วัดพุทธปัญญา

บทความ\ เยือนเพื่อนทุกข์ตอนที่หก

เยือนเพื่อนทุกข์ตอนที่ หก

สวดมนต์

เมื่อได้สนทนาธรรมเรื่องความทุกข์กับความไม่ทุกข์กับผู้ต้องขังหญิงอย่างละเอียดในแง่มุมต่างๆแล้ว จึงสรุปสั้นๆว่า ความทุกข์กับความไม่ทุกข์หมุนเวียนเปลี่ยนกันเกิดดับภายในจิตใจเสมอตามเหตุปัจจัยของแต่ละอย่างเมื่อใดจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อนั้นก็ไม่ทุกข์เมื่อใดจิตใจเศร้าหมอง จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ เมื่อนั้นความทุกข์ก็จะปรากฏขึ้นมา ดังฟากฟ้าที่มีวันหม่น และสดในสลับกันไป

เหลือเวลาการอบรมอีกสิบนาที จึงร่วมกันเจริญสมาธิภาวนาแบบ ตามดู ตามรู้ ตามเห็นลมหายใจเข้าออก เพื่อให้กายกับใจอยู่ด้วยกัน เพราะเมื่อใดกายกับใจได้อยู่ด้วยกันอย่างแนบสนิท ความทุกข์ก็จะผ่นอคลาย ไปตามลำดับ เพราะความทุกข์มักจะเกิดเมื่อจิตแล่นไปเที่ยวไล่จับรับรู้อารมรณ์ในอดีต บ้างหรือ ย้อนหลังกลับไปหาอนาคตบ้างแต่เมื่อใดใจอยู่กับปัจจุบัน ใจจะได้พักผ่อนทันที เปรียบเหมือน เวลาคนออกจากบ้านไปทำงานตามที่ต่างๆนานๆจะรู้สึกเหนื่อย แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านได้พักผ่อนก็จะรู้สึกสดชื่นเบิกบานเรียกพลังงานที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้อย่างเต็มอิ่ม

การทำสมาธิที่แท้ก็คือการพักใจเพื่อเพิ่มพลังงานให้ชีวิตนั่นเอง

ผู้ต้องขังหญิง ทำสมาธิเสร็จแล้ว ได้นำแผ่เมตตาและอธิษฐานจิตให้มีความเข้มแข็ง สดชื่น เบิกบาน พบกับอิสรภาพทางใจไม่ถูกผูกมัดด้วยกิเลส และพบกับอิสรภาพทางกายตามเงื่อนไขแห่งกาลเวลาและกฎหมายที่กำหนดไว้

เมื่อการอบรมเสร็จสิ้นลง ทุกคนกล่าวขอบคุณ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใจ ส่วนผู้ต้องขังชาวลาว ได้เข้ามานั่งพับเพียบต่อหน้า แล้วกราบลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์อย่างสวยงาม ทำให้ผู้ต้องขังอื่นๆที่เหลือ นั่งลงทำอย่างนั้นตามด้วยความเต็มใจ เพื่อต้องการแสดงความขอบคุณที่ได้สนทนาธรรมกันอย่างเต็มอิ่มนั่นเอง

เมื่อเสร็จการอบรมผู้ต้องขังหญิงเสร็จแล้ว เว้นระยะเวลาประมาณสิบนาที ผู้ต้องขังชายจำนวนประมาณสามสิบคนก็ตั้แถวเดินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แต่งกายในชุดผู้ต้องขังสวมเสื้อสีขี้ม้ากางเกงขายาวสีกากี เก็บชายเสื้อไว้ในกางเกงอย่างเรียบร้อย ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันสูงอายุ มีผู้ต้องขังผิวดำหนึ่งคน รูปร่างหน้าตาสูงใหญ่ มีชาวเอเซียอีกสามหรือสี่คน เป็นคนหนุ่มๆชาวจีน พวกเขาน่าจะเป็นชาวพุทธมหายานจากส่วนใดส่วนหนึ่งของจีน หรือใต้หวัน หรือฮ่องกง ไม่ได้ถามให้ชัดเจน แต่สังเกตจากการที่พวกเขาเดินตรงมาที่ตู้พระพุทธรูปแล้วแสดงความเคารพแบบชาวพุทธจีนโดยทั่วไป

ผู้ต้องขังทั้งหมดนั่งบนเก้าอี้ มีผู้ต้องขังอเมริกันคนหนึ่ง นั่งบนพื้นกราบเญจางคประดิษฐ์ได้ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางจะเป็นขาใหญ่ในเรือนจำเพราะสังเกตได้จากเวลาผู้ต้องขังบางคน กระซิบกระซาบกันเวลาฟังธรรม ชายคนนี้จะหันไปปรามด้วยการยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณว่า อย่าคุยกัน คนที่กำลังคุยกันอยู่ จะเงียบกริบทันที แม้บางครั้งเวลาผู้ต้องขังบางคนนั่งไขว่ห้างฟังธรรมชายคนนี้ก็ต้องปรามให้นั่งให้เรียร้อยแสดงว่า เป็นผู้ต้องขังที่ไม่ธรรมดา หรือเรียกตามภาษาคนคุกว่า ขาใหญ่ แน่นอนทีเดียว

การพบกันครั้งแรกเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักว่า ฉันเป็นใครมาจากไหน พักอยู่ที่ไหน เดินทางมาอย่างไร จึงบอกพวกเขาว่า วัดของฉันตั้งอยู่ที่เมืองโพโมน่า เดินทางมาด้วยรถบัสประจำทางสะดวกดี เพราะป้ายรถก็อยู่คนละฝั่งถนนนี้เอง เมื่อรถจอดแล้วเดินข้ามมาเพีงสามไฟแดงที่อยู่ติดๆกันเพื่อความสะดวกของการจราจรที่คลาคล่ำของถนนบริเวณนั้นนั่นเอง

ชายสูงอายคนหนึ่งเริ่มหัวข้อสนทนาโดยตั้งปัญหาถามว่า การสวดมนต์มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

กล่าวคำขอบคุณสำหรับคำถามที่จะเปิดประเด็นสนทนาแล้ว จึงเริ่มตอบว่า

การสวดมนต์เป็นวิธีการทำจิตให้สงบวิธีหนึ่ง สังเกตเห็นได้ว่า ทุกศาสนาจะนิยมสวดมนต์ แม้จะมีเนื้อหาสาระต่างกันหรืออาจจะมีจุดประสงค์ต่างกัน แต่หากสวดด้วยความตั้งใจจะมีผลเหมือนกันคือ ขณะที่จิตใจจดจ่ออยู่กับการสวด จิตใจจะได้พักเพื่อเติมพลังใจทันที

ประโยชน์จากการสวดมนต์ที่เห็นได้ชัดคือ

•  ได้พักใจกับบทที่กำลังสวดนั้น การสวดมนต์เป็นวิธีการพักใจที่ทำได้ง่าย เพราะเวลาเปล่งเสียงสวดมนต์จะมีความตั้งใจในการสวดจิตใจจะสงบได้ง่าย

•  เป็นการกระตุ้นให้สมองได้ตื่นตัวขึ้นมาฟื้นความทรงจำ จะเห็นได้ว่า ถ้าสวดมนต์อยู่เป็นประจำจะท่องบทสวดมนต์นั้นได้คล่อง แต่ถ้านานๆสวดครั้งหนึ่งจะลืมบทนั้นไป สมองต้องการทบทวนในสิ่งที่จำไว้บ่อยๆ

•  การสวดมนต์เป็นการทำความดีอย่างครบถ้วน เวลาพนมมือขึ้นเป็นการทำความดีทางกาย เวลาเปล่งเสียงสวดออกมา เป็นการทำความดีทางวาจา เพราะบทสวดมนต์ทุกบทนำมาจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ผู้มีจิตบริสุทธิ์ ล้วนเป็นการนำเอาข้อความดีๆมาท่องบ่น เมื่อจิตจับอยู่กับทสวดมนต์ไม่ห่างกายไปไหน จะสงบได้ง่าย หากฝึกบ่อยๆเวลาสวดมนต์คือเวลาสงบใจประจำวันได้เลย หรือ เมื่อมีเวลว่างควรปล่อยเวลาให้หมดไปกับการสวดมนต์ดีกว่า ไปครุ่นคิดเรื่องอื่นๆ เมือจิตใจสงบกายก็พลอยไม่เครียดผ่อนคลาย การสวดมนต์เป็นการส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตไปในตัว

•  การสวดมนต์เป็นวิธีการสร้างความสุขที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพราะเมื่อใจสงบ ความสุขก็เกิดขึ้นทันที ในบบรดาความสุขทั้งหลาย ความสุขที่เกิดจากความสงบสุดยอดที่สุดดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สุขอื่นยิ่งกว่า ความสงบไม่มี

•  หากรวมกลุ่มกันสวดมนต์ได้ เช่นพระสงฆ์ตามวัดต่างๆหรือศาสนิกตามโบสถ์หรือสุเหร่า เวลาสวดมนต์ประชาชนจะออกจากบ้านมารวมตัวกันสวดมต์กลางหมู่บ้าน พอทำไปนานๆเป็นเดือนเป็นปี ความสนิทสนมคุ้นเคยเพิ่มมากขึ้น ความสามัคคีกลมเกลี่ยวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็เกิดขึ้น เวลามีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่องานสาธารณะจะสามารถระดมกำลังกันได้ง่าย

การสวดมนต์จึงเป็นวิธีทำดี วิธีหาความสุขที่ทำได้ง่าย ไม่ว่าศาสนิกจากศาสนาไหนก็ทำได้ ขอให้เข้าใจความต้องการของธรรมชาติแห่งจิตว่า ต้องการการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การสวดมนต์จึงเป็นการพักใจที่เกื้อกูลต่อความสงบผ่อนคลายของกายด้วย การสวดมนต์เป็นประจำคือการทำชีวิตให้เต็มบริบูรณ์ทั้งกายและจิตนั่นเอง

ติดตามต่อฉบับหน้า

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple