ความเชื่อ
เวลาเพื่อนต่างศาสนาต่างวัฒนธรรมเข้ามาทักททาย เมื่อสนทนาไปได้สักครู่หนึ่งก็มักจะถามว่า ท่านมีความเชื่ออย่างไร ชาวพุทธเชื่ออย่างไร ชาวพุทธเชื่ออะไร บางคนก็ถามออกมาจากมุมมองของตนเลยว่า ศาสนาพุทธมีพระเจ้าหรือไม่ ชาวพุทธมีความเชื่อในพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน
ในฐานะที่เป็นพระสงฆ์ ก็มักจะตอบปัญหานี้ว่า ศาสนาพุทธไม่เน้นความเชื่อ แต่เน้นแนวทางการดำเนินชีวิตมากกว่า ถ้าจะพูดว่าความเชื่อ ก็จะหมายถึง เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระศาสดาแล้วนำมาปฏิบัติมากกว่า ที่จะไปเชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติขององค์พระศาสดา เพราะพระศาสดาในพระพุทธศาสนาตรัสไว้ว่า ตถาคต(คือพระองค์) เป็นผู้บอกทาง ส่วนการเดินทางให้บรรลุเป้าหมายเป็นกิจที่เธอทั้งหลายต้องทำด้วยความพากเพียรพยายามอย่างจริงจัง
ส่วนเรื่องของพระเจ้านั้น ชาวพุทธส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจว่า คืออะไรกันแน่ เพราะชาวพุทธส่วนใหญ่ล้วนเติบโตมาจากวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคยกับพระเจ้า แต่ในฐานะที่พระเจ้า เป็นสิ่งสักการะบูชาของเพื่อนมนุษย์เป็นจำนวนมาก ชาวพุทธจึงให้ความเคารพในฐานะสิ่งบริสุทธิ์สูงสุดสิ่งหนึ่งของโลก ที่มนุษย์หลายพันล้านคนเข้าใจและยึดถือเป็นหลักใจ
หากความเชื่อ หมายถึง คำว่า ศรัทธา ในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็มีศรัทธาตามแบบชาวพุทธเช่นกัน ความศรัทธามีอยู่ สี่ประการคือ
ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระตถาคต หรือ พระพุทธเจ้า หัวใจสำคัญของการตรัสรู้ของพระองค์ย้ำลงตรงที่จิตเศร้าหมอง หรือ จิตบริสุทธิ์ หากจิตเศร้าหมอง ก็เกิดความทุกข์ หากจิตบริสุทธิ์ ก็ไม่เกิดทุกข์ การปฏิบัติธรรมทั้งปวงจึงอยู่ที่การระวังจิตมิให้เกิดกิเลส การทำจิตให้ว่างจากกิเลสได้มากเท่าไร ความไม่ทุกข์ ความสงบ และความเย็นด้านจิตใจจะมีมากเท่านั้น
กัมมสัทธา เชื่อในการกระทำ ที่มาจากสามทางคือ กาย วาจา และใจ การกระทำทั้งสามทางนี้ เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตว่า จะดำเนินไปด้วยความทุกข์ หรือ ความไม่ทุกข์ ชีวิตจะเจริญหรือเสื่อม ก็ล้วนมีพื้นฐานมาจากการกระทำแทบทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดมาดลบันดาลนอกจากเวลาประสบความสำเร็จแล้วจะคิดไปเอง ว่า สิ่งนั้นช่วย สิ่งนี้ช่วย แต่เท้ที่จริงแล้ว เป็นผลแห่งการกระทำของตนเองที่ให้ผลต่อๆกันไปตามกำหนดตารางแห่งกรรมที่เรียกว่า กัมมนิยามนั่นเอง
วิปากสัทธา เชื่อ ผลแห่งการกระทำ ทำอย่างไรได้รับผลอย่างนั้น ผลย่อมสอดคล้องกับเหตุที่สร้างมาอย่างถ่องแท้ ไม่แปรเป็นอื่น ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว หรือ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมักจะพูดสั้นกระทัดรัดกว่านั้นว่า ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว ไม่ต้องมีคำว่าได้ เพราะคำว่าได้อาจจะแปรไปเป็นวัตถุสิ่งของหรือเกียรติยศ อันจะทำให้ความเข้าใจเรื่องกรรมไขว่เขวได้ง่าย จึงชี้เปรี้ยงลงไปว่า ทำดี ดี ทันที ทำชั่ว ชั่วทันที ดื่มน้ำร้อน ร้อนทันที ดื่มน้ำเย็น เย็นทันที
กัมมสกตาสัทธา ความเชื่อว่า กรรมที่ใครทำไว้เป็นของคนนั้น ย่อมส่งผลไปตามระยะเวลาที่กำหนด ช้าบ้างเร็วบ้าง การกระทำทุกอย่างล้วนมีผล ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น บางคนผลกรรมดี ออกมาขณะที่กำลังทำชั่ว ก็เข้าใจผิดว่า ทำชั่วได้ดี หรือบางทีผลกรรมชั่วมาออกผลตอนที่กำลังทำดี ก็เข้าใจผิดได้ว่า ทำดีได้ชั่ว นั่นคือความเข้าใจผิด เพราะผลกรรมที่ออกตามกัมมนิยามนั้นเกิดทับซ้อนกัน การติดตามผลกรรมของตนจึงต้องมองให้ลึกซึ้งถ่องแท้ หลายเหตุการณ์หลายองค์ประกอบ ก็จะพบความจริงได้ว่า หนีคดีความตามโรงศาลหนีได้ แต่หนีผลกรรมจะหนีไม่พ้น อยู่ตรงไหน ก็ตามไปหาได้ทุกหนทุกแห่ง ใครก็ตามที่ประกอบกรรมชั่วไว้แม้มือกฎหมายเอื้อมไปจับไม่ได้ แต่มือกรรมย่อมเหยียดไปถึงทุกหนทุกแห่ง มือแห่งกรรมยาวสุดล้าฟ้าเขียว ทางที่ดีที่สุดทำกรรมดีเอาไว้ ปลอดภัยที่สุด เพราะอยู่ที่ไหนผลแห่งกรรมดีก็ออกให้ได้ชื่นชมอย่างชุ่มชื่นหัวใจแน่นอน
เรื่องศรัทธา ในพระพุทธศาสนา ก็มีอยู่ตามหลักธรรมดังกล่าวนี้ ผู้ที่มีความเชื่อดังกล่าวมานี้ก็จะดำรงชีวิตอย่างปลอดภัย เพราะศรัทธาแต่ละข้อล้วนส่งเสริมการดำเนินชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความระมัดระวัง ทั้งกาย วาจาและใจอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเชื่อย่างนี้และปฏิบัติอย่างนี้ ชีวิตก็ปลอดจากความชั่ว มีแต่ความร่มเย็นในชีวิตเป็นแน่แท้ เพราะศรัทธาที่ตั้งมั่นอย่างดีไม่หวั่นไหว เป็นความดีอย่างหนึ่งดังพระพุทธภาษิตว่า สัทธา สาธุ ปติฏฐิตา ศรัทธาที่ตั้งมั่นแล้วเป็นความดี
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple