วัดพุทธปัญญา

บทความ\หลักธรรมเพื่อการสมานฉันท์

หลักธรรมเพื่อการสมานฉันท์

ความแตกแยกในทางสังคมและการเมือง เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของมนุษยชาติที่มีมาอย่างยาวนาน คู่กับประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นแหละ ผลจากความแตกแยกขัดแย้งก็มักจะลงเอยคล้ายๆ กันทุกครั้ง คือ ต้องเสียเลือดเสียเนื้อของผู้ที่ขัดแย้งกันโดยตรง หรือผู้ที่เข้าไปร่วมวงขัดแย้งกับคู่กรณีนั้น สงครามระหว่างเผ่า หรือสงครามโลก แม้แต่สงครามระหว่างผู้เคร่งศาสนาก็ล้วนมีสาเหตุมาจากความแตกแยกขัดแย้งนั้น

สาเหตุสำคัญของความขัดแย้งที่สำคัญที่มนุษย์สามารถจับอาวุธเข้าทำลายล้างกันได้อย่างหนึ่งคือ ความขัดแย้งทางความคิด จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทั้งหลายที่ลุกลามไปสู่สงครามระหว่างท้องถิ่นหรือสงครามกลางเมืองล้วนมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางความคิดทั้งสิ้น

ตัวอย่างสถานการณ์การก่อการร้ายทางภาคใต้ของประเทศไทย ที่เข่นฆ่าผู้คน ทำลายทรัพย์สิน อันไม่มีทีท่าว่าจะจบลงได้อย่างไรและเมื่อไร เป็นตัวอย่างของความขัดแย้งที่มีสาเหตุมาจากความเห็นที่ไม่ตรงกันหรือความขัดแย้งทางความคิดนี้เอง

สถานการณ์ความไม่สงบบนท้องถนนในกรุงเทพมหานครที่ดำเนินมาเป็นเวลาร่วมครึ่งทศวรรษแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ ก็มีสาเหตุสำคัญมาจากความขัดแย้งทางความคิดทางการเมือง ที่แต่ละฝ่ายมีความเห็นต่างกัน ฝ่ายหนึ่งมองนักการเมืองในดวงใจของตนว่า เป็นเทวดา แต่ฝ่ายตรงกันข้ามมองว่า เป็นปีศาจ

นี่คือ สาเหตุสำคัญของความแตกแยกที่นำไปสู่การต่อสู้ที่ยาวนาน ที่ไม่มีใครทำนายด้วยทฤษฎีการเมืองใดได้ว่าจะจบลงอย่างไรด้วยวิธีใด

พุทธศาสนิกชนหลายท่านได้เคยแวะเวียนมาสนทนาและมักจะจบลงด้วยการตั้งคำถามว่า จะใช้หลักธรรมข้อไหนมาสร้างความปรองดองในชาติขึ้นมาได้

ในฐานะที่เป็นพระสงฆ์ที่อยู่กับธรรมะตลอดเวลาก็ตอบได้ว่า หลักธรรมเพื่อการสมานฉันท์หรือการปรองดองแห่งชาตินั้นมีอยู่ แต่ยังติดปัญหาอยู่ว่า บรรดาผู้ที่เป็นผู้นำแห่งความขัดแย้งและผู้ร่วมขัดแย้งนั้น ปรารถนาจะยุติความขัดแย้งหรือไม่ และจุดประสงค์ของความขัดแย้งที่สร้างขึ้นมานั้นบรรลุเป้าหมายแล้วหรือยัง

เรื่องนี้เปรียบไปก็คล้ายๆ ผู้ป่วยที่อาการหนัก และมีเพื่อนบ้านมาหาหมอถามว่า มียารักษาไข้ไหม คุณหมอใจดีก็ตอบได้ทันทีว่ามี แต่มีปัญหาว่าผู้ป่วยต้องการจะหายจากโรคไหม และที่สำคัญที่สุดผู้ป่วยจะเต็มใจรับประทานยาไหม

เพราะการเยียวยารักษาอาการป่วยไข้แม้อาจจะมีหลายทางแต่ทางหนึ่งที่เป็นทางบรรเทาอาการไข้ได้เร็วที่สุดคือการรับประทานยา หากผู้ป่วยตกลงใจรับประทานยาเมื่อไร สัญญาณของการหายป่วยก็จะปรากฏออกมาทันที

ความแตกแยกทางการเมืองที่กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของพวกเราชาวไทยทุกวันนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้นำความขัดแย้งว่า ตั้งใจและเต็มใจจะยุติความขัดแย้งและการสร้างสังคมให้ปั่นป่วนแล้วหรือยัง หากตั้งใจก็ลองฟังหลักธรรมเหล่านี้ไปประกอบการพิจาณาสร้างสันติภาพให้บ้านเมืองดู

ก่อนอื่นต้องเข้าใจเสียก่อนว่า คำว่า สมานฉันท์ นั้น หมายความว่าอย่างไร

คำว่า สมานฉันท์ นั้น แปลตรงตัวว่า มีความพอใจเท่าๆ กัน

สมานะ แปลว่า เสมอ หรือเท่าๆ กัน

ฉันทะ แปลว่า ความพอใจ ชอบใจ เต็มใจอย่างยิ่ง

มาตรการหรือกระบวนการสมานฉันท์จึงได้แก่ มาตรการหรือกระบวนการที่จะทำให้ผู้คนที่กำลังขัดแย้งแตกแยกกันอยู่นั้น มีความพอใจเหมือนกัน แล้วตัดสินใจยุติความขัดแย้ง ซึ่งมาตรการหรือขบวนการดังกล่าวนั้นมีหลายวิธี หากวิธีไหนใช้แล้วพอใจทุกฝ่ายก็จะเป็นทางยุติความขัดแย้งได้ ขณะนี้ก็กำลังแสวงหากันอยู่ หลายวิธีเช่นกัน

หันมาดูว่าหลักธรรมเพื่อการสมานฉันท์จะมีคุณูปการะต่อกระบวนการแสวงหาความปรองดองแห่งชาติได้มากน้อยแค่ไหน เชิญวิญญูชนทั้งหลายอ่านแล้วนำไปพิจารณาค้นคว้าวิจัยกันเอง

หลักธรรมที่คิดว่าจะสามารถนำมาใช้เพื่อการสมานฉันท์ได้ก็คือ หลักแห่งผาสุกวิหารธรรม หรือ หลักธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมีห้าประการคือ

1. เมตตากายกรรม การกระทำทางกายที่ประกอบด้วยเมตตา หมายถึง การแสดงออกทางกายบนพื้นฐานของความรัก ไม่มีความโกรธ ความเกลียดชังเจือปน ไม่ใช้ความรุนแรงทุกประเภท ไม่ทุบตี ไม่ฆ่าฟัน ไม่ทำลาย แต่แสดงออกทางกายให้บุคคลอื่นรับรู้ ได้ว่า การแสดงออกนั้นๆออกมาจากความเมตตา เพราะความเมตตา หรือความรักสากลเป็นธรรมชาติที่มนุษย์หรือแม้แต่สัตว์ก็สามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ สมัยที่ยังเป็นสามเณรอยู่ที่วัดขันเงินอำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร เวลาพระอุปัชฌาย์ พระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร ท่านออกบิณฑบาตรตอนเช้าๆ สุนัขที่อยู่ในวัดและในตลาดพากันตามหลังส่งเสียงเห่าเกรียวไปตลอดทางอย่างมีความรู้สึกปลอดภัย

พุทธศาสนิกชนบางคนมีความปรารถนาดี คิดไปว่า สุนัขเดินตามเจ้าคณะจังหวัดเป็นฝูง ดูแล้วไม่งามก็เลยแอบเอาก้อนหินปาให้สุนัขหนี แต่แทนที่จะหนี มันกลับพากันวิ่งดักหน้าดักหลังจนหลวงพ่อท่านทราบ จึงบอกว่า อย่าไปปาสุนัข ปามันทำไม

คนที่ปาสุนัขเลยออกมานมัสการหลวงพ่อแล้วกราบเรียนว่า หลวงพ่อครับ การที่สุนัขเหล่านี้ติดตามหลวงพ่อย่างใกล้ชิดนั้น เป็นเจ้าคณะจังหวัดทั้งทีมีแต่สุนัขเป็นบริวาร ใครเห็นแล้วไม่งาม

หลวงพ่อท่านฟังอุบาสกคนนั้นเล่าถึงสาเหตุที่ไล่สุนัขให้ฟังแล้ว จึงตอบว่า ปล่อยให้มันตามหลังฉันเถอะ ฉันไม่อายหรอก แต่ ถ้าฉันเดินคนเดียวแม้แต่หมายังไม่กล้าตามหลัง นั่นซิน่าอาย เดี๋ยวจะมีคนเขานินทาได้ว่า เป็นพระบวชนานเสียเปล่า ไม่มีเมตตาเอาเสียเลย แม้แต่หมาสักตัวก็ยังไม่กล้าตามหลัง

ที่ยกมาเล่านี้เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทีท่าที่แสดงออกด้วยความเมตตา แม้แต่สุนัขก็สามารถรับรู้ได้ว่า ใครมีเมตตา หรือไม่มีเมตตา แล้วมนุษย์ผู้มีใจสูงละ จะไม่สามารถรับรู้รับทราบถึงความเมตตาที่มีต่อกันเลยหรือ

2. เมตตาวจีกรรม การแสดงออกทางวาจาที่ประกอบด้วยเมตตา หรือพูดด้วยความเมตตา คำพูดที่ประกอบไปด้วยความเมตตานั้น จะไม่มี คำเท็จ คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ แต่จะมีแต่ความจริง ไพเราะ มีสาระ ผู้ฟังๆแล้วสบายใจไม่เป็นทุกข์ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า การพูดเท็จ พูด คำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ก่อความแตกแยกทางสังคม ยิ่งพูดคำประเภทนี้มากเท่าไรยิ่งเท่ากับเติมเชื้อไฟมากเท่านั้น ยิ่งยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสารฉับพลัน ทั้งทางสื่อวิทยุ โทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต การพูด เท็จพูดคำหยาบพูดส่อเสียดและพูดเพ้อเจ้อจะถูกกระจายไปได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความร้าวฉานได้กว้างขวางกระจายไปได้ทั้งโลกอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้าม หากได้พูด ความจริง พูดไพเราะ มีสาระ ผู้ฟังฟังแล้วมีความสุขใจ โดยใช้เทคโนโลยี่สมัยใหม่ถ่ายทอดไป วาจาเช่นนี้จะเป็นตัวสร้างสมานฉันท์คือ ความพอใจร่วมกันในคำพูดที่ประกอบด้วยเมตตานั้น

3. เมตตามโนกรรม ความคิดที่ประกอบไปด้วยความเมตตา เป็นพื้นฐานของการพูดและคิด ถ้าจิตประกอบด้วยเมตตา เวลาพูดก็จะพูดออกมาด้วยเมตตา เวลากระทำก็จะกระทำด้วยความเมตตา ดูตัวอย่างเวลาพูดกับคนที่รักและตนกำลังรักใครอย่างเต็มที่ จะไม่พูดจาหยาบคายเลย หรือเวลาแสดงออกต่อหน้าคนที่ตนเองรู้สึกรักมาก จะแสดงความสุภาพอ่อนโยน เป็นที่น่าประทับใจเพราะภายในเป็นผู้สั่ง ดั่งที่ชาวพุทธพูดติดปากอยู่เสมอว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อใจอันเป็นนายประกอบไปด้วยเมตตา ย่อมสั่งการให้บ่าวคือกายและวาจาพูดและแสดงออกด้วยเมตตา หากมาตั้งใจกันใหม่โดยยึดหลักที่ว่า สัตว์ทั้งหลาย ล้วนเป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดแล้ว เราจะมาขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งแก่งแย่งกันทำไม อยู่ให้มีความสุขสงบไปทุกเวลานาทีไม่ดีกว่าหรือ ไม่นานก็ต้องจากกันแล้ว ใครมีอำนาจมากมายล้นฟ้า มีเงินนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ต้องทิ้งสมบัติไว้ข้างหลัง แม้แต่ร่างกายยังต้องอาศัยคนอื่นนำไปเผานำไปฝังให้พ้นหูพ้นตา ไม่เป็นที่น่ารังเกียจของใครๆ คิดให้บ่อยๆแล้วจะได้คำตอบเองว่า จะทะเลาะกันอยู่ทำไม จะเก่งแย่งกันไปทำไม รักกันไว้ดีกว่า มีชีวิตอยู่กันด้วยความสงบดีกว่า อย่าต้องสละชีพเพื่อเติมเชื้อแห่งความขัดแย้งกันเลย คนที่ทำให้คนอื่นตายมากๆ หรือต้องตายเพราะสังเวยความขัดแย้งหรือขยายความขัดแย้งไม่ใช่วีรบุรุษเป็นแน่แท้แต่วีรบุรุษต้องสร้างสันติภาพ นำความสงบเย็นมาสู่สังคม

4. ทิฏฐิสามัญญตา มีความเห็นตรงกัน แม้เรื่องนี้จะทำได้ยากเพราะความเห็นของคนแตกต่างกันตามภูมิหลังและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน แต่ความเห็นร่วมในทางสังคมและในทางการเมืองต้องมี เช่นจะต้องเห็นร่วมกันว่า สังคมต้องสงบ มีระเบียบ มีข้อตกลงที่เรียกว่ากฎหมายที่จะต้องปฏิบัติกันอย่างเท่าเทียมกัน ความเห็นทางการเมืองจะต้องเห็นร่วมกันในภาพกว้างว่า การเมืองต้องสะอาด การเมืองคือการช่วยกันอกความคิดเห็นเพื่อสร้างบ้านเมืองให้สงบสันติ มิใช่การเมืองที่สกปรกเห็นแก่ตัวและสร้างความวุ่นวายเพื่อช่วงชิงอำนาจกันจนบ้านเมืองหายนะ ต้องตระหนักเสมอว่า นักการเมืองจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องลงจากตำแหน่งและจากโลกนี้ไปในเวลาอันสมควร แต่ประเทศไทยจะต้องอยู่ต่อไป ทำอย่างไรจึงจะเป็นนักการเมืองที่เล่นการเมืองเพื่อสร้างรากฐานที่ดีงามแข็งแกร่งเพื่อให้ลุกหลานสืบสานสิ่งดีงามได้ต่อไป

5. สีลสามัญญตา มีความเสมอกันโดยศีล ประชากรของประเทศ ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นต่างกันอย่างไรก็คิดได้ แต่จะต้องคิดอยู่ในกรอบศีล การใช้สทิธิเสรีภาพนั้นใช้ได้แต่หากอยู่ภายในกรอบของศีลห้า แล้วจะไม่มีวันล่วงละเมิดทรัพย์สินชีวิตและสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นเลย นอกจากจะมีศีลตามศาสนาที่ตนนับถือ หรือชาวพุทธต้องมีศีลห้าเป็นตัวกำกับแล้ว จะต้องเคารพระเบียบ วินัย กฎ ระเบียบ วัฒนธรรม กฎหมายต่างๆที่สร้างขึ้นมาเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง

เชื่อมั่นว่า หากทุกคนหันมามองประโยนชน์ของความสามัคคีและเห็นโทษของความแตกแยกได้ชัดเจนแล้ว หลีกเลี่ยงเหตุแห่งความแตกแยก สร้างเหตุแห่งความสมานฉันท์ตามทางแห่งพระธรรมและเคารพกฎหมาย ความสมัครสมานสามัคคีหรือการสมานฉัันท์จะต้องกลับมาสู่สังคมไทยในไม่ช้าเพราะชนชาติไทยเป็นชนชาติที่โชคดีมีทั้งศาสนาและกฎระเบียบวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม รอเพียงให้ปวงชนชาวไทยไม่ท้อแท้ลุกขึ้นมาถือประทีปธรรมและกฎหมายมาปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยทุกคนตระหนักว่า การสร้างสมานฉันท์ในชาติ มิใช่หน้าที่ของผู้นำประเทศหรือของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ช้าความสงบจะกลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของเราอันเป็นที่รักอีกครั้งหนึ่ง สยามเมืองยิ้มก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ขอเพียงลงมือทำพร้อมๆกันเลย ที่นี่และทุกที่ เดี๋ยวนี้และทุกเวลา

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple