วัดพุทธปัญญา

บทความ\ เยือนเพื่อทุกข์ตอนที่ ห้า

เยือนเพื่อทุกข์ตอนที่ ห้า

ทุกข์เป็นอย่างไร
        เมื่อผู้ต้องขังหญิง จากชาติต่างๆหลายชาติ หลายศาสนาและหลายๆวัฒนธรรมได้มาพบพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา นับว่าได้พบสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งในชีวิตของพวกเธอทีเดียว ได้ชวนกันถามปัญหาต่างๆที่เธออยากรู้เกี่ยวกับเรื่องพระสงฆ์หลายเรื่องทีเดียว เช่นถามว่า มาจากประเทศไหน บวชนานแล้วหรือยัง มีแรงจูงใจอะไรจึงบวช ชีวิตนักบวชเป็นอย่างไรบ้างรู้สึกโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว เหงาบ้างหรือไม่ ชีวิตแต่ละวันเป็นอย่างไร
      ผู้ต้องขังหญิงส่วนใหญ่ เป็นชาวอเมริกัน และมีชนชาติอื่นชาติละหนึ่งหรือสองคน เช่นชาติลาวสองคน ฟิลิปินส์ หนึ่งคน เมกซิกันหนึ่งคน รวมๆกันแล้วก็ประมาณสิบกว่าคน
      ความตั้งใจเดิมของท่านอิหม่ามก็ตั้งใจไว้ว่า จะจัดพระไปแสดงธรรมแก่คนเอเซียที่นับถือพระพุทธศาสนาได้พบพระสงฆ์และฟังธรรม เพราะตามปกติจะมีการประกอบพิธีและศึกษาศาสนาจากสองศาสนาหลักๆคือ ศาสนาคริสต์กับอิสลาม แต่พอถึงเวลาฟังธรรมจริงๆ ผู้ฟังธรรมส่วนใหญ่กลายเป็นศาสนาคริสต์ ทุกคนตั้งใจศึกษาเป็นอย่างดีเพราะกิจกรรมการฟังธรรมนั้นไม่มีการบังคับอนุญาตให้ทุกคนสมัครใจด้วยตนเอง จึงได้พบเห็นแต่คนที่ตั้งใจและสนใจจริงๆ การสนทนาธรรมจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น บรรยากาศเปี่ยมด้วยมิตรภาพ
    ใช้เวลาทักทายทำความคุ้นเคยกันได้สักสามสิบนาที ผู้ต้องขังอเมริกันคนหนึ่งได้ตั้งคำถามว่า คำสอนในพระพุทธศาสนาเรื่องทุกข์เป็นอย่างไรบ้าง
    จึงตอบเธอว่า ขั้นแรกต้องกำหนดเสียก่อนว่า พระพุทธเจ้าตรัสถึงความทุกข์สองอย่าง คือทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ
    ความทุกข์ทางกายสามารถเข้าใจได้ง่ายเพราะเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความป่วยไข้ หรือการพบอุบัติเหตุ ที่ทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกายต้องชำรุดหักพังไป เจ็บมือเจ็บเท้า ปวดเมื่อยตามร่างกาย ล้วนเป็นความทุกข์ทางกาย
      ส่วนความทุกข์ทางใจ สัมผัสได้เวลาที่อึดอัด ขัดเคือง เครียดกับปัญหาต่างๆที่รุมเร้า หรือบางคราวถูกบีบคั้นเพราะความปรารถนาที่ไม่สมปรารถนา หรือ สมปรารถนาแล้วก็ยังต้องห่วงหาอาลัยอีก ล้วนเป็นอาการของความทุกข์ใจทั้งนั้น
      ทุกข์กายกับทุกข์ใจบางครั้งมาพร้อมๆกันเช่น ผู้ป่วยด้วยโรคร้ายที่รักษายาก ผู้ป่วยก็จะวิตกกังวล หวาดกลัวพิษภัยของโรคนั้น เลยทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ
      พระพุทธเจ้าสอนว่า ความทุกข์มิได้เกิดขึ้นเอง หรือติดอยู่กับมนุษย์อยู่ตลอดเวลา แต่เกิดเมื่อมีเหตุให้เกิดทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้สาเหตุสำคัญแห่งทุกข์ทั้งปวงไว้ว่า มาจากตัณหา ซึ่งแปลว่า ความอยาก แบ่งออกเป็นสามประเภทใหญ่คือ ถ้าอยากได้ เช่น อยากได้วัตถุสิ่งของ เงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ ตำแหน่งหน้าที่ หากไม่ได้สมปรารถนาจะกระวนกระวายเมื่อได้มาแล้วก็ไม่อยากให้สิ่งของเงินทองหรือทรัพย์สินนั้นเสียหายหรือจากตนเองไป อาการอย่างนี้แหละเป็นความทุกข์
    ความอยากประเภทที่สองคือ อยากเป็นเช่นอยากเป็นผู้นำในระดับต่างๆเช่นผู้อำนวยการ ปลัด รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดี ล้วนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
    ความอยากประเภทที่สาม คือไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ความอยากประเภทนี้ดูเหมือนว่า จะไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์แต่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ถูกต้องทีเดียว เช่นทำงานในอาชีพใดอาชีพหนึ่งมานาน เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาแล้วไม่อยากจะทำต่อไปแล้ว ไม่อยากเป็นอะไรอีกแล้วเบื่อหน่าย นี่ก็เป็นอาการของความอยากประเภทนี้
    สามีภรรยา ตัดสินใจแต่งงานอยู่ร่วมชีวิตกันด้วยพลังแห่ง ความอยากได้มาไว้ครอบครอง แต่เมื่อยู่ร่วมกันจริงๆกาลเวลาผ่านไปหลายเดือนหลายปี เร่มเบื่อกันทีละเล็กทีละน้อย เมื่อสะสมมากขึ้นๆมากขึ้น ก็อย่าร้างแยกทางกันไป
    การหย่าร้างแยกทางกันนี่แหละ มากจากพลังขับเคลื่อนแห่งความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
      หากจะเรียกให้ถูกต้องตามภาษาบาลีก็เรียกว่า
      กามตัณหา ความอยากได้ อยากมี
      ภวตัณหา ความอยากเป็น
    วิภวตัณหา คือ ไม่อยากได้ไม่อยาก มี ไม่อยากเป็นในสิ่งที่ตนเอง ไม่ชอบ อยากผลักใสไล่ส่งและทำลายให้พินาศย่อยยับ ล้วนมาจากพลังแห่ง วิภงตัณหาทั้งสิ้น
    อย่างไรก็ตาม ความทุกข์ใจมิได้มีอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดมีเหตุปัจจัยและเงื่อนไขครบถ้วนก็จะเป็นทุกข์ครั้งหนึ่ง เมื่อเงื่อนไขเหล่านั้นไม่เกิดความทุกข์ก็ไม่เกิด
    ลองสังเกตดู ในแต่ละวัน มนุษย์จะอยู่กับความไม่ทุกข์ ไม่อึดอัด ไม่คับแค้นใจ มากกว่า อยู่ด้วยความทุกข์ ต้องลองสังเกตดีๆ เพราะเป็นเรื่องละเอียดมากจนยากแก่การเข้าใจว่า ชีวิตนี้มีสุขทุกข์สลับกันไป เมื่อมีมืดก็ต้องมีสว่าง เมื่อมีความทุกข์แล้ว สิ่งที่จะตามมาหลังความทุกข์ผ่านพ้นไปล้ว ก็คือความสุข
    นี่คือสัจธรรมที่มีอยู่คู่โลกเป็นอย่างนี้ หากเข้าใจข้อความดีแล้ว นำไปพิจารณาดูในชีวิตจริงๆ แล้วจะพบว่า เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตมิได้ทุกข์รมานหม่นหมองมากมายแต่อย่างใด แต่เป็นเวลาที่จิตปกติ ไม่มีทุกข์เสียมากกว่า
    นี่คือ มุมมองเรื่องความทุกข์ในพระพุทธศาสนา ที่เป็นไปตามธรรมชาติ มีเหตุปัจจับปรุงแต่ง จะมีสภาพเหมือนสิ่งทั้งปวงคือ เกิดขึ้น ในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด
    เวลาใดที่รู้สึกเป็นทุกข์ก็อย่าตกใจ ไม่นานมันก็จะหายไปเอง เรามีหน้าที่แค่กำหนดรู้ว่า ทุกข์มาเยี่ยมเยือน ประเดี๋ยวเดียวก็จะสลายหายไป
    พระพุทธเจ้าสอนให้รักษาใจ หากรักษาใจดีๆแม้ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆก็ไม่ตกใจ บอกตนเองเสมอๆว่า ทุกข์มาเยือนแล้วจากไป เพียงแต่อย่าเพลินทุกข์ แล้วกอดความทุกข์เอาไว้ เหตุนี่แหละ ที่มนุษย์จำนวนมากมักจะพูดว่า เกิดมาทุกข์ตลอดชาติ
    ความจริงความทุกข์มาเป็นครั้งคราว ไม่มีใครจะทุกข์ได้ตลอดชาติ ชีวิตจิตใจส่วนใหญ่จึงอยู่กับความปกติและไม่มีความทุกข์
    นี่แหละทัศนะเรื่องทุกข์ตามแบบพระพุทธศาสนาลองนำไปไตร่ตรองดูจากชีวิตจริงแล้วจะพบว่า ข้อความที่ว่า มีมืดมีสว่าง มีสุขมีทุกข์ สลับกันไป ล้วนเป็นความจริงแท้ๆ
   
      ติดตามตอนต่อไป

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple