เยือนเพื่อนทุกข์ตอนที่ 9 ใจ
การแสดงธรรมในเรือนจำที่เรียกว่า Metropolitan Detention center ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผู้ต้องขังหญิงชายให้ความสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี จำนวนผู้ฟังบางครั้งลดลง บางครั้งเพิ่มขึ้น เพราะที่นี้เป็นเรือนจำที่ผู้ต้องขังส่วนใหญ่รอขึ้นศาลเพื่อรับการตัดสินโทษครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับบ้านบ้าง ไปเรือนจำอื่นๆเช่นที่ชิโนฮิลล์หรื อลองบีชบ้าง
มีผู้ต้องขังชายกลุ่มหนึ่งที่รอการขึ้นศาลด้วยระยะเวลานาน จึงยังอยู่กันพร้อมหน้า และขยันมาฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอ มาฟังธรรมทุกครั้งต้องมีหัวข้อธรรมมาเสนอให้สนทนากันเป็นประจำ
วันหนึ่งผู้ต้องขังชายคนหนึ่งได้ตั้งคำถามว่า ใจมีความสำคัญอย่างไร
จึงเริ่มสนทนาว่า เบื้องต้น ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ชีวิตประกอบด้วยกายกับใจ
จะเห็นได้ว่า เมื่อชีวิตประกอบด้วยส่วนสำคัญสองส่วน ใจก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญหนึ่งส่วน หากเทียบอัตราส่วนชีวิตเท่ากับหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อกายเป็นส่วนประกอบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ใจก็เป็นส่วนประกอบอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์เช่นกัน จึงรวมเป็นหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
หากมองชีวิตในเชิงองค์ประกอบจะพบว่า ใจมีความสำคัญครึ่งหนึ่งของชีวิตทีเดียว
เมื่อทราบว่าใจมีความสำคัญเท่ากับกาย ก็ต้องหล่อเลี้ยง บำรุง ดูแล รักษาให้สุขภาพใจ มีความสมบูรณ์พอๆกับการดูแลรักษาสุขภาพกายให้สมบูรณ์แข็งแรงและมีพลัง ร่างกายดำรงอยู่ได้ด้วยอาหารกายฉันใด ใจก็ต้องการอาหารใจฉันนั้น
แป้ง น้ำตาล ไวตามิน เกลือแร่ โปรตีน ไขมันและน้ำ เป็นองค์ประกอบหลักของอาหารกายฉันใด ความสงบ ความปลาบปลื้ม ปีติอันเกิดจากการกระทำความดีให้แก่ตนเองและผู้อื่นก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอาหารใจฉันนั้น
หากมองชีวิตว่าเป็นแหล่งกำเนิดแห่งกรรมทางกาย(กายกรรม) วาจา(วจีกรรม) และใจ(มโนกรรม) ทั้งที่เป็นกรรมดีและกรรมชั่ว ใจก็เป็นหนึ่งในสามแห่งองค์ประกอบของการทำกรรมต่างๆ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ใจเป็นหัวหน้า ใจถึงก่อน กิจกรรมต่างๆสำเร็จด้วยใจ เมื่อใดใจไม่ดี การทำการพูด ก็พลอยไม่ดีไปด้วย เปรียบเหมือนล้อเกวียนย่อมหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนนั้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อใด ใจดี การทำและการพูดก็ดีไปด้วยเปรียบเหมือนเงาที่ติดตามเจ้าของเงาไปฉะนั้น
ในองค์ประกอบแห่งการทำกรรมสามอย่างนั้น ใจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นหัวหน้า เป็นผู้นำของการกระทำของกายและวาจา
ในทางพระพุทธศาสนาเรียกความคิดและการพูดว่า เป็นการกระทำด้วย
การพูดเรียกว่า วจีกรรม
การคิด เรียกว่า มโนกรรม
ส่วนการกระทำทางกายก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า เป็นการกระทำตรงๆ
เมื่อใจเป็นหัวหน้า เป็นผู้นำทางการทำและการพูด ต้องฝึกฝนระมัดระวังใจให้คิดในสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ทั้งตนเองและส่วนรวม เพื่อจะได้สั่งการให้การทำและการพูดที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของใจให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้องดีงาม เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น
ใจสะท้อนลักษณะเฉพาะของแต่ละคน หรือว่าอัตลักษณ์ ที่บ่งบอกว่า คุณภาพชีวิตของคนนั้นๆเป็นอย่างไรดังคำพูดที่ได้ยินกันโดยทั่วไปอย่างคุ้นเคยว่า คนนี้ใจดี คนนี้ใจร้าย คนนี้ใจอ่อน คนนี้ใจแข็ง คนนี้ใจบุญ คนนี้ใจบาป คนนี้ใจแคบ คนนี้ใจกว้าง คนนี้คิดสร้างสรรค์ คนนี้คิดทำลาย คนนี้คิดดี คนนี้คิดร้าย
ใจเป็นเครื่องรับผลของการกระทำทางกายและวาจา ที่แสดงออกมาเป็นความสุขหรือเป็นความทุกข์ ดังคำที่กล่าวกันโดยทั่วอย่างคุ้นเคยเช่นกันว่า ความสุข ความทุกข์อยู่ที่ใจ เมื่อสมหวังก็เป็นสุข ใจนี่แหละเป็นผู้รับรู้ความสุข เมื่อผิดหวังก็เป็นทุกข์ ใจเป็นผู้รับรู้ เมื่อได้รับสิ่งที่พึงปรารถนา น่าพอใจ น่ารัก ใจก็รับรู้ความพอใจนั้นและแปรผลเป็นความสุข ในทางตรงกันข้ามหากต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ ไม่น่าชื่นชม ไม่น่าเคารพ ไม่น่าบูชา จิตใจรับรู้แล้ว แปรผลออกมาเป็นความทุกข์
ใจคือสภาพที่สามารถฝึกฝนได้จนเข้าถึงความดีสูงส่งของความเป็นมนุษย์ได้ คือ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ และเป็นพระอริยเจ้าในขั้นต่างๆ ล้วนเป็นกันด้วยสมรรถนะทางใจที่อยู่เหนือกิเลสในระดับต่างๆจนอยู่เหนืออย่างสิ้นเชิงอย่างเช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์
เพราะใจทุกดวงมีดีอยู่โดยปกติธรรมชาติ ความเศร้าหมองวนเวียนมาเยือนเป็นครั้งคราว การรักษาใจมิให้เศร้าหมองจึงเป็นการทำความดีสูงส่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง เมื่อระวังใจอยู่เป็นประจำกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ก็ไม่เข้ามารบกวนดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดจะระวังจิต ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงแห่งมาร
ใจเป็นชุมทางไปสู่นรก สวรรค์และนิพพาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อใจเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวัง พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆว่า หากจิตเศร้าหมองต้องไปนรกแหงๆ
พระองค์ยังตรัสอีกว่า เมื่อใจไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวัง พูดภาษาชาวบ้านได้ว่า เมื่อใจบริสุทธิ์ ต้องไปสวรรค์แน่ๆ
การที่ใครจะไปนรกหรือสวรรค์ในชาตินี้ หรือนรกหรือสวรรค์ในชาติหน้า ต้องอาศัยใจที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้วเป็นเส้นทาง เพราะการทำดีทำชั่ว ทางกายวาจาใจทั้งหลายที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันล้วนเป็นอุปกรณ์สร้างทางไปนรกหรือสวรรค์ทั้งนั้น
หากใครรีบอยากพบนรกหรือสวรรค์เร็วๆไม่อยากรอให้ตายก่อน ก็เฝ้ามองที่ใจนี่แหละ ขณะใดที่ใจ อึกอัด ขัดเคือง รำคาญเร่าร้อน กระวนกระวาย อันเกิดจากการทำกรรมชั่ว ขณะนั้นได้สัมผัสนรกแล้ว ขณะใดที่ใจอิ่มเอิบเบิกบาน เพราะความปลาบปลื้มในกรรมดีที่ได้กระทำอย่างถูกต้อง ในขณะนั้นได้สัมผัสสวรรค์บนดิน
นรกสวรรค์ที่ได้สัมผัสบนดินนี้แล้ว จะเป็นอุปกรณ์ก่อสร้างทางไปสวรรค์หรือนรกในภพหน้าต่อไป
คนที่เชื่อเรื่องนรกและสวรรค์จะในความหมายใดก็ตาม ย่อมมีผลดีต่อการดำเนินชีวิตแบบละอายชั่วกลัวบาป ทั้งในปัจจุบันและอนาคต แล้วพยายามหลีกเลี่ยงความชั่วทั้งปวงแล้วประกอบกรรมดีให้มากเข้าไว้
กรรมดีที่ประกอบก็ทำลงไปที่กาย วาจา และใจนี่แหละ
คนที่ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์เลยแม้แต่มิติเดียว แม้เป็นคนดีอยู่ตามปกติ แต่หากมีสิ่งยั่วยุให้กระทำความชั่วมากๆอาจจะหลุดหลงลืมไปตามแรงยั่งยุนั่นได้โดยไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว แต่ถ้ามีอะไรเหนี่ยวไว้บ้างจะสามารถฉุดรั้งชีวิตมิให้ถลาลงหล่มแห่งความชั่วได้ง่าย
พระพุทธเจ้าตรัสคำจำกัดความของนิพพานไว้ว่า สภาวะที่สิ้นราคะ โทสะ และโมหะหรือบางคราวตรัสเพียงว่า การสิ้นไปแห่งตัณหาก็เรียกว่า นิพพาน
ถือเอาความหมายว่า นิพพาน คือ ใจที่ไม่มีตัณหา คือความอยากได้ อยากมีและอยากเป็นห่อหุ้ม กลุ้มรุมและรบกวน หรือใจที่สิ้นราคะ สิ้นโทสะและสิ้นโมหะ คือไม่มีความเร่าร้อนหื่นกระหายในกาม(รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ )ไม่เกรี้ยวกราด ไม่ลุ่มหลงมัวเมา มีแต่ความสะอาด สว่าง สงบและเย็นอกเย็นใจ
เมื่อพิจารณาเห็นความจริงอย่างถ่องแท้ว่าใจสำคัญแค่ไหน พึงหล่อเลี้ยงใจให้อิ่มเอิบด้วยน้ำใจคือ ความปลาบปลื้มและความสงบให้ใจได้สดชื่นเบิกบานอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะได้เป็นพาหนะนำชีวิตไปสู่ความสงบสุขอย่างถ่องแท้
อ่านต่อฉบับหน้า
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple