วัดพุทธปัญญา

บทความ\7 ปีที่วัดพุทธปัญญา

7 ปีที่วัดพุทธปัญญา

            เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2545 ฉันได้เดินทางมาวัดพุทธปัญญา เป็นครั้งแรก

อาหารเพลมื้อแรกที่วัดพุทธปัญญา

แล้วอยู่ติดต่อเรื่อยมา เผลอเดี๋ยวเดียว เวลาผ่านไปเจ็ดปีเต็มในวันที่กำลังเขียนบทความนี้ คือวันพุธที่ 22 เมษายน 2552 เวลา 4.45 น. อันเป็นวันที่อากาศในแคลิฟอร์เนียยังคงร้อนอบอ้าวอยู่หลังจากที่อากาศร้อนแรงถึงร้อยกว่าองศา ฟาเร็นไฮ มาเป็นเวลาสองวันติดต่อกัน
เวลาพุทธศาสนิกชนหน้าใหม่ๆมาเยี่ยมวัดพุทธปัญญา มักจะเปิดประเด็นสนทนาเสมอๆด้วยประโยคว่า มาอยู่ที่วัดนี้กี่ปีแล้ว

พุทธบริษัทที่มาฟังธรรมแรกๆ

ฉันก็จะตอบไปตามวันเวลาที่ผ่านไป แต่วันนี้ฉันมีคำตอบใหม่ว่า ฉันมาอยู่ที่วัดพุทธปัญญา 7 ปีแล้ว

นับเป็นครั้งแรกในช่วงชีวิตที่พำนักอยู่ในที่แห่งเดียวโดยมิได้โยกย้ายไปไหนเลยนานที่สุด ปกติฉันจะอยู่ที่ไหนไม่เป็นที่เป็นทาง ต้องจาริกไปเรื่อยๆตามกระแสงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ไหลเข้ามาแล้วค่อยๆย้ายไปอยู่ในที่นั้นๆเพื่อทำงานได้อย่างสะดวก

เพื่อนร่วมทางที่เหนียวแน่น


หากจะมาทบทวนดูว่า เวลาผ่านไปเจ็ดปีได้ทำอะไรบ้าง ก็จะมองไปตามลำดับเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงต่างๆเกิดขึ้นตลอดเวลา บางคราวเปลี่ยนแปลงมาก บางคราวเปลี่ยนแปลงน้อย
ความเปลี่ยนแปลงที่พุทธศาสนิกชนผู้มาเยี่ยมวัดสัมผัสได้มากที่สุดก็คือ ลักษณะหน้าตาของวัดบางส่วนเปลี่ยนแปลงไปดังที่ได้ประจักษ์แก่สายตา บางสิ่งหายไป บางสิ่งเพิ่มขึ้นมา
เมื่อแรกเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ มีโรงรถหลังน้อยที่นำมาดัดแปลงใช้งานได้สารพัดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สวดมนต์ไหว้พระ สนทนาธรรม แสดงธรรม สอนหนังสือแก่เด็กๆ หากมีใครมาพักค้างคืนก็ใช้เป็นสถานที่พักได้อีก

เพื่อนร่วมสร้าง

แต่วันนี้โรงรถหลังนั้นต้องถูกรื้อออกไปด้วยแผนผังที่ทางเทศบาลเมืองโพโมน่ากำหนดมาว่าจะต้องรื้อออกไปจึงจะพัฒนาสถานที่ให้เป็นวัดถูกต้องตามกฎหมายได้
ต้นโพธิ์ที่เคยปลูกไว้ด้านทิศใต้ของวัด ต้องย้ายไปอยู่ตรงประตูทางเข้าตามแผนผังภูมิทัศน์ที่ทางเทศบาลได้กำหนดไว้ หากจะเก็บต้นโพธิ์ไว้ต้องย้ายสถานที่ปลูก ถ้าไม่เช่นนั้นจะต้องตัดทิ้งสถานเดียวเหมือนต้นไม้อื่นๆอีกหลายต้นที่ต้องตัดทิ้งไปด้วยความจำใจไม่มีทางเลือกเพื่อปรับสถานที่ตามแผนผังที่ทางเทศบาลกำหนดให้อย่างเคร่งครัด

โพธิ์ก่อนถูกย้าย

ช่วยกันย้ายต้นโพธิ์

สิ่งที่ปรับปรุงและสร้างขึ้นมาใหม่ชิ้นแรก คือ ลานธรรมใต้ต้นโอ๊คใหญ่ เดิมบริเวณนี้เป็นสวนหย่อม มีน้ำตกน้อยๆ รอบๆน้ำตกก็เป็นพื้นฝุ่นธรรมดา จึงปรับให้เป็นสถานที่ฟังธรรมที่ตั้งใจจะเลียนแบบหินโค้งของสวนโมกข์ แต่สถานที่เล็ก จำกัด หินทรายราคาแพง จึงออกแบบเป็นที่นั่งสี่เหลี่ยม และเด็กๆและญาติโยมหลายคน ช่วยขนทราย ขนอิฐมาวางจนพอเพียงในการก่อสร้าง สุดท้ายท่านบุญพิทักษ์ สุนฺทโร เป็นผู้ก่ออิฐจนสำเร็จดังที่ได้ใช้สอยมาจนถึงปัจจุบันนี้ ใครๆที่มาพบเห็นและทราบความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้พากันเรียกชื่อว่า ลานพระทำ คือ ลานแห่งนี้ก่อสร้างด้วยฝีมือของพระ อย่างไรก็ตามต่อมาจึงตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า ลานธรรม วัดพุทธปัญญา
ลานธรรมแห่งนี้ใช้ประโยชน์ได้มาก เป็นลานใช้งานสารพัดประโยชน์ เป็นสถานที่ทำวัตรสวดมนต์ เจริญภาวนา แสดงธรรม พระสงฆ์ฉันภัตตาหาร พุทธศาสนิกชนนั่งรับประทานอาหาร เป็นสตูดิโอ ถ่ายทำรายการคนรักธรรมที่ออกอากาศทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศใกล้เคียง ใครๆที่เคยดูรายการนี้เดินทางมาเยี่ยมที่วัดพุทธปัญญา พอเห็นลานธรรมก็ชี้ให้ดูกันใหญ่ นี่ไง สถานที่ที่ท่านอาจารย์แสดงธรรมออกโทรทัศน์ที่เราเห็นจากทางบ้านเป็นประจำ สถานที่โล่งๆเตียนๆไม่มีอะไรตรงนี้เลยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของญาติโยมที่เดินทางมาจากต่างรัฐไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากบริเวณลานธรรมใต้ต้นไม้ใหญ่แห่งนี้จะเป็นสถานที่สาธารณะ เพื่อการศึกษา ปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมแล้ว ในฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัดๆ นั่งพักกลางวันใต้ร่มเงาที่หนาทึบของต้นโอ๊คให้ความเย็นได้เป็นอย่างดี ครั้นเวลากลางคืน ใช้เป็นสถานที่จำวัด เย็นสบายกว่าจำวัดในห้อง ทำให้พระสงฆ์ได้ปฏิบัติธุดงควัตรข้อ (รุกขมูล)อยู่โคนไม้โดยปริยาย

เพื่อนร่วมประเพณี

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาอีกสองสามอย่างที่พุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันสร้างคือ อุโบสถศาลาที่แล้วเสร็จและทำพัทธสีมากันไปตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2551 ที่ผ่านมา  ใช้เป็นศาลาอเนกประสงค์ในฤดูหนาว โดยใช้เป็นสถานที่สวดมนต์ ทำวัตรเช้า -เย็น นั่งสมาธิภาวนาเช้า-เย็น เวลา 7.00 น. ตอนเช้า และ 19.00 น.เวลาเย็น หรือพูดเข้าใจง่ายๆว่า เจ็ดเช้า และเจ็ดเย็น ใครสนใจกิจกรรมดังกล่าวก็ขอเชิญร่วมได้

ทำบุญตักบาตร

ในวันอาทิตย์จะใช้อุโบสถศาลาเป็นสถานที่สวดมนต์ทำวัตรเช้าของพุทธศาสนิกชน เป็นโรงเรียนของเด็กๆในช่วงเวลาบ่ายๆ เป็นสถานที่บำเพ็ญบุญแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นสถานที่ทำบุญวันเกิด หรือใครต้องการแต่งงานแบบชาวพุทธที่มุ่งประหยัดสุดและได้ประโยชน์สูง ก็นิยมมาขอใช้สถานที่แห่งนี้เสมอๆ
ในวันอุโบสถ ขึ้นสิบห้าค่ำ แรมสิบห้าค่ำ หรือ ขึ้นสิบสี่ค่ำ พระสงฆ์ใช้ศาลาชั้นบนเป็นอุโบสถสำหรับทำสังฆกรรมสวดปาฏิโมกข์ ฟังปาฏิโมกข์กันเป็นประจำ และศาลาชั้นบนนี่เอง ก็ใช้เป็นห้องสมุดสำหรับการค้นคว้าศึกษาพระพุทธศาสนาที่มีตำราสำคัญทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษค่อนข้างจะครบถ้วนสำหรับผู้ที่ต้องการค้นคว้าทำรายงานหรือทำวิทยานิพนธ์ นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดทางอินเตอร์เน็ตที่สามารถค้นคว้าข้อมูลพระพุทธศาสนาได้อย่างกว้างไกลไร้ขีดจำกัด

นิมิตกลางอุโบสถ

พระสงฆ์สวดสังฆกรรมพันธสีมา

ศาลาอเนกประสงค์หลังนี้ เกิดขึ้นมาจาก น้ำพัก น้ำแรง น้ำใจ น้ำมือ ของพุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศที่เห็นประโยชน์ร่วมกันว่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้
สถานที่จอดรถและรั้วก็สร้างขึ้นมาตามข้อกำหนดของเทศบาลเมืองโพโมน่า เพื่อให้วัดพุทธปัญญา เป็นวัดถูกต้องสมบูรณ์ ตามนิตินัย ตามกฏหมายของเมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ตามพฤตินัย มีพระสงฆ์พำนักอาศัยประจำทำกิจกรรมตามประเพณีของชาวพุทธอย่างถูกต้องครบถ้วนและถูกต้องตามธรรมวินัย โดยอาคารที่สร้างขึ้นมาใหม่ก็ทำพิธีพัทธสีมาถูกต้องตามพระวินัยทุกประการ
ความเปลี่ยนแปลงในด้านศาสนวัตถุในระยะ 7 ปีที่ผ่านมา พุทธศาสนิกชน วนเวียนกันมาเยี่ยมวัด ช่วยเหลือเอาใจใส่ ถวายความอุปถัมภ์แก่พระสงฆ์ที่จำวัดอยู่อย่างพอเพียง ได้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงพัฒนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ความเปลี่ยนแปลงพัฒนาด้านวัตถุจะเกิดขึ้นมิได้เลย ถ้าปราศจากความร่วมมือและความช่วยเหลือของพุทธศาสนิกชนที่เดินเข้ามาช่วยเหลือโดยตรง โดยออ้ม เป็นกำลังใจ ลงมือ ลงแรง หรือแม้แต่พุทธศาสนิกชนที่อยู่ต่างรัฐและต่างประเทศล้วนส่งปัจจัยมาบริจาคช่วยเหลือมิได้ขาด
ชุมชนชาววัดพุทธปัญญา ค่อยๆเติบโตขึ้นมา ในรูปแบบของคนในครอบครัว ถักทอความรู้สึกดีๆร่วมกันบนพื้นฐานแห่งความเมตตากรุณา เอื้ออาทรต่อกันฉันพี่น้อง มากกว่าการให้บริการเชิงพานิชย์ เพราะทุกคนไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แต่ช่วยเหลือด้วยความจริงใจ
วันที่ฉันเข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาส มีพุทธศาสนิกชนมาทำบุญที่วัด ไม่ถึงสิบคน เพราะขณะนั้นวัดกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตอันเกิดจากความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์และคณะกรรมการวัด เมื่อคนในวัดทะเลาะเบาะแว้งแตกสามัคคี พุทธศาสนิกชนทั่วไปที่ตั้งใจเข้าวัดเพื่อหาความสงบ ก็หลบไปหาวัดไหนก็ได้ที่เดินเข้าไปแล้วสงบ พุทธศาสนิกชน รักใคร่สามัคคี ไม่แบ่งแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า เป็นหมู่ เป็นพวกเป็นพ้อง มีความปรองดองช่วยเหลือกันอย่างอบอุ่น
บรรยากาศของวัดต้องสงบพุทธศาสนิกชนจึงจะมั่นใจ เข้าไปบำเพ็ญบุญหรือเข้าไปศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะด้วย ฉันตระหนักถึงความเป็นจริงข้อนี้จึงไม่ตกใจ หรือวิตกกังวลใดๆที่ไม่มีคนเข้าวัดในขณะนั้น การอยู่ในวัดที่พุทธศาสนิกชนไม่พลุกพล่านย่อมเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ได้มีเวลาศึกษาค้นคว้าหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้มากขึ้น มีโอกาสฝึกจิตให้สงบมั่นคงบริสุทธิ์มากขึ้น
ในฐานะเจ้าอาวาสที่ต้องเข้ามาฟื้นฟูความสงบและความสามัคคีของพุทธศาสนิกชนที่กำลังบอบช้ำทางจิตใจอันเกิดจากความขัดแย้งได้วางลำดับแห่งการสร้างสรรค์ไว้ว่า สร้างจิตใจ สร้างคน สร้างชุมชน และสร้างวัด การสร้างจิตใจเริ่มด้วยการชักชวนกรรมการที่มีอยู่ไม่ถึงสิบคนเข้ามาทำวัตรสวดมนต์ทุกเย็นวันศุกร์เพื่อสร้างจิตใจให้สงบอ่อนโยน ใครเดินเข้ามาเยี่ยมวัดสักคนหนึ่งก็นับว่า เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่ามาก เพราะหาคนที่จะพลัดหลงเข้ามาได้ไม่ง่ายนัก จะต้องต้อนรับกันเป็นพิเศษ ค่อยๆทำความเข้าใจในทิศทางที่วัดจะก้าวเดินต่อไป
โดยปกติฉันชอบความสงบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ชอบความวุ่นวาย อึกทึกครึกโครมด้วยความบันเทิงทั้งปวง เพื่อดึงดูดคนที่ชอบทางนั้นให้เดินเข้าวัด ตั้งใจไว้ว่า หากผู้ใดจะเดินเข้ามาวัด ก็เดินเข้ามาด้วยความตั้งใจ จริงใจและเต็มใจเท่านั้น เนื่องจากบุคคลาการน้อย ทรัพยากรก็น้อย ไม่ต้องการรบกวนใคร จึงได้ตัดเรื่องราวยุ่งยากต่างๆออกไป แม้แต่การทอดผ้าป่าซึ่งเป็นกิจกรรมหาทุนที่วัดต่างๆนิยมทำกันก็ตัดออกไปยกเว้นเสียแต่ วัดใด กลุ่มบุคคลใด รวมตัวกันมาทอดผ้าป่าที่วัดโดยตรง โดยไม่ต้องไปเรี่ยไรรบกวนใคร ก็จะรับด้วยความเต็มใจ ดังเช่น วัดไทยลอสแองเจลิส และ วัดป่าธรรมชาติ เคยนำผ้าป่ามาทอดให้หลายครั้ง

ผ้าป่าจากวัดป่า

ก็ยังรู้สึกขอบคุณและประทับใจ ในทุกหยาดน้ำใจที่หยาดหยดมาอย่างบริสุทธิ์จริงๆ
ด้วยการเป็นอยู่อย่างง่ายๆตามธรรมชาติ ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามเหตุตามปัจจัยที่ควรจะเป็น ไม่ต้องบริหารจัดการหรือปรุงแต่งสิ่งใดๆให้มากมายหรูหรา ดำรงชีวิตตามวิถีแห่งพระสงฆ์ที่เน้นความเรียบง่าย ทำคิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอตามพระพุทธวจนะที่ว่า ยังประโยชน์ของตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อม
ฉันเคยได้ยินเสียงบ่นเสมอๆว่า เบื่อวัดแบบพุทธพานิชย์ที่ขายทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่เว้นแม้แต่พระพุทธรูปอันเป็นที่สักการะบูชาก็นำไปขายแล้วขายอีกไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักหย่อนโดยการประดิษฐ์ประดอยเปลี่ยนรูปเปลี่ยนชื่อไปอย่างไม่จบสิ้น ฉันก็จะบอกเขาว่า  ที่นี้ไม่ค้าขายผลิตภัณฑ์ใดๆที่เป็นเครื่องหมายทางพระพุทธศาสนา หรือสินค้าใดๆ
เสียงบ่นยังมีต่อว่า วัดในพระพุทธศาสนามีลักษณะไม่ต่างจากศาลเจ้า เพราะตามบริเวณวัด โบสถ์และศาลาแต่ละแห่งเป็นที่ชุมนุมของเจ้าพ่อเจ้าแม่หลากหลายชนิด ฉันก็ตอบว่า วัดนี้มีพระพุทธปฏิมา เป็นสัญญลักษณ์ แห่งพระมหากรุณาธิคุณ พระวิสุทธิคุณและพระปัญญาคุณ เพียงพระองค์เดียว ใครปรารถนาจะกราบไหว้เพื่อให้ได้เจริญพุทธานุสสติ ก็มากราบไหว้ตรงๆไม่ต้องผ่านด่านเจ้าพ่อเจ้าแม่ใดๆ
เมื่อถึงเทศกาลต่างๆเสียงบ่นก็ลอยมาอีกว่า เดี๋ยวนี้วัดกลายเป็นสถานบันเทิงไปแล้ว มีทั้งร้องเพลง ดนตรี ประกวดนางงาม นางงอม ประกวดแม้กระทั่งเด็กเล็กๆที่ยังไม่ประสีประสาในเรื่องความสวย ความงาม หรือหน้าตา ชื่อเสียงเกียรติ์ยศแต่ประการใด  ฉันจึงพูดกับคนขี้บ่นนั้นว่า วัดพุทธปัญญา ปลอดจากการประกวดและการแข่งขันใดๆทั้งสิ้นเพราะประจักษ์ว่า มนุษย์แต่ละคนมีบุคลิกภาพ ความรู้ ความสามารถ ที่โดดเด่นต่างกัน จะนำมาแข่งขันกันไม่ได้ มนุษย์จึงควรแบ่งปันมากกว่าแข่งขัน เพื่อความสงบเย็น
เสียงบ่นที่มีมาแต่ไหนแต่ไรว่า เวลาไปวัด ฟังพระสงฆ์แสดงธรรมไม่รู้เรื่องเพราะพูดเป็นภาษาบาลี ฉันมักจะบอกเขาว่า ที่วัดพุทธปัญญา มีการแสดงธรรมเป็นภาษาไทยแก่ผู้ที่สนใจ อย่างไม่มีข้อจำกัด มีซีดีธรรมะภาษาไทยจำนวนมาก หากฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจ เปิดโอกาสให้ถามได้อย่างไม่มีข้อจำกัด พุทธศาสนิกชนที่ไปวัดพุทธปัญญา จึงมักนั่งร่วมสนทนากันจนถึงเวลาเย็นๆจึงกลับบ้านเสมอๆ
พุทธศาสนิกชนหลายท่านแสดงกุศลเจตนาอย่างชัดเจนว่า ต้องการนั่งสมาธิฝึกภาวนา แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ฉันจึงเชิญชวนว่า หากต้องการทำสมาธิจริงๆตามพุทธวิธีก็ไม่ยากหรอก มาที่นี้ลองดูเจ็ดโมงเช้าหรือเจ็ดโมงเย็น จะนั่งสมาธิกันสักสามสิบนาที หนึ่งชั่วโมง หรือสว่างคาตาก็ไม่มีปัญหา
ผู้ปรารถนาดีหลายท่านเสนอแนะว่า น่าจะรดน้ำมนต์ให้คนที่มาวัดบ้าง ฉันตอบว่า วัดที่รดน้ำมนต์มีมากมายหาได้ไม่ยาก ฉันขออนุญาตเก็บวัดนี้ไว้เป็นสถานที่แจกน้ำธรรมสักแห่งหนึ่งเถอะ
คนที่ชอบทางดวงชะตาราศรีแวะเข้ามาบ่อยๆ ถามหาพระหมอดู เมื่อตอบว่าไม่มี ก็แนะนำว่า ท่านน่าจะฝึกดูดวง ดูโชคชะตาราศรีบ้าง หรือหากไม่มีความสามารถด้านนี้ ควรนิมนต์พระสงฆ์ที่เก่งด้านนี้มาประจำสักรูปหนึ่ง เพื่อทำให้คนที่เขาต้องการทางนี้มาแล้ว รู้สึกสบายใจกลับไป ฉันจึงแจ้งให้ทราบว่า ขออนุญาตให้วัดนี้ เป็นสถานที่ดูใจสักแห่งหนึ่ง เมื่อพุทธศาสนิกชนเดินเข้ามาแล้ว หากทุกคนดูใจตัวเองไม่ไปดูพฤติกรรมของผู้อื่น แล้วนำมาปรุงแต่งจนเป็นทุกข์ รับรองว่า ต้องกลับบ้านไปด้วยความสบายใจแน่นอน
คราวหนึ่งพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางมาเยี่ยมวัด หลังจากทำความเคารพกันตามประเพณีแล้วก็เดินชมสวน ชมอาคารไปรอบๆวัด ก่อนจะลากลับได้กรุณาแสดงความคิดเห็นต่อการมาเยี่ยมชมวัดว่า แนวทางวัดท่านทวนกระแสหลายอย่าง ผิดธรรมชาติของโลกาภิวัตน์ ฉันจึงตอบท่านไปว่า เปล่าครับ ผมไม่ทวนกระแส ไม่ตามกระแส แต่ยืนอยู่นอกกระแส ผมจึงมองดูทั้งวัดที่ตามกระแส และวัดที่ทวนกระแส ด้วยความสบายใจ การเดินตามกระแสก็เหน็ดเหนื่อยตามแบบผู้เดินตามกระแส การทวนกระแสก็เหน็ดเหนื่อยตามแบบเดินสวนกระแส แต่การเดินออกมาจากกระแส(แห่งวัตถุนิยม ทุนนิยม และบริโภคนิยม)แล้วหยุดยืนดูกระแสเสียสักระยะหนึ่ง แล้วเดินตามพุทธวิถี ที่อยู่นอกเหนือออกไปจากกระแสย่อมได้รับความสงบ สะดวก สบายมากกว่าทั้งทวนและตามกระแส
จุดยืนของวัดพุทธปัญญาจึงมิได้เคร่งครัด เคร่งเครียด ผ่าเหล่า ผ่ากอ ทวนกระแสแต่ประการใด แต่วัดพุทธปัญญา เป็นวัดอีกวัดหนึ่ง ที่พุทธศาสนิกชนช่วยกันสร้างขึ้นมาเป็นทางเลือกสำหรับผู้ต้องการ พักใจ ยามเหนื่อยใจ เมื่อเติมพลังใจจนเต็มแล้ว ก็เดินทางต่อไปด้วยความสดชื่น เบิกบาน กระปรี้กระเปร่า

พักวัดพักใจ

การเดินทางบนเส้นทางสายพุทธปัญญา แม้จะเริ่มด้วยความเงียบเหงา เหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นเพื่อนร่วมทางเพียงไม่กี่คน ที่ออกเดินทางด้วยความวิตกกังวล หวั่นไหวไม่มั่นใจ เจ็ดปีผ่านไป หลายคนเดินเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมทางเพียงระยะสั้นๆแล้วเดินออกไป หลายคนยังคงเดินร่วมทางต่อไปอย่างเหนียวแน่น สุขบ้างทุกข์บ้างถูกใจกันบ้าง ขัดใจกันบ้าง แต่ก็ยังคงเดินร่วมทางกันตามประสาเพื่อนร่วมทางที่รู้ว่าเรากำลังเดินไปทางไหน
ขอบคุณมิตรสหายทุกท่านที่ได้แวะเวียนมาเยือนวัดพุทธปัญญา ไม่ว่าจะมาในระยะสั้นๆหรือระยะยาว ท่านคือมิตรผู้ทรงคุณค่าของฉันทุกคน หากพิจารณาว่า วัดพุทธปัญญาให้คุณค่าใดๆแก่ชีวิตแม้เพียงน้อยนิดได้ ว่างเมื่อไรแวะมาเยี่ยมกันบ้างนะ

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple