ความสุข
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนน้ำจืดในทะเลสาบ ที่จืดสนิท ใครปรารถนาที่จะนำมาบริโภคอย่างไร ก็เป็นไปตามความถนัด บางคนอาจจะนำมาดื่ม บางคนอาจจะนำมาหุงข้าว บางคนอาจจะนำมารดต้นไม้ บางคนอาจจะนำมาซักผ้า ผลสุดท้าย ทุกคนที่ได้พบน้ำในทะเลสาบนั้นล้วนได้รับประโยชน์เหมือนๆกัน
การศึกษาและทำความเข้าใจพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน ใครพบประเด็นไหนที่เห็นว่าเหมาะสมแก่อุปนิสัยของตน ก็นำเอาประเด็นนั้นมาศึกษาปฏิบัติและใช้ประโยชน์ตามสมควรแก่ฐานะของตนๆ
เวลาที่มีการสนทนาเรื่อง ความสุข หรือ ความทุกข์ ชาวพุทธเองก็มีความเห็นแตกต่างกัน บางคนบอกว่า ความสุขไม่มี มีแต่ความทุกข์น้อย เพราะ ความทุกข์แปลว่า ทนได้ยาก ความสุข แปลว่า ทนได้ง่าย ความสุขก็คือ ความทุกข์ประเภทหนึ่ง ที่บีบคั้นน้อย กว่าความทุกข์ธรรมดา จึงต้องมาเรียกว่าสุข
หากนำเอาความเห็นของตนๆมาถกเถียงก็คงจะไม่จบง่ายๆ ถ้าเรายอมรับว่า พระธรรมคำสอนที่สืบทอดมาถึงพวกเรา ล้วนเป็นความถูกต้อง ก็จะมีคำตอบว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทั้งคำ ว่า สุข และ ทุกข์ กันชัดๆเลย เช่น อริยสัจ ก็ตรัสเรื่อง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ หรือ ความไม่เกิดทุกข์ และหนทางให้ถึงความไม่เกิดแห่งทุกข์อีก
ส่วนคำว่า สุข ก็ตรัสไว้มากมายไม่แพ้กัน
นั่นก็หมายความว่า คำว่า สุข กับ คำว่า ทุกข์ ล้วนเป็นเรื่องที่มีสอนในพระพุทธศาสนาแน่นอน
ในที่นี้จะนำเอาหลักคำสอนที่กล่าวเรื่อง ความสุข มาบอกกล่าวสักสามสี่คำ ตามสมควรแก่เวลาและหน้ากระดาษที่มีอยู่ไม่มากนัก
คำแรกได้แก่ กามสุข คือ ความสุข อันเกิดจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
ความสุข ที่เกิดมาจากการทำบุญ หรือบางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า คำว่า บุญ เป็นชื่อของความสุข
ความสุขที่เกิดจากการไม่เบียดเบียน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การไม่เบียดเบียน เป็นสุขในโลก พระพุทธดำรัสนี้ ชี้ชัดว่า บนโลกใบนี้ ความไม่เบียดเบียนกันเกิดขึ้นที่ไหน ความสุขมีอยู่ตรงนั้น ความเบียดเบียน อยู่ที่ไหน ความทุกข์ ก็อยู่ที่นั้น หากต้องการความสุขก็อยู่กันด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน โดยไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ความสุขเกิดจากการได้รับปัญญา พระพุทธเจ้าตรัสว่า การได้รับปัญญา เป็นความสุขชนิดหนึ่ง จะเห็นได้ว่า คนเป็นจำนวนมากแสวงหาปัญญา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะมาจาก การฟัง การคิด หรือ การลงมือทำ เมื่อได้รับปัญญา จากความพยายามนั้นก็จะมีความสุข
ความสุขเกิดมาจากความสามัคคี ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความพากเพียรของคนดีที่สามัคคีกัน เป็นความสุข ประเด็นนี้เห็นกันง่ายๆ จากการทำงานร่วมกันในที่ต่างๆของคนที่มีความเห็นลงรอยกัน มีเป้าหมายเดียวกัน แม้งานนั้นจะหนักแค่ไหน แต่คนทำก็ทำอย่างมีความสุข
เป็นอันว่า คำว่า ความสุข ในพระพุทธศาสนามีจริงๆ เพราะความสุขเป็นของสากลที่มนุษย์ทุกคนสามารถสัมผัสได้ตามความสามารถของตนๆ เมื่อพระพุทธศาสนาสอนเรื่องความจริงสากล ก็ต้องมีคำสอนเรื่องความสุขอยู่เป็นธรรมดา
บางคนชอบพูดเล่นสำนวนว่า ไม่ต้องการความสุข แต่ต้องการความสงบ
คนที่ชอบตีฝีปากฝากสำนวนแบบนั้นก็ขอให้โปราดทราบไว้เถอะว่า บางคราวพระพุทธเจ้าท่านตรัส เรื่อง ความสุข กับความสงบไว้ในพุทธภาษิตเดียวกันด้วยซ้ำไป เช่นตรัสว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง แปลว่า สุขอื่น ยิ่งกว่า ความสงบ ไม่มี
ความสงบก็เป็นเหตุ แห่งความสุข อีกชนิดหนึ่งที่แยกออกจากกันได้ยาก สงบเมื่อไร ความสุขก็ปรากฏเมื่อนั้น
คราวนี้คงจะเข้าใจตรงกันแล้วนะ ว่า ความสุข และความทุกข์ เป็นความจริงที่ทุกคนสัมผัสได้ แม้ไม่พบในพระไตรปิฎก ก็จงค้นคว้าหาที่ใจ แล้วจะพบทั้สองอย่าง ขึ้นอยู่กับว่า อย่างไหนจะเข้มข้น หรือเจือจางกว่ากัน
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple