วัดพุทธปัญญา

บทความ\ฝึกสมาธิ

ฝึกสมาธิ

รายการ ประเด็นข่าวประเด็นธรรม ทางเอเอสทีวี ได้นำเอาข่าวชิ้นหนึ่งที่มีเนื้อหาย่อๆว่า ที่พักสงฆ์แห่งหนึ่งในจังหวัดพิจิตรได้ฝึกสมาธิให้นักเรียนชั้นม.สี่จากโรงเรียนแห่งหนึ่ง ด้วยการให้เด็กนอนในโลงศพและนอนในกรงงูเหลือมจนกระทั่งเด็กหลายคนกลัวมากถึงกับมีอาการวิกลจริตดิ้นพล่านส่งเสียงร้องโหยหวล สร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้ปกครองและผู้ที่ทราบข่าวนี้อย่างกว้างขวาง ล่าสุดรายงานข่าวแจ้งว่า ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้ปิดที่พักสงฆ์แห่งนี้และส่งพระสงฆ์กลุ่มดังกล่าวกลับต้นสังกัดเดิมแล้ว

ผู้ติดตามข่าวดังกล่าวหลายคน ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการฝึกสมาธิได้ถามว่า การฝึกสมาธิทำให้วิกลจริตดังที่เห็นในข่าวจริงหรือไม่

ขอตอบปัญหาตรงๆเสียก่อนว่า การฝึกสมาธิที่ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ ไม่ทำให้วิกลจริต แต่ทำให้จิตสงบเยือกเย็นและสุขภาพจิตดี มั่นคง มีความตื่นตัว ในการทำภารกิจต่างๆได้เป็นอย่างดี

แต่การฝึกสมาธิโดยการนอนในโลงศพหรืออยู่กับสัตว์ที่น่ากลัวอย่างงูเหลือม ไม่เป็นการฝึกสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าเคยสอน แต่เป็นวิธีการแปลกๆที่คนบางคนหรือพระสงฆ์บางรูปที่มิได้ศึกษาพระพุทธศาสนาให้ถ่องแท้คิดขึ้นมาเอง เมื่อตนไม่กลัวโลงศพและไม่กลัวงู ก็คิดว่าเด็กจะไม่กลัวเหมือนตัวเอง จึงนำวิธีการดังกล่าวไปฝึกเด็ก เมื่อเด็กเกิดอาการกลัวอย่างถึงที่สุดจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จึงแสดงท่าทางเหมือนวิกลจริตออกมา

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำเอาความคิดผิดๆที่ตนคิดขึ้นมาเองแล้วไปเผยแพร่ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดๆต่อพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง เป็นเหตุให้คนกลัวสมาธิกันมากขึ้น ปรากฎหารณ์อย่างนี้ได้เปลี่ยน สิ่งที่ส่งเสริมสุขภาพจิต ให้กลายเป็นสิ่งทำลายสุขภาพจิตไปอย่างน่าเสียดาย

อาตมาเคยฝึกสมาธิให้เยาวชนชั้นม. 4 -6 มาหลายหมื่นคนในสมัยที่จัดค่ายคุณธรรมอยู่ที่วัดอุโมงค์ เยาวชนที่ผ่านการฝึกสมาธิภาวนา จะรายงานผลให้ทราบเหมือนกันว่า ทำให้จิตใจสงบดี การทำสมาธิไม่ยาก เป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตจิตใจที่ทุกคนควรจะได้ฝึกเป็นประจำ

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า สมาธิ มิใช่เรื่องลึกลับมหัศจรรย์ แต่เป็นเรื่องของ ความสงบเย็นเป็นสุขในด้านจิตใจ คนที่มีความสนใจจะหาความสุขจากความสงบสามารถฝึกฝนได้ โดยไม่มีความเสี่ยงหรือันตรายใดๆ

สมาธิ แปลตรงตัวว่า จิตมั่นคง

ลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ จะมั่นคง บริสุทธิ์ อ่อนโยน มีความพร้อมที่จะทำงาน ทั้งทางกายและทางจิต ส่งเสริมให้ การดำรงชีวิตหรือประกอบกิจการงานมีความสุขสงบเย็น

ความมั่นคงของจิต คือ จิตไม่หวั่นไหว ในขณะที่รับรู้อารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ

ความบริสุทธิ์ของจิต คือ จิตที่ไม่ปนเปื้อนไปด้วย ความรักที่ร้อนแรง ความเกลียดที่รุนแรง ความฟุ้งซ่าน ความซึมเซา เซ็ง เบื่อหน่าย ความสับสน

ความอ่อนโยนของจิต คือ สามารถฝึกจิตให้คิดในทางกุศลหรือสร้างสรรค์ประโยชน์ต่างๆได้ง่ายๆ มากมายหลายอย่าง เหมือนการใช้ดินน้ำมันปั้นรูปต่างๆได้ง่ายๆ สารพัดที่จะดัดแปลงตกแต่ง

ความพร้อมของจิต คือ เมื่อจิตได้รับการฝึกดีแล้ว พร้อมที่จะทำงานทุกชนิดอย่างมีความสุขไม่เบื่อหน่าย ไม่อึดอัดและทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยคุณลักษณะของจิตดังกล่าวมานี้ พุทธศาสนิกชน หรือ ผู้ที่ไม่เป็นชาวพุทธนิยมหันมาฝึกจิตกันมาก เพราะจะช่วยผ่อนคลายความเครียด จากการทำงานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

การฝึกสมาธิ ที่ง่ายที่สุดที่พระพุทธเจ้าเคยฝึกเคยสอนไว้เรียกว่า อานาปานสติ แปลว่า การรำลึกนึกถึงลมหายใจออกเข้า หรือ ทำความเข้าใจง่ายๆว่า เวลาฝึกสมาธิไม่ส่งจิตไปคิดเรื่องอื่นใด วางจิตไว้ที่ลมหายใจออกเข้าทุกขณะ

การฝึกสมาธิแบบอานาปานสตินี้ เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างมาก เป็นวิธีธรรมชาติเพราะไม่ต้องอาศัยสถานการณ์ บรรยากาศ เครื่องมือใดๆเป็นพิเศษ เพียงแต่หยุดคิดเรื่องยุ่งๆไว้ชั่วคราว หันมาสนใจลมหายใจอันเป็นแหล่งกำเนิดหรือเป็นต้นลำธารแห่งชีวิต ก็นับเป็นการฝึกสมาธิในขณะนั้น

ลมหายใจเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ติดตัวมาตามธรรมชาติ การทำสมาธิคือการให้ความสนใจ ให้คุณค่าอันสูงส่งของลมหายใจ แล้วลมหายใจ จะนำพาไปสู่ความสุข ความผ่อนคลาย แบบง่ายๆ ไม่ต้องจ่ายเงิน หรือ สูญเสียพลังงานต่างๆมากมายแต่อย่างใด

เช่นคนที่ทำงานในโรงงาน ในสำนักงาน ในสวน ในนา ในไร่ ในร้านอาหาร ในห้างสรพพสินค้า เมื่อมีเวลาพักเพียงห้าหรือ สิบนาที ไม่ว่าจะเดิน หรือ นั่งอยู่ในที่ใด เมื่อจิต ไม่ครุ่นคิดไม่ยุ่งกับงานที่ทำ รีบกลับมาหาลมหายใจโดยเร็ว เพื่อชีวิตจะได้พักผ่อนครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งสองส่วน คือ กายและจิต

การวางจิตไว้ที่ลมหายใจ เป็นการเริ่มต้นฝึกจิตที่ถูกวิธีตามหลักธรรมชาติ เมื่อจิตพักอยู่กับลมหายใจ ไม่วอกแวกไม่ท่องเที่ยวไปไหน ในขณะใด ขณะหนึ่ง และเริ่มเข้าสู่คุณลักษณะของสมาธิดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เรียกว่า จิตเริ่มเป็นสมาธิ

ผู้ที่ฝึกจนชำนาญจิตใจไม่วอกแวกไปไหนแล้ว เพียงแต่นึกว่า นำจิตมาวางไว้ที่ลมหายใจดีกว่า จิตสามารถวางเรื่องอื่นๆไว้ก่อนแล้วมาอยู่กับลมหายใจตามปรารถนา เรียกว่า หาความสุขสงบเย็นได้ตามปรารถนา

แต่ผู้ที่เริ่มใหม่ๆ จิตชอบโลดแล่นไปตามอารมณ์ต่างๆ แม้เวลาว่างจากการทำงาน จิตก็หาอารมณ์มาคิดจนได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องมีวิธีเสริมนิด ที่ทำง่ายๆ ไม่ต้องบีบบังคับลมหายใจจนเครียด เพียงแต่ปล่อยลมหายใจให้เป็นไปอย่างธรรมดาแล้วใส่ตัวรู้เข้าไป โดยการรู้อย่างตรงๆเฉพาะหน้า หรือ อาจจะนับลมหายใจ ตามวิธีที่ถนัด

การนับลมหายใจทำได้หลายวิธี เช่น นับลมหายใจทุกครั้งที่หายใจ เวลาหายใจเข้า นับ 1 เวลาหายใจออกนับ 2 เวลาหายใจเข้า นับ 3 เวลาหายใจออก นับ 4 เรื่อยๆไป ถึง 100 หรือ 300 ตามความเหมาะสมกับเวลา ที่ฝึกสมาธินั้น

หรือ อาจจะนับลมหายใจเป็นคู่ เช่น หายใจเข้าไม่ต้องนับ แต่นับตอนที่หายใจออก ทุกครั้ง เช่น นับว่า หายใจเข้า หายใจออกนับ 1 หายใจเข้า หายใจออกนับ 2 นับเรื่อยๆไปถึงจำนวนเท่าไรก็ได้

หรืออาจจะนับเป็นชุดใหญ่ชุดละ 5 หรือ 10 แล้วเริ่มต้น นับหนึ่งใหม่ นับไปเรื่อยๆจนกว่าจะเสร็จสิ้นการฝึกฝน จะนานเท่าไรก็ทำอยู่อย่างนั้น

ข้อสำคัญที่ผู้ฝึกจะต้องตรวจสอบอยู่เสมอ คือ วิธีนับที่ฝึกอยู่นั้นให้ความรู้สึกที่สะดวก และสงบดีหรือไม่ หากยังไม่รู้สึกสะดวก ควรปรับปรุงไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้าที่และคุ้นเคย สะดวก ราบรื่น เหมือน คนฝึกขี่จักรยาน พอมีทักษะในการฝึกได้ดีแล้ว จะปรับปรุงเพิ่มเติมอย่างไรปรับได้ตามความพอใจเพื่อให้เข้าสู่ความสงบได้เร็วขึ้น

ในการฝึกสมาธิทุกครั้ง ต้องทำความรู้สึกแบบสบายและผ่อนคลาย ไม่ต้องเคร่งเครียด ไม่ต้องคาดหวังว่าจะพบสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ต้องบีบบังคับลมหายใจ จนการเดินของลมหายใจและส่วนต่างๆในร่างกายผิดปกติ หายใจแบบธรรมดาสามัญที่สุด แต่ใส่ตัวรู้เข้าไปว่า กำหลังหายใจอยู่ วางตัวรู้อยู่กับลมหายใจ ไม่ต้องยึด ไม่ต้องเพ่งจนเกินไป ทำความรู้สึกต่อลมหายใจประหนึ่งว่า กำลังมองดูอะไรที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เช่น ยืนอยู่ริมถนนหน้าบ้าน มองเห็นรถวิ่งผ่านมาบ้างผ่านไปบ้าง บางคราวก็ไม่มีรถผ่านเห็นเพียงถนนว่างๆ

ไม่ต้องปั้นภาพหรือจินตนาการภาพอะไรขึ้นมาทั้งสิ้น การกำหนดรู้ก็ไม่ต้องท่องว่า รู้ แต่ต้องเป็นการรู้จริงๆ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า รู้ตามความเป็นจริง ต้องการทำนานสักเท่าไรก็ได้ จะหยุดเมื่อไรก็ได้ เมื่อทำแล้ว จิตมั่นคงแล้ว สงบแล้ว จะเกิดกุศลเจตนาที่จะฝึกฝนขึ้นมาเอง ไม่ต้องมีการชักชวนหรือบังคับให้ฝึกฝนแต่อย่างใด

เมื่อฝึกฝนให้จิตอยู่กับลมหายใจจนแนบสนิทแล้ว จึงใช้สติเฝ้าดูจิตต่อไปอย่างใกล้ชิดว่า จิตว่าง หรือจิตวุ่น เศร้าหมอง หรือ ผ่องแผ้ว ดูจิตประหนึ่งว่า ดูขบวนพาเหรดที่แต่งตัวสีสันฉูดฉาดหลากหลายสีนานาชนิด ที่กำลังผ่านมาแล้วผ่านไป โดยมิได้เป็นผู้เดินพาเหรดเสียเอง

การดูลมหายใจและดูจิตทำพร้อมๆกันไปด้วยความสบาย ผ่อนคลาย สงบเย็นเป็นสุข ไม่ต้องรีบเร่ง เคร่งเครียดแต่ประการใด ปลอ่ยให้การปฏิบัติดำเนินไปตามวิวัฒนาการที่พึงจะเป็น ปฏิบัติได้เท่าไรพึงพอใจในผลการปฏิบัตินั้น อย่าคาดหวังสิ่งใดๆจากการปฏิบัตินั้น อย่านำเอาการปฏิบัติของตนไปเทียบกับใครๆแต่รู้อยู่แก่ใจว่า ตนได้รับความสงบสุข สติ ปัญญา จากการปฏิบัติเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด

เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้อย่างถูกต้องแล้ว จิตก็จะมั่นคง บริสุทธิ์ สบาย คลายเครียด ตื่นตัว ว่องไวพร้อมจะทำงานต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี สติมั่นคง ปัญญาเฉียบคม พร้อมที่จะเผชิญหน้าและจัดการกับปัญหาต่างๆที่เข้ามาอย่างไม่หวั่นไหว อยู่กระทั่งรู้สึกว่า อยู่ที่ไหน หรือทำอะไรก็มีความสุขได้ ไม่มีข้อแตกต่างกันแต่ประการใด

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple