ประตู......สู่ปกติสุข
ความสุข ความสวัสดี ของข้าพเจ้า จะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญ มั่นคง เป็นปกติสุข ความเจริญ มั่นคง ทั้งนั้น จะสำเร็จผลเป็นจริงใดได้ ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่าย ในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญา รู้คิด และ ด้วยความสุจริต จริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น
จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญอยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกคน หมู่เหล่า ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วตั้งจิต ตั้งใจให้เที่ยงตรง หนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวม อันไพบูลย์ คือ ชาติ บ้านเมือง อันเป็นที่อยู่ ที่ทำกินของเรา มีความเจริญมั่นคงยั่งยืนไป
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
5 ธันวาคม 2552
หลายปีที่ผ่านมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง สามารถเสด็จไปบำเพ็ญกรณียกิจในที่ต่างๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พอถึงวันที่ 4 ธันวาคม ก่อนที่จะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาหนึ่งวัน พระองค์มักจะเสด็จออกมหาสมาคมให้ข้าราชการพ่อค้าประชาชนได้เฝ้ารับฟังพระบรมราโชวาทอย่างใกล้ชิด สื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ จะถ่ายทอดสด หรือนำเอาพระบรมราโชวาทมาเผยแพร่ให้ประชาชนโดยรับทราบกันอย่างทั่วถึง ประชาชนทั่วประเทศต่างรอคอยด้วยจิตใจจดจ่อว่า ปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระบรมราโชวาทว่าอย่างไรบ้าง
ลักษณะเด่นของพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นหลักการที่ใช้ถ้อยคำกระทัดรัดแต่มีความหมายครอบคลุมหลายๆเรื่อง ประชาชนที่ได้รับฟังพระบรมราโชวาทแล้วสามารถนำไปตีความออกมาเป็นภาคปฏิบัติและปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือ อาชีพที่กำลังกระทำอยู่ได้เป็นอย่างดี ดังที่พระองค์เคยตรัสเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง หรือ คติเตือนใจคนในชาติที่ว่า รู้ รัก สามัคคี ก็ล้วนเป็นพระบรมราโชวาทที่ประชาชนในชาตินำมากล่าวถึงและปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง
ปี 2552 ที่กำลังจะผ่านไปนี้ เป็นปีที่อุณหภูมิทางการเมืองร้อนสูงตลอดเวลา การเมืองทั้งในสภาและนอกสภามีการเผชิญหน้า และมีความขัดแย้งทางความคิดสูงแทบจะประสานเข้าหากันไม่ได้ การแตกแยกแบ่งสี แบ่งฝ่าย ยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหาทางประนีประนอมยอมความกันได้ ภาพการเดินขบวนด้วยสาเหตุความขัดแย้งทางการเมืองมีให้เห็นเป็นประจำไม่เว้นแต่ละเดือน
ประชาชนทั่วไทยแทบไม่มีความหวังเลยว่า สถานการณ์บ้านเมืองที่ร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลานี้จะพอสงบเย็นลงอย่างไรได้บ้าง ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เคยเสนอแนะทางออกทางการเมืองไทยมาบ่อยๆ มาถึงวันนี้ต่างพูดไปในทางเดียวกันว่า ยังไม่เห็นทางสว่างเลย
แม้ทุกคนต่างหวังพึ่งองค์พระประมุขว่า เป็นที่พึ่งสุดท้ายที่จะลงมาคลี่คลายสถานการณ์ให้เป็นไปในทางที่จะสงบลงได้ แต่พระองค์ก็ทรงประชวรมาตั้งแต่ปีกลาย ทุกคนต่างตั้งความปรารถนากันใหม่ว่า ขอให้พระองค์ทรงหายจากพระประชวรโดยเร็ววัน กาลเวลาผ่านไปแต่ละวันพสกนิกรต่างเฝ้าติดตามข่าวในพระราชสำนักอย่างใกล้ชิด
ไม่ว่า พระองค์จะทรงพระเกษมสำราญ หรือ ทรงพระประชวร แต่พระองค์ก็ทรงประทับอยู่ในใจของปวงชนอย่างใกล้ชิด ไม่มีเวลาใดที่พสกนิกรชาวไทยจะมีจิตใจห่างจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลย
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 อันเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่ปวงชนชาวไทยต่างเรียกขานวันนี้กันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า วันพ่อ อันเป็นวันที่ปวงชนชาวไทยพากันเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาให้พ่อแห่งชาติคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามคติการปกครองไทยแต่โบราณ และถือโอกาสแสดงความรักแก่พ่อผู้ให้กำเนิดเป็นพิเศษด้วย เป็นอีกวันหนึ่งที่ลูกๆกับพ่อได้อยู่ใกล้ชิดได้คิดถึงความดีของกันและกันเป็นการะชับความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย
ความยิ่งใหญ่อลังการของงานเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีนี้ เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนที่ได้ชมหรือได้ไปร่วมงานกันมาด้วยตัวเองแล้ว คลื่นมหาชนเรือนล้านที่มาร่วมรับเสด็จตลอดเส้นทางจากโรงพยาบาลศิริราชถึงพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ล้วนแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยที่มีต่อองค์พระประมุขอย่างแนบแน่นไม่เสื่อมคลาย
เวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จผ่านทรงยกพระหัตถ์โบกให้ประชาชนที่มารอรับเสด็จตลอดเส้นทาง แม้พระองค์จะทรงอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จตลอดเส้นทาง นับว่า พระองค์ทรงมีพระหฤทัยเข้มแข็งเผื่อแผ่พระกรุณาแก่พสกนิกรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ประชาชนจำนวนมากที่ไม่ได้มารับเสด็จ ทั้งที่อยู่ต่างจังหวัด และที่อยู่ต่างประเทศ ต่างเฝ้าหน้าจอทีวี หรือ ติดตามข่าวทางอินเตอร์เน็ตอยู่ไม่คลาดสายตา เพื่อรอชมพระบารมีและรอฟังพระบรมราโชวาทอันเป็นสุทรพจน์ประจำปีขององค์พระประมุข
พระบรมราโชวาทปีนี้ มีสาระสำคัญเด่นๆที่ควรนำมาพิจารณาปฏิบัติเพื่อความผาสุกแห่งอาณาประชาราษฎร์ได้หลายประเด็น ขอนำบางตอนมาขยายความสู่กันฟัง
ความสุข ความสวัสดี ของข้าพเจ้า จะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญ มั่นคง เป็นปกติสุข พระดำรัสนี้ทรงชี้ชัดว่า หากพระองค์จะทรงมีความสุข พระองค์ต้องการให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุขพร้อมๆกันไปด้วย เพราะเมื่อบ้านเมือง เจริญ ประชาชนก็จะได้รับความสะดวก สบาย และเป็นสุข อันเกิดจากความเจริญในส่วนต่างๆอย่างทั่วถึง หาพระองค์จะทรงมีความสุข ประเทศชาติต้องมั่นคง นั่นก็คือ เมื่อประเทศชาติมั่นคง แข็งแกร่ง ไม่อ่อนแอในด้านต่างๆ ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข จากความมั่นคง ไม่มีสิ่งใดมาคุกคามให้อยู่อย่างหวาดผวา กลัวว่าภยันตรายต่างๆจะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงมีความสุขเมื่อ ประเทศชาติปกติ คำว่า ปกติ ตรงกับคำในภาษาบาลีทางพระพุทธศาสนาว่า ศีล ซึ่งแปลว่า ปกติ มั่นคง ดั่งศิลาแท่งทึบ หนักแน่น ประชาชนที่อยู่เป็นปกติจะไม่เบียดเบียนกันทั้งทางกายและทางวาจา คำว่า ปกติ ในที่นี้จึงเป็นเรื่องที่พสกนิกรไทยทั้งมวลล้วนปฏิบัติได้แล้วจะเป็นเหตุแห่งความเจริญและมั่นคงด้วย ถ้าต่างคนต่างตระหนักในหน้าที่ ระวัง กายและวาจาของตน ไม่ให้ไปกระทบกระทั่งและเบียดเบียนใคร เมื่อปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันปฏิบัติ ศีล คือการไม่เบียดเบียนกันทาง กายและวาจา ก็เป็นที่แน่นอนว่า บ้านเมืองที่ดูเหมือนว่าจะวุ่นวายปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้ จะต้องสงบลงทันที ความสงบนี้ไม่ได้มาจากการปราบปรามด้วยอาวุธของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีอำนาจ แต่ความสงบต้องมาจากจิตสำนึกของคนไทยที่ตั้งใจให้บ้านเมืองปกติแล้วพร้อมใจกันไม่เบียดเบียนกันทางกาย และวาจา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ง่าย เพียงแต่ตั้งใจดำเนินชีวิตโดยไม่เบียดเบียนใคร ก็เป็นผู้ช่วยให้ประเทศสงบปกติทันที
( ความเจริญ ความมั่นคง และปกติสุข) จะสำเร็จผลเป็นจริงใดได้ ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่าย ในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา รู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น พระดำรัสในส่วนนี้ เป็นทางให้ถึงความปกติสุขของบ้านเมือง เมื่อทุกฝ่ายตระนหนักว่า ความปกติ ทางกายวาจา โดยไม่เบียดเบียนใคร เป็นทางที่จะทำให้บ้านเมืองเป็นปกติสุขได้ ก็ทำหน้าที่ของตนๆที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ในครอบครัว หน้าที่ในการงานอาชีพทั้งหลายทั้งปวง อย่างเต็มความสามารถ มีความเชี่ยวชาญเก่งกล้าสามารถในด้านใด ก็ทุ่มเทกำลังกาย และกำลังใจอย่างจริงจังในหน้าที่การงานนั้น ทำเต็มที่ตามหลักวิชาและการฝึกฝนที่ได้กระทำมา เมื่อทำหน้าที่ อย่างสมบูรณ์แล้วต้อง มีสติ รู้ตัว คือ รู้ตัวเสมอว่า หน้าที่การงานตนกระทำอยู่นั้นต้องไม่ทำลายความเจริญ ความมั่นคง และปกติสุขของบ้านเมือง จะทำ พูด หรือ คิด สิ่งใด ต้องไม่ทำลายความปกติสุขของบ้านเมือง มีปัญญา รู้คิด อยู่เสมอว่า เมื่อบ้านเมือง ปกติสุข ประชาชนดำรงชีวิตโดยไม่ต้องหวาดกลัวภัยกันตรายใดๆ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาขัดขวาง ทำร้ายเบียดเบียน ย่อมรู้สึกมั่นคง ชาวต่างชาติเมื่อได้รับฟังว่า บ้านเมืองปกติ ไม่มีการต่อสู้กันด้วยความรุนแรง แผ่นดินทุกตารางนิ้ว โปรยปรายด้วยรอยยิ้ม ก็ปรารถนาที่จะเยือนเมืองแห่งความปกติสุขนี้ เมื่อประชาชนตั้งใจทำหน้าที่ด้วยความรู้สึกมั่นคง แขกบ้านแขกเมืองมาเยี่ยมมาเยือนมาจับจ่ายใช้สอยมาช่วยลงทุน ความเจริญก็จะตามมา เมื่อประชาชนอยู่อย่างปกติสุข บ้านเมืองมั่นคง ความเจริญตามมา พระราชาก็ทรงมีความสุข เคียงข้างพสกนิกรของพระองค์
ข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองและกลไกน้อยใหญ่แห่งการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ไปสู่ความเจริญ มั่นคง และปกติสุขนี้ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วย ความสุจริต จริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น พระดำรัส เรื่อง สุจริต จะเป็นกุญแจสำคัญ ไขไปสู่ความปกติสุข ยุติความวุ่นวายทั้งปวงได้ เพราะปัญหา การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่ประเทศกำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ ล้วนมีสาเหตุมาจาก การทำหน้าที่ของนักการเมืองและข้าราชการประจำที่ไม่สุจริต ไม่จริงใจ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน พรรค พวก เพื่อน พ้อง มากกว่าส่วนรวม การเริ่มต้นแก้ปัญหา ด้วยการกลับมา ตั้งมั่นอยู่ในสุจริต ยุติการโกงทุกชนิด ไม่ว่าจะโกงใต้โต๊ะ บนโต๊ะ โกงเชิงนโยบาย หรือโกงหน้าด้านๆเพื่อให้บ้านเมือง เข้าสู่ภาวะปกติ มั่นคง และเจริญ รุ่งเรือง ต้องเริ่มต้นที่ข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง เพราะปัญหาการโกงเงินแผ่นดินทุกชนิด ทุกรูปแบบมาจากความร่วมมือกันของข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองทั้งสิ้น เมื่อข้าราชการสองกลุ่มนี้ ร่วมมือกันโกงอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยประเทศชาติย่อยยับไปเท่าไรไม่มีใครจะจับใครได้ เพราะแยกไม่ออกว่า ใครเป็นโจร ใครเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเพราะต่างมีพฤติกรรมชนิดเปรต(ใจที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจตัณหาและโลภะไม่มีที่สิ้นสุด)สั่งมาเกิดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าจิตสำนึกแห่งความสุจริตไม่เกิดกับคนทั้งสองกลุ่มนี้ ไม่มีใครในพื้นปฐพีจะแก้ปัญหาการคอรัปชั่นได้ เพราะการแก้ปัญหาต้องแก้ที่เหตุ เมื่อดับเหตุลงได้ผลร้ายก็จะหมดไป การที่ข้าราชการระดับสูงทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ นั่งฟังบรมราโชวาทพร้อมๆกันอย่างนี้ เป็นเรื่องที่พิสูจน์กันได้เป็นอย่างดีว่า ข้าราชการเหล่านี้ มีความสุจริต จริงใจ ต่อคำปฏิญาณของตนต่อหน้าพระพักตร์แค่ไหน มีความสุจริตต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อประชาชนเพียงใด หากต่อจากนี้ไปเป็นเวลาหนึ่งปี การโกงกินทุกรูปแบบในวงราชการมีแนวโน้มที่จะลดลง มากหรือน้อยก็ได้ ย่อมเป็นดัชนีชี้วัดอย่างดีว่า ข้าราชการเหล่านี้มีความสุจริตจริงใจมากขึ้น ประเทศไทยก็มีความหวังขึ้น แต่ถ้าการโกงกินไม่มีแนวโน้มลดลง และกลับเพิ่มขึ้น ก็เป็นอันว่า ข้าราชการทั้งฝ่ายประจำและฝ่ายการเมือง ล้วนรับพระบรมราโชวาทใส่เกล้าแล้วหายสาบสูญไปพร้อมกับฟองยาสระผม ตามแรงน้ำที่ราดไหลลงไปจากหัว โดยไม่นำพามาปฏิบัติให้บ้านเมืองปกติสุขแต่อย่างใด
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประทานกุญแจเปิดประตูสู่ปกติสุขแล้ว พระองค์ได้ทรงเชิญชวนให้ปวงชนชาวไทยตระหนักในหน้าที่ของตนและร่วมมือกันสร้างสรรค์ประเทศให้เจริญ มั่นคงและปกติสุขในช่วงสุดท้ายว่า จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญอยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกคน หมู่เหล่า ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วตั้งจิต ตั้งใจให้เที่ยงตรง หนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวม อันไพบูลย์ คือ ชาติ บ้านเมือง อันเป็นที่อยู่ ที่ทำกินของเรา มีความเจริญมั่นคงยั่งยืนไป
พระดำรัส ประกอบไปด้วยจุดหมายปลายทาง คือ ความเจริญ มั่นคง ปกติสุข บนเส้นทางแห่งความมีสติ รู้ตัว ปัญญา รู้คิด สุจริต จริงใจ พระองค์ได้เชิญชวนปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ร่วมเดินเป็นเพื่อนร่วมทางของพระองค์เพื่อบรรลุถึงประโยชน์อันไพบูลย์ร่วมกัน วันใดที่คนไทยทั้งชาติ มีความสุข วันนั้นพระองค์จะทรงมีความสุขเกษมสำราญยิ่ง เพราะพระองค์ คือ กัลยาณมิตรผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์ของคนไทยอย่างแท้จริง
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple