บันทึกไว้เมื่อวัย 51
วันที่สองมกราคม อันเป็นวันคล้ายวันเกิดปีนี้ ตรงกับวันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2553 เมื่อวันคล้ายวันเกิดเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ฉันก็มีอายุครบ 50 ปีเต็ม และย่างเข้า 51ปี ชีวิตได้เดินทางเข้าสู่วัยผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ หากมองการเดินทางของชีวิตคล้ายๆการเคลื่อนคล้อยของดวงตะวัน นั่นก็หมายถึง ดวงตะวันกำลังจะเริ่มบ่ายคล้อยไปทางทิศตะวันตก รอเวลาลับฟ้า ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งเวลาของดวงตะวันที่จะลับฟ้าค่อนข้างแน่นอน แต่เวลาที่ชีวิตจะลับลาหากำหนดแน่นอนไม่ได้ แต่ต้องลับแน่ๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง
วันนี้ตื่นนอนแต่เช้าเช่นเคย รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า คงจะมีสาเหตุมาจากการเข้านอนแต่หัวค่ำ ช่วงเย็นวันที่ 1 มกราคม 2553 รู้สึกง่วงและเพลียเต็มที เพราะคืนวันที่ 31 มกราคม 2552 ได้จัดสวดมนต์ ภาวนาและฟังธรรมให้แก่พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันจนย่างเข้าสู่วันใหม่ แล้วตื่นนอนแต่เช้าเพื่อเตรียมการต้อนรับญาติโยมที่มาทำบุญวันปีใหม่ ซึ่งปีนี้ มีผู้มาร่วมทำบุญวันขึ้นปีใหม่มากเป็นพิเศษสำหรับวัดเล็กๆอย่างวัดพุทธปัญญา คือ ประมาณ 100 กว่าคน มีพุทธศาสนิกชนหน้าใหม่ๆที่เพิ่งมาเยี่ยมวัดเป็นครั้งแรกมาร่วมงานมากหน้าหลายตา
เนื่องจากต้อนรับแขกและแสดงธรรมทั้งวัน เมื่อเข้านอนตอนหัวค่ำจึงทำให้หลับสนิท ตื่นขึ้นมารับวันเกิดด้วยความกระปรี้กระเปร่า เมื่อตื่นขึ้นมาทำภารกิจส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ถวายปัจจัยเป็นการบริจาคทานแก่พระสงฆ์ที่จำวัดด้วยกันสองรูปคือ ท่านบุญพิทักษ์ สุนฺทโร และ ท่านโช อมรญาโณ ซึ่งเป็นพระเกาหลี แล้วร่วมดื่มน้ำเต้าฮู้สองแก้วเล็กๆแล้วทำวัตรสวดมนต์รูปเดียว เพราะพระทั้งสองรูปไปปฏิบัติศาสนกิจที่กริฟฟิตพาร์ค วันนี้ฉันของดศาสนกิจประจำวันเสาร์ที่หน้าไทยแลนด์พลาซ่าและที่กริฟฟิตพาร์ค หนึ่งวันเพื่อพักอยู่ที่วัดอย่างสงบจะได้มีเวลารำลึกถึงบิดามารดา คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์และผู้มีพระคุณทั้งหลายสักวันหนึ่ง เพราะชีวิตกว่าจะเกิดมาและเติบโตมาได้ล้วนต้องเป็นหนี้บุญคุณกับบุลลเหล่านี้และคนอื่นๆอีกมากมาย
เมื่อทำวัตรสวดมนต์เช้าเสร็จก็เลือกบท ธรรมจักกัปวัตนสูตร อันเป็นปฐมเทศนาที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันมาเป็นบทสวดพิเศษประจำวันเกิด เพราะชอบบทสวดมนต์นี้มาก เนื่องจากบทสวดมนต์นี้ เป็นบทที่บรรจุพระสัจธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เป็ยบทธรรมที่เป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนาทีเดียว มีบทธรรมที่กล่าวถึงโทษของความลุ่มหลงในกามและการทรมานร่างกายที่เรียกว่าสุดโต่งทั้งสองฝ่าย และแล้วพระองค์ได้ทรงตรัสอริยมรรคมีองค์แปดว่าเป็นทางสายกลายที่วางอยู่เหนือเส้นทางทั้งสองอย่างนี้ เป็นเส้นทางที่นำผู้เดินให้ไกลพ้นเส้นทางสุดโต่งที่ระคนไปด้วยความทุกข์ทรมานและบีบคั้นทางใจให้เกิดความเครียดตลอดเส้นทาง สู่ความโลงโปร่งสงบสบายหายเครียด
สวดมนต์ทำวัตรเช้าตามปกติแล้วทำสมาธิแบบผ่อนคลายตามสมควร แล้วจึงฟังธรรมจากแผ่นซีดีของหลวงพอ่พุทธทาส เรื่องปรมัตถศิลป์แห่งชีวิต โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความงามของชีวิตในมุมมองของพระพุทธศาสนาที่หลวงพ่อพุทธทาสได้นำมาจากพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อส่งพระสาวกไปประกาศพรหมจรรย์ ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า ศาสนา เป็นครั้งแรกด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของมหาชนเป็นอันมาก จงประกาศพรหมจรรย์ งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด ถึงพร้อมด้วยอรรถะและพยัญชนะ
ความงามสูงสุดของชีวิต คือ ชีวิตที่สงบเยือกเย็น ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะถูกกิเลสบีบคั้น หรือ แผดเผา
พรหมจรรย์ที่พระพุทธเจ้า ตรัสสั่งให้พระอรหันตสาวกอันเป็นพระธรรมทูตรุ่นแรก จาริกไปประกาศแก่มหาชน คือ วิธีการเข้าถึงชีวิตงามดังกล่าวนี้
เนื้อหาหลักของพรหมจรรย์ คือ ศีล สมาธิ และ ปัญญา
พุทธศาสนิกชนเรียก หลักการแห่งพรหมจรรย์นี้ว่า ไตรสิกขา ซึ่งแปลตรงตัวว่า การมองตนเองด้วยกระบวนการสามอย่าง เพราะ คำว่าไตร แปลว่า สาม คำว่า สิกขา แปลว่า การมองตนเอง
ชาวไทยที่ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา แปลคำว่า สิกขา ว่า ศึกษา ซึ่งได้แก่การเล่าเรียน การฝึกฝน อันปราชญ์ไทยโบราณตั้งเป้าหมายของการฝึกฝนเอาไว้ว่า หัตถศึกษา ฝึกฝนการใช้มือ พลศึกษา ฝึกฝนการใช้กำลัง พุทธิศึกษา ฝึกฝนการใช้ปัญญาหรือการฝึกสมอง และจริยศึกษา ฝึกฝนการปฏิบัติตนให้เกิดจิตสำนึกว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใด ควรเว้น
แต่ความหมายของสิกขาในสาระแห่งพรหมจรรย์ มุ่งเน้นการมองตนเอง ซึ่งหมายถึงต้องมองชีวิตอย่างครบถ้วน ทั้งส่วนกายและจิต
การเฝ้าระวังการเคลื่อนไหว หรือ ประกอบกิจกรรมใดๆทางกาย อันรวมถึง วาจาด้วย เป็นเรื่องของประบวนการฝึกฝนที่เรียกว่า ศีล
คำว่า ศีล แปล ตรงตัวว่า ปกติ การฝึกฝนกายวาจาด้วยศีล ก็คือ การรักษาการเคลื่อนไหวทางกาย หรือการกระทำต่างๆให้เป็นไปอย่างปกติ ไม่กระทบกระทั่งใครให้ได้รับความเดือดร้อน หรือบาดเจ็บล้มตาย เวลาจะพูดออกไป ก็ต้องพูดอย่างปกติ ไม่ต้องพูด เพื่อมุ่งทำลายผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน หรือทุกข์กายและทุกข์ใจ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศีล เป็นเครื่องประดับของมนุษย์ โดยพระองค์ทรงตรัสเปรียบเอาไว้ว่า เครื่องประดับต่างๆจะประดับแล้วดูสวยงาม ต้องประดับให้เหมาะสมสอดคล้องตามวัย เช่นหากเด็กนำเครื่องประดับของเด็กมาสวมใส่ก็จะงามอย่างเด็ก แต่หาผู้ใหญ่นำเครื่องประดับของเด็กไปสวมใส่ย่อมไม่งดงาม หรือ หากเด็กนำเครื่องประดับของผู้ใหญ่มาสวมใส่แม้จะสวมใส่ได้แต่ไม่งดงาม แต่ เมื่อเด็กมาสมาทานศีล เด็กจะงามแบบเด็กๆที่มีศีล คนหนุ่มสาวสมาทานศีล ก็จะงามแบบคนหนุ่มสาว เมื่อผู้สูงวัยมาสมาทานศีลก็จะงามแบบผู้สูงวัย
ศีลจึงเป็นเครื่องประดับที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย เมื่อตั้งมั่นในศีลแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดย่อมมีความงามไม่ต่างกัน ข้อสำคัญ ถ้านำศีลมาประดับชีวิต ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วยราคาแพงอย่างเครื่องประดับกายโดยทั่วๆไป
นอกจากนี้ศีลยังเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความดี ความงาม ศักดิ์และศรีของมนุษย์ไว้อย่างครบถ้วนอีกด้วยดังคำประพันธ์ที่ว่า อันสตรีไม่มีศีลก็สิ้นสวย บุรุษด้วยไม่มีศีลก็สิ้นศรี สมณะไม่มีศีลก็สิ้นดี ข้าราชการศีลไม่มีก็เลวทราม
ในทางตรงกันข้าม สตรีที่มีศีลล้วนงามไม่ต่างกัน บุรุษมีศีลก็มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน สมณะหรือพระสงฆ์ที่ทรงศีลล้วนมีอาจาระงามเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใสของพุทธบริษัท ข้าราชการที่ตั้งอยู่ในศีล ล้วนเป็นที่วางใจของประชาชน ได้รับเสียงสรรเสริญไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กลิ่นดอกไม้หอมตามลม แต่กลิ่นศีลหอมทวนลม
สมาธิ เป็นกระบวนการสร้างความงามภายใน คือ ความงามใจ ดังคำประพันธ์ว่า คนจะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า คนจะสวยสวยกิริยาใช่ตาหวาน คนจะแก่ๆความรู้ใช่อยู่นาน คนจะรวยๆศีลทานใช่บ้านโต
สมาธิ ทำให้น้ำใจงดงาม เพราะเป็นน้ำใจที่นิ่งไม่ไหว ไม่กระเพื่อม ย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งความงามกายด้วยศีลที่ต้องเชื่อมประสานกันอย่างใกล้ชิด สมาธิทำให้ใจไม่หวั่นไหวไม่เดือดร้อน ไม่ดิ้นรน ไม่กระวนกระวาย เพราะไม่ถูกรบกวน ด้วย ความรัก ความชัง ความเซ็ง ความฟุ้งซ่าน และความสับสน แต่เป็นจิตใจที่ตั้งมั่นแน่วแน่ สะอาดบริสุทธิ์อ่อนโยนและพร้อมที่จะทำงานต่างๆอย่างมีความสุข
ทีท่าของคนที่ใจเป็นสมาธิจึงเป็นทีท่าที่งดงามเวลาเผชิญกับอุปสรรคเลวร้ายเพียงใดก็ไม่ไหวไม่หวั่นยังคงใช้สติตริตรองค่อยๆแกะค่อยๆแก้ปัญหาต่างๆให้ลุ่ล่วงไปด้วยดีไม่ตื่นเต้นตกใจ
ความงามเช่นนี้ ซื้อหามาไม่ได้ เสริมไม่ได้ แต่ต้องฝึกฝนเอาด้วยกระบวนการสิกขาคือ มองตัวเอง
ปัญญาก็เป็นกระบวนการสร้างความงามให้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง ปัญญา หมายถึงความรู้เรื่องราวต่างๆที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น แต่หากมุ่งถึงปัญญาในไตรสิกขาย่อมหมายถึงความรู้ทั่วในกองสังขารว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หรือ สังขารทั้งหลายไหลเรื่อยไปสู่ความเสื่อมสลาย ความตายเป็นเพียงสถานีหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็จะแปรรูปไหลเรื่อยไปอย่างหาที่สุดไม่ได้
ความพอใจหรือความไม่พอใจ ความจำได้ไหมายรู้ ความคิดดีบ้างชั่วบ้าง การรับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ล้วนปรากฏขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งๆแล้วเคลื่อนคล้อยผ่านไป เหลือเพียงบางสิ่งบางอย่างที่คั่งค้างอยู่ในใจจนกลายเป็นทุกข์เพราะไปย้ำคิดย้ำนึกซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้วตอกลงไปด้วยความสำคัญมั่นหมายว่า มันเป็นตัวตน ไม่เสื่อมสลายไป ก็นำมาเป็นทุกข์ เศร้าโศกคร่ำครวญ ทั้งๆที่ความจริง สิ่งนั้นได้เคลื่อนคล้อยผ่านไปแล้ว
เมื่อใดรู้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งปวง เกิดขึ้นแล้วดับไปทั้งหมด เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะไปนำมาคิดแล้วคิดอีก ปล่อยให้เคื่อนคล้อยสลายไปตามธรรมชาติ ความทุกข์จากเหตุนั้นๆก็ไม่เหลืออีกต่อไป
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะถ้ายึดอะไรไว้ สิ่งนั้นจะกลับมาขบกัดให้เป็นทุกข์ทันที เหมือนเราเดินเข้าป่า ถ้าพบงูแล้วจับงู โอกาสที่จะถูกงุกัดมีสูง หมองูตายเพราะงูมามากต่อมากแล้ว ความยึดมั่นถือมั่นเกินขนาด ทำให้คนฆ่าตัวตายนับไม่ถ้วน
อะไรจะช่วยให้ปล่อยได้
พระพุทธเจ้าบอกเราว่า ปัญญานี่แหละ วันไหนที่เกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นมาว่า ยึดมากทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์น้อย ไม่ยึดไม่ทุกข์ วันนั้นแหละ จึงจะปล่อยวางจากสิ่งที่ยึดนั้นด้วยความเต็มใจ เมื่อปลดปล่อยขยะออกไปจากจิตใจได้มากเท่าไร ใจว่างใจเบาเท่านั้น ส่วนที่ว่างและเบานั้นแหละเป็นส่วนที่เรียกว่า ความสุข
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายคือต้นแบบแห่งชีวิตว่างโปร่งเบา ไม่ต้องอาศัยเครื่องประดับประดาใดๆก็ทรงสง่างามเหลือเกิน เพราะทรงสลัดความเศร้าหมองออกไปไม่เหลือ มีแต่ความบริสุทธิ์ผ่องใสที่จะขับให้มีแต่ความเปล่งปลั่งผุดผ่องอยู่ตลอดเวลา
ความงามอย่างศิลปะในโลกโดยทั่วไปล้วนต้องแต่งแต้มปั้นพอกสิ่งต่างๆเข้าไปอย่างมากมาย ส่วนปรมัตถศิลป์ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นความงามตามธรรมชาติแท้ที่ไม่ต้องพูกพูนสิ่งใดให้หนักหนา มีความสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน
วันคล้ายวันเกิดทุกปี ไม่มีการจัดงานเลี้ยงใดๆ หากจะมีก็เป็นเรื่องที่ส่งเสริมความสงบเสียมากกว่า ดังบางปีมีสหายธรรมมาร่วมภาวนากันบ้างสนทนาธรรมกันบ้าง สำหรับปีนี้ วันที่ 2 มกราคม อันเป็นวันคล้ายวันเกิดตรงกับวันเสาร์ จึงของดไปบิณฑบาตที่ไทยแลนด์พลาซ่า และงดไปบรรยายธรรมที่ชุมชนคนรักธรรมกริฟฟิตพาร์ค หนึ่งวันเพื่ออยู่เงียบๆปล่อยใจให้หวนคิดถึงอดีตวันวานที่ผ่านมาห้าสิบปีเต็มๆ ในวันที่มีพ่อแม่พร้อมหน้า และค่อยๆจากกันไป ปล่อยให้ฉันเดินทางต่อไปเพื่อไปสู่จุดหมายเดียวกันคือกองฟอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
การได้มีชีวิตเงียบๆงดอาหารหนึ่งวันดื่มน้ำและนมเท่าที่จำเป็นเพื่อระลึกว่า วันที่แม่ให้กำเนิดเราเป็นวันที่แม่เจ็บที่สุด เหนือยที่สุด การคลอดลูกในสมัยก่อนในถิ่นห่างไกลต้องใช้หมอตำแยคอยดูแลให้แม่คลอดตามธรรมชาติ เป็นวันที่แม่เสี่ยงชีวิตที่สุด เด็กในยุคนั้นที่ทราบความจริงข้อนี้ย่อมทราบถึงการเสียสละของแม่ได้ดีและระลึกถึงพระคุณแม่ที่ได้ให้ชีวิตว่ามีพระคุณมากมายไม่มีอะไรมาเปรียบได้
การงดอาหารก็มีความรู้สึกเบาไปอีกแบบหนึ่ง รู้สึกว่าเป็นวันที่อวัยวะภายในที่เคยทำงานหนักก็ได้พักหนึ่งวันเต็มๆ การทำสมาธิก็สงบเยือกเย็นได้เร็ว เป็นวันเวลาที่ได้กลับมาหาตัวเองและระลึกถึงชาติกำเนิดได้อย่างลึกซึ้งวันหนึ่งทีเดียว
แม้จะบอกกับใครต่อใครว่า วันนี้ขออยู่เงียบๆคนเดียว คนที่รู้จักมักคุ้นจึงช่วยส่งเสริมด้วยการงดเยี่ยม แต่ปรากฏว่า มีคนที่ไม่เคยพบกันเลย เพิ่งจะมาวัดพุทธปัญญาเป็นครั้งแรก มีเวลาว่างเตรียมอาหารมาถวาย หลายคนเมื่ออธิบายให้เขาเข้าใจว่า งดอาหารหนึ่งวันเพราะเหตุใด ทุกคนก็เข้าใจได้ดี รับเพียงน้ำมาดื่ม พูดธรรมะให้ฟังตามสมควรแล้วจึงเชิญชวนทุกท่านที่มาเยี่ยมกันโดยมิได้นัดหมาย รับประทานอาหารร่วมกัน เป็นการฉลองวันเกิดอีกกิจกรรมหนึ่งโดยมิได้คาดคิด
ทุกคนก็อิ่มท้อง อิ่มธรรม อิ่มบุญและอิ่มใจทั่วหน้า แล้วลากลับบ้านไป
ตอนเย้นทำวัตรค่ำและภาวนาตามปกติ เห็นสภาวะธรรมเรื่องปรุงแต่งและไม่ปรุงแต่งชัดเจนมากขึ้น การหยุดคิดได้ในขณะใดขณะหนึ่ง เป็นการพักใจที่วิเศษที่สุด กายที่ทำงานต่างๆมากมายในแต่ละวันต้องเหนื่อยกายและต้องการพักฉันใด ใจที่ครุ่นคิดอะไรต่างๆมากมายไม่เคยหยุดทำให้ใจอ่อนหล้า ต้องการพักเพื่อให้สดชื่นเหมือนกันฉันนั้น
ปีนี้แก่ลงไปอีกหนึ่งปี ใกล้กองฟอนเข้าไปอีกนิดหนึ่ง จะไกล้มากน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้ ล้มตัวลงนอนแต่ละคืน หากหลับแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกก็จบกันไปแต่ถ้าตื่นขึ้นมาอีกทำหน้าที่ที่มีอยู่ให้ดีที่สุดและพอใจกับสิ่งที่ได้ทำไปอย่างเต็มสติกำลังสติปัญญา
ปัจจุบันขณะ เป็นเวลาที่ดีที่สุด เพราะเป็นเวลาที่จะรู้สึกและ สัมผัสสุขทุกข์ สมหวังผิดหวังได้อย่างประจักษ์แจ้ง ชีวิตแท้ๆก็คงมีอยู่ในแต่ละขณะที่เป็นปัจจุบันนี้เอง อดีตและอนาคต ล้วนเป็นมายาพอๆกัน เพราะเป็นเพียงสิ่งที่คิดฝันทรงจำหรือจินตนาการ แต่ไม่มีความจริงอันประจักษ์ให้สัมผัสได้ ชีวิตก็มีแค่นี้จริงๆ
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple