วัดพุทธปัญญา

บทความ\ทำไมไม่ไปวัด

ทำไมไม่ไปวัด

วัดพุทธปัญญายังคงเปิดสนทนาธรรมอยู่เป็นประจำเพื่อต้อนรับพุทธศาสนิกชนที่ให้ความสนใจประเด็นธรรมหรือประเด็นศาสนาอื่นๆได้รับความกระจ่าง สะสางเรื่องค้างคาใจให้สะอาดสดใส อุบาสิกาท่านหนึ่ง เคยมาสมาทานอุโบสถศีลกับอุบาสิกาที่สมาทานอุโบสถศีลอยู่เป็นประจำวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง พร้อมกับญาติพี่น้องอีกสี่ห้าคน มาร่วมทำบุญตักบาตรสวดมนต์ภาวนาแล้วได้ตั้งปัญหาถามว่า ทำอย่างไรจึงจะชักชวนเพื่อนที่ไม่สนใจศาสนาให้เข้าวัด เพราะการเข้าวัดฟังธรรมให้ประโยชน์กับชีวิตมากดังที่ได้เคยได้รับมาแล้ว

ประธานลานธรรมได้แถลงเปิดประเด็นว่า การที่คุณโยมคิดว่า จะชักชวนเพื่อนมาวัดเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมนั้น เป็นความดำริชอบประกอบด้วยกุศลแล้ว แม้เพื่อนที่ชวนแล้วไม่มา ก็ไม่ทำให้ความปรารถนาดี ที่เป็นกุศลนั้นจางหายไป แม้จะชักชวนด้วยจิตที่เป็นกุศลเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่ความรู้สึกดีๆที่มีต่อเพื่อนก็ยังคงอยู่ สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือ หากชวนเพื่อนแล้ว เพื่อนไม่ยอมมาด้วยก็อย่าไปโกรธเพื่อนที่เราชวน จะทำให้กุศลที่เราสร้างมาจากมโนกรรมต้องลดลง

เรื่องของศาสนานั้นบอกกล่าวเล่าแจ้งถึงความดีความงามความสุขที่ได้พบได้เห็นให้เพื่อนฝูงฟังได้ แต่การชักชวนให้มาร่วมทางแห่งการศึกษาและปฏบัติด้วยกันนั้นไม่ง่าย เพราะระดับจิตของคนที่สนใจธรรมะย่อมแตกต่างกัน ต้องรอความสมดุลและการลงตัวหลายๆอย่าง การเดินทางเข้าวัดเพื่อฟังธรรมและเจริญไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา จึงจะเกิดขึ้น ปล่อยให้บ่มเพาะความพร้อมให้อินทรีย์แก่กล้าเสียก่อนแล้ววันหนึ่งเมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็จะเป็นไปเองเหมือนดอกไม้บาน อันเป็นไปตามกระบวนการธรรมชาติ

อุบาสิกาถามต่อไปว่า ทำไมไม่สร้างแรงจูงใจดึงคนเข้าวัดให้มากๆ

พระตอบว่า การสร้างแรงจูงใจนั้นสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้แก่ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้จูงและผู้ถูกจูง ฝ่ายผู้จูงก็หวังว่า เมื่อจูงแล้วผู้จูงจะเดินตาม หากจูงใจไปแล้วไม่มีใครเดินตามก็ทุกข์ใจเพราะไม่สมหวัง ครั้นจูงใจด้วยสิ่งใดแล้ว ผู้ถูกจูงติดอกติดใจ ติดตามกันอย่างไม่ลดละก็สร้างภาระอันหนักหนาและเหน็ดเหนื่อยให้แก่ผู้จูงที่จะต้องรักษาความพอใจของผู้ถูกจูงไว้ไม่ให้เบื่อหน่ายจางคลาย ซึ่งเป็นความเหน็ดเหนื่อยที่จะต้องตามมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ส่วนผู้ถูกจูงนั้นเล่า เมื่อผู้จูงเห็นว่าจูงได้ ก็จะจูงไปทุกหนทุกแห่งไม่ปล่อยจนขาดความเป็นอิสรภาพ หมดวามเป็นตัวของตัวเองต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจการชักจูงนั้น หากเมื่อไรชีวิตขาดแรงจูงใจก็จะคิดสร้างสรรค์อะไรด้วยตัวเองไม่ได้ เป็นการทำลายความคิดสร้างสรรค์ในระยะยาว

มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นตัวของตัวเอง มิตรสหายสถาบันศาสนา หรือสถาบันทางสังคมจะช่วยได้ก็แค่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องส่วนการตัดสินใจต้องเป็นเรื่องของใครของของคนนั้น จะไปบังคับบัญชากันไม่ได้ เรื่องของความเชื่อหรือเรื่องของศาสนาหากบังคับกันมากๆอาจจะเป็นเหตุให้โกรธเคืองกันได้ บางมุมของโลกในบางช่วงของประวัติศาสตร์โลกจะพบว่า มีการทำสงครามศาสนาระหว่างศาสนา เพราะมีความเชื่อต่างกัน หรือ บางครั้งคนที่นับถือศาสนาเดียวกันต้องจับอาวุธขึ้นมารบราฆ่าฟันกันไม่รู้จักจบสิ้นเพราะมีความเห็นไม่ตรงกัน

วัด พระสงฆ์ หรือนักการศาสนา เป็นปัจจัยสำคัญที่สำคัญที่ทำให้คนตัดสินใจเข้าวัดดีหรือไม่เข้าจะดีกว่า เพราะบุคคลทั่วไปจะมองวัด พระสงฆ์ หรือนักการศาสนาด้วยความคาดหวังไปทางใดทางหนึ่ง หากผิดไปจากความคาดหวัง ก็จะไม่เข้าไปร่วมกิจกรรมด้วย เช่นพุทธศาสนิกชนที่ชอบฟังธรรม เดินเข้าวัดด้วยการคาดหวังว่าจะได้ฟังธรรมสนทนาธรรม แต่กิจกรรมดังกล่าวไม่มี ความผิดหวังก็เกิดขึ้น ผู้นั้นก็พร้อมจะหันหลังให้วัดทันที บางคนคาดหวังว่า เมื่อเข้าวัดแล้วชาววัดจะให้การยอมรับยกย่องในคุณสมบัติพิเศษของตนที่โดดเด่นแต่ถ้าชาววัดที่ตนเองเข้าไปไม่ตื่นเต้นเร้าใจไปกับตนเอง ก็พร้อมจะหันหลังให้วัดทันที บางคนเข้าวัดเพื่อต้องการให้คำแนะนำในสิ่งที่ตนอยากให้วัดจัดทำ แต่เมื่อวัดมีข้อจำกัดทำตามคำแนะนำไม่ได้ก็ไม่สมหวัง หันหลังออกจากวัดไป บางคนต้องการจัดวัดให้เป็นห้างสรรพสินค้า เป็นชุมชนมีคนมาเยี่ยมชมและซื้อข้าวซื้อของ อาหารการกินกลับบ้าน แต่พอมาถึงวัดไม่มีสินค้าที่ตนต้องการไม่มีการซื้อขายมีแต่ของฟรีที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันด้วยน้ำใจก็รู้สึกไม่สมหวังหันหลังกลับไป บางคนตั้งใจว่า เมื่อไปถึงวัดจะต้องบริจาคเงินให้วัดเพื่อสร้างสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามที่ปรารถนา แต่เมื่อทางวัดไม่มีการเรี่ยไรหรือหาทุนใดๆ ก็ไม่สมหวังเดินทางต่อไปจนพบวัดที่ตนต้องการ

บางคนคิดว่า ธรรมะ มีอยู่แล้วที่กาย วาจา และใจ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ไม่มีความจำเป็นต้องไปวัด เพราะบางทีเดินเข้าวัดพบแต่ธุรกิจการค้าที่ต้องแข่งขันกันด้วยความเร่าร้อนบรรยากาศไม่ต่างอะไรกับภายนอก สู้พักอยู่ที่บ้านสงบๆจะดีกว่า หลายๆคนเป็นเสรีชนชอบทำสิ่งใดก็ได้ที่รู้สึกว่ามีความสุขไม่ผิดกฎหมาย ไม่กระทบกระทั่งใคร มีทุนพอที่จะใช้จ่ายกับความสุขนั้นโดยไม่มีใครมาขัดคอหรืออบรมสั่งสอน เช่น ที่เข้าบ่อนทั่วไปก็ถือคติอย่างนั้น เงินก็เงินของตัวเอง ออกแรงเอง ได้หรือเสียเอง ไม่ต้องไปวัดให้พระสอนอีกรู้อยู่แล้วว่าการพนันไม่ดี แต่ที่ทำไปเพราะทำแล้วมีความสุข เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าวัดฟังธรรมแต่ไปวัดดวงตื่นเต้นเร้าใจกว่ากันเยอะเลย

หากไปวัดไหนแล้วตนเองชอบใจเพราะสุขและสงบดีต้องการแบ่งปันความรู้สึกดีๆให้แก่เพื่อนก็ให้ข้อมูลหรือชักชวนแบบสุภาพไม่บังคับบัญชาหรือใช้วาทะทางการเมืองเข้าเกลี้ยกล่อมโดยไปเหยียบย่ำวัดที่ตัวเองไม่ชอบแล้วไปยกย่องวัดที่ตัวเองชอบอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็สร้างความรำคาญให้เพื่อนผู้รับข้อมูลมากกว่าการสร้างความศรัทธา หากชอบไปวัดไหนแล้วควรให้ข้อมูลมากกว่าการบังคับหรือโน้มน้าวจิตใจจนเป็นที่น่ารำคาญ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองคิดดูว่า วันไหนที่เราไม่รู้สึกหิวมีคนมาบังคับหรือคะยั้นคะยอให้เราต้องกินให้ได้ เราจะรู้สึกรำคาญแค่ไหน

การไปวัดเพื่อเติมอาหารใจในขณะที่ใจยังไม่หิว ก็ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะหาอาหารใจเช่นกัน

สิ่งที่ควรทำเพื่อให้คนอื่นได้รับการแบ่งปันความรู้สึกดีๆก็คือ หาโอกาสเหมาะๆพูดคุยกัน สอดแทรกเรื่องราวนั้นอย่างเหมาะสมกลมกลืนไม่ให้รู้สึกว่าคนที่เราสนทนาด้วยถูกอบรมสั่งสอนจนรู้สึกว่า ตนเองต่ำกว่าหรือด้อยกว่า และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างความประทับใจจนเพื่อนต้องตัดสินใจเดินร่วมทางด้วยคือ นำธรรมะที่ได้รับจากวัดไปปฏิบัติที่บ้านจนชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจนเพื่อนได้รับแรงบันดาลใจที่จะเดินร่วทางมาศึกษาและนำไปปฏิบัติบ้าง ถึงวันนั้นไม่ต้องเอ่ยปากชักชวนก็จะเดินเข้าวัดด้วยความเต็มใจ และเมื่อพบกับความสุขสงบเย็นเต็มใจกลับไปก็จะกลับมาด้วยความเต็มใจโดยไม่ต้องชักชวน วันนั้นคือ วันที่ดอกไม้บาน ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นวันใดวันหนึ่งเมื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วยเหตุปัจจัยที่ครบถ้วน อย่างไรก็ตามเมื่อยังไม่ได้เดินเข้ามาร่วมกิจกรรมของวัด ก็ขอให้อยู่ที่บ้าน

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple