรรมของชาวพุทธว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะยกย่องนิพพานว่า เป็นธรรมสูงสุด ยิ่งกว่า ธรรมอื่นๆ หรือ หากจะแปลคำว่า พุทธ แบบถอดรากศัพท์ ก็จะแปลว่า ท่านผู้รู้ทั้งหลาย หรือหากจะแปลคำว่า พุทธ ตามที่หลวงพ่อพุทธทาสแปลไว้ก็จะได้ความว่า ท่านผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน กล่าวยกย่องพระนิพพานว่า เป็นธรรมอันยิ่ง(นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา)

พระพุทธเจ้าตรัสอธิบายสภาวะของพระนิพพานไว้ว่า คือ สภาวะ ที่สิ้นราคะ สิ้นโทสะ และ สิ้นโมหะ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไฟที่ไม่มีเปลว ไม่มีควัน แต่เผาไหม้มนุษย์ให้ดิ้นรนเร่าร้อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ได้แก่ ไฟคือ ราคะ ไฟคือโทสะ และไฟคือ โมหะ

เมื่อเข้าใจว่า ราคะ โทสะ และโมหะ คือไฟที่เผาลนจิตใจมนุษย์ให้เร่าร้อนอยู่อย่างไม่รู้ตัว เมื่อใดไฟเหล่านี้ดับไป เมื่อนั้นใจที่เคยร้อนก็จะเย็นลง ความเย็นอันเป็นผลจากความดับไปแห่งไฟ คือ ราคะ โทสะ และโมหะนี้แหละ เรียกว่า นิพพาน

เมื่อเข้าใจที่มาอย่างนี้แล้ว จะแปลคำว่า นิพพานว่า เย็น ก็จะได้ใจความสั้นกะทัดรัดกินความหมายได้กว้างขวางและลึกซึ้ง

พระพุทธเจ้าทรงแสดงความหมายของนิพพานไว้ในพระธรรมเทศนาหลายที่หลายแห่งแต่มีความหมายตรงลงในจุดเดียวกันคือ เย็น เกลี้ยง ว่าง จากการเผาลนหรือรกรุงรังด้วยกิเลส หรือ ที่หลวงพ่อพุทธทาสใช้คำว่า สะอาด สว่าง และสงบ

เมื่อทราบกันดีแล้วว่า กิเลส เผาใจให้ร้อน เมื่อหมดกิเลสก็ไม่มีอะไรเผาใจ ใจก็ไม่ร้อน เปรียบเหมือนก้อนหินที่อยู่ตามธรรมชาติ ไม่ร้อน แต่เมื่อนำไปเผาไฟ ก็ร้อน แต่เมื่อดึงออกมาจากไฟ หรือดึงไฟออกไปจากก้อนหิน ก้อนหินก็จะเย็นเหมืนอเดิม

หรือน้ำก็เช่นกัน โดยปกติก็ไม่ร้อน จะร้อนก็ต่อเมื่อถูกนำไปตั้งไฟ เมื่อดึงไฟออกก็จะเย็นเป็นปกติ

ใจมนุษย์ตามปกติก็จะไม่ร้อน แต่เมื่อถูกไฟคือกิเลสเผาก็จะกลายเป็นใจร้อน แต่เมื่อไม่ถูกกิเลสเผาก็จะไม่ร้อน หรือใจเย็น หากเฝ้าสังเกตให้ดีๆ ชีวิตประจำวันที่ผ่านไปแต่ละวันจะถูกกิเลสเผาติดต่อกันยาวนานแค่ไหน หรือถูกเผา เป็นครั้งคราว หรือไม่ถูกเผาเลย หากเฝ้ามองให้ดีๆจะกลายเป็นวิปัสนา คือ ความเห็นแจ้งไปทันที

พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า ความอดทน เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง

พระดำรัสนี้ของพระพุทธเจ้า คือ วิธีการจัดการกิเลสขั้นเด็ดขาด คือ เมื่อกิเลสเผาใจเรา หากต้องการให้ใจเป็นอิสระก็ต้องเผากิเลส

จะใช้อะไรมาเผากิเลส

พระองค์ตรัสไว้แล้วว่า ความอดทน

ทนที่ไหน เมื่อไร

ทนเมื่อ รูปมากระทบตา เสียงมากระทบหู กลิ่นมากระทบจมูก รสมากระทบลิ้น สิ่งต่างๆที่มาถูกต้องกาย ธัมมารมณ์มากระทบใจ

ถ้าทนไม่ได้ กระทบเท่าไร ใจโอนเอนตามไปเท่านั้น จะต้องผวาเข้ากองไฟทุกครั้ง กระทบทีไรไฟไหม้ทุกที

แต่หากทนได้กระทบทีไร ปล่อยให้ผ่านไปทุกที ไม่ถลาตามเข้ากองไฟ ไฟก็ดับเพราะไม่มีเชื้อไฟมาเติมให้เปลวไฟลุกไหม้ เผาลนต่อไป

พระพุทธเจ้าทรงบอกให้เผากิเลสเสียก่อนที่มันจะเผาใจ

ความอดทนเป็นไฟตะบะที่ร้อนแรงเหนือไฟกิเลส พอไฟกิเลสเจอไฟตะบะ ไฟกิเลสก็จะมอดไหม้สลายไปก่อน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความอดทน เป็นตะบะ คือ ธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง

ตะบะคำเดียว แปลว่า ความเพียร เครื่องเผากิเลส ธรรมะคือ ความพากเพียรและความอดทนที่ผนึกหลอมรวมกันปฏิบัติอย่างจริงจังเข้มข้นร้อนแรงจะเผากิเลสให้สลายไปได้

เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัส อุดมธรรม คือ พระนิพพาน และความอดทนคือ เครื่องสร้างทางไปสู่พระนิพพานแล้ว ทรงตรัสข้อปฏิบัติของ ผู้ละความชั่วอย่างรอบด้าน ที่เรียกว่า บรรพชิต และ ผู้สงบที่เรียกว่า สมณะ

ทั้งบรรพชิต และสมณะ มองในแง่กายภาพ ก็เป็นคำที่ใช้เรียก นักบวช ผู้ละเย้าเรือน ท่องเที่ยวไปในโลกกว้างอย่างเสรี แต่หาก มุ่งเพียงข้อปฏิบัติของบรรพชิตว่า เป็นผู้ละชั่วได้รอบด้าน และสมณะผู้สงบจากการรบกวนของกิเลสแล้ว การปฏิบัติเพื่อละความชั่วรอบด้านและความเป็นผู้สงบ เป็นสภาวะสากลที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้วยเพศ วัย วัฒนธรรม ประเพณี และเครื่องกีดขวางใดๆเป็นอุปสรรค

            พระพุทธเจ้าตรัสลักษณะของบรรพชิตไว้ว่า เป็นผู้ไม่ทำลายผู้อื่น คือ ไม่ทำลายชีวิตมนุษย์และสัตว์ในทุกๆด้าน หากจะประยุกต์ให้กว้างขึ้นก็จะได้ความว่า ผู้ที่ได้ชื่อว่าละความชั่วทุกด้าน ต้องไม่มีพฤติกรรมทำลายล้างผู้อื่นหรือสัตว์มีชีวิตอื่นๆไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม

            ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้ ตรัสถึงลักษณะของสมณะ หากพิจารณาทางกายภาพก็คงจะหมายถึง นักบวช แต่หากหมายความตามสภาวะธรรมย่อมหมายถึงผู้สงบทุกคนต้องไม่ทำสัตว์หรือมนุษย์ให้ลำบากอยู่ พระพุทธวจนะนี้ได้กำชับลงไปว่า การไม่ฆ่าผู้อื่นหรือสัตว์อื่นนั้นไม่พอ แต่ผู้สงบต้องไม่ทำให้ผู้อื่นหรือสัตว์อื่นลำบากกายและลำบากใจด้วย

            พระพุทธวจนะต่อมาได้ขยายความของคำว่า ไม่ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ หมายถึง ไม่ทำร้าย และไม่กล่าวร้าย

            การทำร้ายคือการตี ฟันแทง ยิง หรือทำลายด้วยอาวุธสมัยใหม่

            การพูดร้าย คือ การกล่าววาจาที่ผู้ฟังๆแล้วรู้สึกลำบากใจ บางทีคำที่กล่าวนั้น เป็นความจริงที่ผู้ถูกกล่าวถึงไม่ต้องการให้ใครรับรู้เพราะเป็นปมด้อยหรือจุดอ่อนของตนเองที่ควรปกปิด หรือ เป็นความเท็จที่ผู้ถูกใส่ร้ายเกิดความลำบากใจที่จะต้องอธิบาย เมื่อได้ยินแล้วจึงอยู่ด้วยความยากลำบาก

            พระพุทธวจนะนี้ชี้ชัดว่า การทำร้ายร่างกาย และการทำร้ายจิตใจ ด้วยการทุบตี ยิงฟัน และการกล่าวร้าย เป็นการทรมานและทำผู้อื่นให้ลำบาก ผู้รักความสงบพึงหลีกเลี่ยงการทำและการพูดอย่างนี้เสีย

            หากจะนำเอา พระพุทธวจนะดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในยุคปัจจุบันที่มนุษย์แสวงหาความสงบทั้งทางจิตใและทางสังคม ก็จะสามารถสร้างความสงบได้ แต่ทุกหมุ่ทุกกลุ่มจะต้องยึดหลักเดียวกันก่อนว่า จะไม่ทำร้ายและไม่กล่าวร้ายแก่กันและกัน

            เมื่อพูดถึงโลกประชาธิปไตยที่มนุษย์บูชาเสรีภาพกันมาก แต่จะต้องยอมรับกันทั้งสังคมก่อนว่า เสรีภาพนั้น ต้องไม่ไป ทำร้าย หรือกล่าวร้ายใคร

            การไปกล่าวร้ายผู้อื่นแล้วมาขอให้ผู้ถูกกล่าวหาไปฟ้องร้องเอาเองที่ศาลนั้น เป็นการใช้ศาลเป็นเครื่องมือกล่าวร้ายผู้อื่นด้วยเจตนาร้ายต่อผู้อื่นตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว การใช้เสรีภาพจึงไม่ควรใช้เสรีภาพไปกล่าวร้ายผู้อื่นให้ลำบากใจ แต่ควรใช้เสรีภาพที่มีอยู่ไปคิดสร้างสรรค์เพื่อตนเองและผู้อื่นจะดีกว่า

            ผู้ที่อ้างตนว่า เป็นนักประชาธิปไตยแล้วมักสร้างกิจกรรมเคลื่อนไหว กล่าวร้ายผู้อื่นเพื่อบีบคั้นทางจิตใจให้เจ็บช้ำแล้วอ้างว่า เป็นการต่อสู้แบบอหิงสา เป็นความเข้าใจผิด หรือนำเอาคำว่า อหิงสามาเป็นเครื่องมือ ทำร้ายผู้อื่นอีกทางหนึ่งที่เขาจะมีทางต่อสู้หรือไม่มีทางต่อสู้ก็ตาม

            เสรีภาพในระบบประชาธิปไตยจะใช้ได้ต่อเมื่อทั้งฝ่ายรุกและฝ่ายรับไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายซึ่งกันและกัน แต่อาจจะหักล้างกันด้วยเหตุผลเพื่อหาความจริงที่สุดให้พบ เมื่อพบความจริงแล้ว ต้องยุติการต่อสู้นั้นไม่ปล่อยให้ลุกลามเป็นความบาดหมางจนไปสู่การทำลายล้างกันอย่างไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น

            พระพุทธวจนะจากโอวาทปาฏิโมกข์ที่เหลือล้วนเป็นเรื่องที่บ่งชี้ว่าควรจะทำอะไร

            พระองค์ตรัสว่า การสำรวมในปาฏิโมกข์ หมายถึง ระมัดระวังตั้งอยู่ในพระโอวาททั้งสามคือ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์

            พระดำรัสนี้ก็รวมถึงผู้ที่มิได้เป็นนักบวชด้วย เป็นแสงสว่างส่องทางว่า จะทำ พูด หรือ คิดสิ่งใดๆ ต้องเป็นไปตามกรอบนี้แล้วจะพ้นจากความทุกข์

            พระดำรัสต่อมาเกี่ยวข้องกับการบริโภคโดยตรัสว่า เป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค ตามหลักสามประการที่ตรัสว่า การบริโภคนั้นเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ สิ่งที่บริโภคเข้าสู่ร่างกายต้องไม่มีโทษ ไม่มีพิษภัยต่อร่างกาย เมื่อบริโภคแล้ว ร่างกายดำรงอยู่ได้อย่างผาสุก ไม่หิวโหย หรืออึดอัดจนเกินไป การบริโภคอาหารนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า บริโภคน้อย ย่อยง่าย ไร้โรคา อายุยืน

            พระพุทธวจะนะสองบทสุดท้ายทรงตรัสว่า ควรนอนหรือนั่ง ในที่อันสงัด แล้วประกอบความเพียรในการยกระดับจิตให้สูงกว่ากระแสกิเลส

            พระพุทธวจนะนี้ชี้ชัดว่า ชีวิตที่ต้องอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากๆและยุ่งยากอยู่กับการประกอบอาชีพตลอดเวลา ทำให้เครียดได้ ชีวิตจึงควรมีเวลาหาที่สงบเพื่อสลัดเรื่องยุ่งๆที่เข้ามารบกวนใจจากทุกทิศให้เหลือเพียงร่างกายและจิตใจอยู่ตามลำพังบ้าง เมื่อกายอยู่ที่ไหนใจอยู่ที่นั้น ความยุ่งเหยิงรุงรังต่างๆที่เกี่ยวข้องกันอยู่อิรุงตุงนังก็หายไปชั่วขณะ ความเบากายเบาใจก็ปรากฏขึ้น แล้วจะประจักษ์แก่ตัวเองว่า ไม่มีรสชาติใดที่จะยิ่งใหญ่กว่ารสชาติแห่งความสงบอีกแล้ว

            เมื่อพูดถึงความสงบ ไม่ว่าจะเป็นความสงบทางกาย หรือ ความสงบทางใจ ที่จริงมิใช่แขกแปลกหน้าแต่อย่างใด มันมีอยู่ตั้งแต่ก่อนความวุ่นวายใดๆจะเกิดขึ้น แม้ความวุ่นวายจะเกิดบ้าง เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ผ่านมาชั่วคราว หมดเรื่องหมดราวแล้วก็ผ่านไป สิ่งที่เหลือก็คือความสงบ ใครที่ต้องการความสงบแล้ววิ่งไล่ล่าจะไม่มีวันพบ แต่ถ้าต้องการความสงบลองหยุดเคลื่อนไหวกายดู ก็จะพบความสงบกายทันที หากต้องการความสงบทางใจ ก็หยุดเคลื่อนไหวใจไปหาเรื่องอื่นๆที่ไม่จำเป็น คิดเรื่องต่างๆเท่าที่จำเป็น ปล่อยใจให้พักอยู่กับลมหายใจหรือกิจกรรมใดๆเฉพาะหน้า ใจก็จะสงบทันที

            หลายคนมักถามว่า เมื่อไรบ้านเมืองอันเป็นที่รักของเราจะสงบเสียที คำตอบก็คือว่า ถ้าต้องการความสงบง่ายนิดเดียว หยุดเคลื่อนไหวเสียบ้าง ความสงบจะปรากฏเต็มบ้านเต็มเมือง หากถามต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะเรียกสยามเมืองยิ้มกลับคืนมา ก็ตอบว่า ทำได้ไม่ยากเช่นกัน แต่ขอให้เรียนรู้ร่วมกันว่า ช่วงเวลาที่เราเกลียดกัน เรายิ้มให้กันไม่ได้เลย ยิ่งเกลียดกันนานเท่าไรรอยยิ้มหายไปนานเท่านั้น ถ้ารอยยิ้มหายไปนาน ใบหน้าจะด้านหยาบกระด้าง ยิ้มไม่ออก เมื่อเข้าใจร่วมกันอย่างนี้แล้ว มีทางเดียวที่จะเรียกรอยยิ้มกลับคืนมา คือกลับมารักกันใหม่ ทบทวนดูอะไรที่พอจะอภัยได้ก็อภัยกันไป เรื่องที่อภัยได้แล้วก็ใส่ความรักลงไปแทนความเกลียดชังทันทีอย่าปล่อยให้หัวใจมีช่องว่าง ตรงไหนหัวใจมีช่องว่างก็เติมความรักลงไปทันที

            หากถามว่า จะเริ่มที่ไหนดี ก็ตอบว่า เริ่มที่ผู้รักสงบก่อน หากถามว่าจะเริ่มเมื่อไร จะเริ่มเมื่อไรก็ได้ แต่หากหาวันเริ่มไม่ได้ ก็เริ่มวันมาฆบูชา วันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสามนี้ก็ได้ ช่วยกันบอกต่อๆไปว่า วันมาฆบูชามารักกันเถอะ หากทำเรื่องง่ายๆแค่นี้ได้ ความสงบและรอยยิ้มแห่งสยามจะกลับมาให้ได้ชื่นตาชื่นใจในเวลาที่ไม่ช้านัก

 

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple