ทางสงบ
ประเทศชาติใดก็ตาม ที่ไม่มีความสงบเป็นพื้นฐาน การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและมนุษย์จะหยุดชะงักไปหมด เพราะเมื่อประชากรที่ต้องทำมาหากินเพื่อการยังชีพในประเทศนั้นๆ หรือ ประชากรจากภายนอกประเทศที่ต้องการจะเดินทางท่องเที่ยว ย่อมต้องการสังคมที่สงบทั้งนั้น ประเทศใดรักษาความสงบของประเทศได้อย่างยาวนานโดยไม่มีการทะเลาะวิวาทรบราฆ่าฟันกัน ประเทศนั้นๆย่อมมีโอกาสในการพัฒนาประเทศได้มากกว่าประเทศที่มัวแต่ทะเลาะวิวาทกันไม่รู้จักจบสิ้น
สาเหตุสำคัญที่สุด ที่ทำให้บ้านเมืองไม่สงบ มาจาก ความเห็นแก่ตัวของนักการเมือง หรือ กลุ่มผลประโยชน์ที่มีสายสัมพันธ์อยู่กับนักการเมืองเพียงกลุ่มเล็กๆ ตราบใดที่ผลประโยชน์ของนักการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ได้รับการจัดสรรค์อย่างลงตัว ไม่มีความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้งก็ยังไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อใดการจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัว มีการได้เปรียบ เสียเปรียบกันมากมายหลายเท่าตัว การแก่งแย่งผลประโยชน์ก็เกิดขึ้นและขยายวงเกี่ยวพันกันรุงรังในหลายกลุ่มหลายส่วนจนไม่สามารถแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
เริ่มต้นทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแย้งกัน ขอบข่ายความขัดแย้งยังอยู่ในวงจำกัด จะไม่พบรอยปริร้าว แต่เมื่อคุมสถานการณ์ให้อยู่ในขอบข่ายไม่ได้ ความขัดแย้งค่อยขยายวงออกอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ย่อมเปิดแผลให้แยกกว้างขึ้น จนกลายเป็นความแตกร้าวและแตกแยกที่มีผู้คนสนับสนุนความแตกแยกนั้นๆให้กว้างออกไปจนยากแก่การประสานให้สนิทแน่นเหมือนเดิม
ประชาชนที่ต้องอยู่ท่ามกลางสังคมที่แตกแยก มีแต่ความหวาดระแวง วิกตกกังวล เครียด ไม่ปลอดภัย ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครทราบแน่นอนว่า ใครมาจากพวกไหน กลุ่มไหน สีอะไร จะมาดี หรือมาร้าย การพูดคุยสนทนาก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ว่าอาจจะกระทบกระทั่งกันได้ง่าย มิตรแตกแยกจากมิตร ญาติแตกแยกจากญาติ พี่น้องคลานตามกันมาก็แตกแยกกัน แม้แต่พ่อแม่ ลูกสาว ลูกชาย ก็แตกแยกชนิดประสานเข้าหากันไม่ได้ โมเลกุลของชาติที่เคยจับตัวกันแน่น กลับกลายเป็นหลวมเละและหย่อนยานพร้อมที่จะแยกเป็นเสี่ยงๆได้ทุกเมื่อ
หากต่างกลุ่ม ต่างคน ต่างมีความเห็นว่า ความคิด ความเห็น และวิธีการของตนถูกต้องเพียงฝ่ายเดียว กลุ่มอื่นผิดหมด การหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมสร้างสรรค์และประสานสังคมที่หลุดลุ่ยเข้ารวมกันใหม่ย่อมเป็นไปได้ยาก ทั้งๆที่ความเห็นของแต่ละฝ่าย น่ารับฟัง น่าคิด น่าพิจารณา น่าจะนำไปใช้ในสถานการณ์ และเวลาที่ต่างกันได้อย่างดี บางทีอาจจะยังไม่เหมาะสมในเวลานี้ก็เป็นได้
ขณะนี้มีการพูดถึงเรื่องสมานฉันท์กันมาก ถึงกับประธานรัฐสภาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมาชุดหนึ่งประกอบไปด้วยผู้มีความรู้ความสามารถจากหลายฝ่ายเพื่อศึกษาหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือหากมีความจำเป็นอาจจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมขึ้นมาฉบับหนึ่ง เพื่อนำไปสู่การสมานฉันท์ของคนในชาติ
ความคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญและออกกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและคัดค้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายน่าจะหาจุดร่วมกัน คือ จะต้องหาจุดจบร่วมกันอย่างสันติ โดยประชาชนส่นใหญ่ของประเทศมีส่วนการตัดสินใจอย่างเสรี โดยไม่มีการบังคับหรือจูงใจ
การสร้างระบบให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีส่วนในการหาทางออกด้วยกันอย่างสันติ เป็นหัวใจสำคัญในระบอบประชาธิปไตย เพราะระบอบประชาธิปไตยทั้งหลายของแต่ละประเทศในโลกนี้ออกแบบมา เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่มีสิทธิ์แก้ปัญหาสังคมและประเทศชาติอย่างสันติโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ
สิ่งที่คณะกรรมการสมานฉันท์ของสภาจะต้องทำก่อนอื่นก็คือ สร้างกลไก ที่เหมาะสมแก่การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนในการตัดสินใจสองปัญหาเฉพาะหน้าที่ว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญและออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่
ประเด็นนี้สำคัญมาก รัฐบาลและคณะกรรมการสมานฉันท์จากสภาต้องระมัดระวังก่อนที่จะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือ ออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะปัญหานี้เป็นปัญหาระดับประเทศที่ประชาชนมีส่วนได้ส่วนเสียกันทุกคน รัฐสภาและรัฐบาลจะต้องร่วมมือกันจัดทำกลไกที่จะหาทางออกของปัญหานี้ที่ออกมาแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพอใจ จากนั้นทุกคนก็จะยุติความคิดที่รุนแรง การพูดที่รุนแรงและการกระทำที่รุนแรงลงเสียได้
รูปแบบของเครื่องมือที่จะออกมา ต้องช่วยกันคิดอย่างเหมาะสม ไม่ต้องจำกัดอยู่กับความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตายตัว แต่จุดประสงค์สำคัญต้องเปิดประตูสู่การแก้ปัญหาของประเทศอย่างสันติ
ประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะนักการเมืองที่กำลังขับเคลื่อนกลไกของรัฐทั้งในฝ่ายบริหารและรัฐสภาจะต้องเปลี่ยนนิสัยมักง่ายไร้ความคิด ปราศจากวิจารณญาณ เป็นการคิดพิจารณาอย่างแยบคายไม่ทำอะไรแบบมักง่าย เช่น ตอนนี้นักการเมืองหลายคนมักจะพูดง่ายๆว่า ไม่ต้องทำอะไรมาก นำรัฐธรรมนูญปีพุทธศักราช 2552 มาใช้ก็พอ อีกฝ่ายหนึ่งก็ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ดีแล้ว ไม่ต้องแก้ไข และห้ามมิให้แก้ไขด้วย
ทางออกที่จะเป็นประชาธิปไตยและสงบก็คือ เมื่อได้มติจากประชาชนส่วนใหญ่ของแผ่นดินว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือ ฝ่ายรัฐบาลและรัฐสภาต้องสร้างกลไกใหม่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะได้มีส่วนร่วม มีส่วนร่าง และมีส่วนในการสร้างรัฐธรรมนูญจริงๆ มิใช่เป็นเพียงพิธีกรรมอย่างที่เคยทำมาทั้งในรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือ 2550
เสียงเรียกร้องอันเกิดจากความต้องการของประชาชนหลายเรื่อง ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ยินแล้ว หมางเมิน ไม่นำพา บิดพลิ้วสารพัด เช่นประเด็นที่ประชาชนเสนอกันว่า ควรมีแต่สภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียว หรือหากต้องมีสมาชิกวุฒิสภาก็ควรจะมาจากการเลือกตั้ง แต่เวลาผ่านร่างรัฐธรรมนูญกลับไม่มีสองประเด็นนี้
พุทธบริษัทจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านคน เสนอข้อความว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เข้าในรัฐธรรมนูญ ประเด็นนี้นอกจาก สภาร่างไม่ฟังแล้วประธานสภาร่างถึงกับเยอะเย้ยถากถางพระเถระผู้ใหญ่และพุทธบริษัทอุบาสกอุบาสิกาที่เดินเข้าไปยื่นหนังสือด้วยสันติ
สภาร่างรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับประเด็นใด ควรพิจารณากันด้วยเหตุผล ไม่ควรจะมีธงตั้งไว้แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หากแตกต่างจากที่ตนคิดจะต้องต่อต้านหรือต้องหักล้างกันชนิดไม่เคารพความคิดผู้อื่น นับเป็นวิญญาณของเผด็จการ ที่ท่องคาถาว่าประชาธิปไตย เป็นเพียงน้ำบ้วนปากเท่านั้น
หลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย สมาชิกในสังคมมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการสร้างชาติบ้านเมือง ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร เพียงแต่มุมมองในการสร้างรูปแบบอาจจะแตกต่างกันเท่านั้น ทุกเสียงในประเทศไทยที่แสดงความคิดเห็นจึงน่ารับฟัง ต้องยุติความรู้สึกดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่นด้วยการยกการศึกษา ชาติระกูล สถานะทางเศรษฐกิจ ตำแหน่งหน้าที่การงานมาข่มหรือ ทับถมกัน เพราะนั่น คือ ความรู้สึกที่เป็นศักดินา เผด็จการ นายทุน ที่มองเพื่อนมนุษย์อย่างดูถูกเหยียดหยาม ที่เป็นอุปสรรคขวากหนาม ขวางกั้นเส้นทางที่จะเข้าถึงประชาธิปไตยทั้งรูปแบบและจิตวิญญาณ ต่อไป
ประชาชนที่ผูกติดอยู่กับปัจเจกนิยมมากๆ กังวลว่า ใคร เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ใครเป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ต้องระวังความกังวลเหล่านี้ด้วย เพราะถ้าเผลอไผลไปจะเป็นเผด็จการกันไม่รู้ตัว เพราะเมื่อปล่อยให้ปัจเจกคิดและทำเสียคนเดียว ความคิดของประชาชนเจาะเข้าไปไม่ได้
ภารกิจหลักของคณะกรรมการที่รัฐสภาตั้งขึ้นนี้ ควรมีหน้าที่รับฟังความคิดเห็นของปวงชนชาวไทยส่วนใหญ่ผ่านเครื่องมื่อที่เหมาะสม แล้วประมวลความคิดออกมาเป็นประเด็น ร้อยเรียงถักทออย่างเป็นระบอบ แล้วจึงค่อยนำไปให้ฝ่ายเทคนิคเป็นผู้จัดทำร่างอย่างละเอียด เสร็จแล้วแจกร่างเหล่านี้ให้ประชาชนได้รับทราบและอภิปรายกันในสังคมอย่างกว้างขวางผ่านกระบวนการที่เหมาะสม เมื่อตกผลึกดีแล้วจึงส่งให้รัฐสภาทำพิธีกรรมผ่านร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านกระบวนการประชาชนมาอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน
รัฐควรมีช่องทางการแสดงความคิดเห็นของคนกลุ่มต่างๆที่มีต่อรัฐกิจอย่างเสรี ไม่กดขี่ให้ประชาชนต้องเก็บกดและระเบิดออกมาเป็นความรุนแรงอีก รัฐได้ยินว่า ประเด็นไหนเป็นประเด็นร้อน ควรนำมาพิจารณาในสภาโดยด่วน เพราะการพิจารณาปัญหาในสภา แม้อาจจะใช้วาจารุนแรงไปบ้างแต่ไม่ถึงกับเลือดตกยางออก ในที่สุดก็จะมีทางออกอย่างสงบได้เสมอ
ปวงชนชาวไทยทุกคนต้องตระหนักร่วมกันว่า ภารกิจการนำประเทศสู่สันติภาพและสันติสุขแห่งสยามเมืองยิ้มอีกครั้งหนึ่ง มิใช่เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐสภา หรือคณะกรรมการใดๆ ไม่ต้องรออัศวินขี่ม้าขาวหรือ ขี่ความดำมาปราบยุคเข็ญอีกต่อไป แต่คนไทยทุกคนมีภารกิจร่วมกันที่จะนำสันติภาพ เสรีภาพ ภารดรภาพ สันติสุขกลับสู่สยามอย่างภาคภูมิใจ ขอเพียงให้มีประชาธิปไตยที่มองเห็นปวงชนชาวไทยมีความสำคัญจริงๆเสียทีเท่า© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple