วัดพุทธปัญญา

บทความ\หมอชีวกโกมาภัจเริ่มประกอบอาชีพแพทย์ เริ่มรักษาผู้ป่วย

หมอชีวกโกมาภัจเริ่มประกอบอาชีพแพทย์ เริ่มรักษาผู้ป่วย

เมื่อหมอชีวกเรียนจบแพทย์แล้ว ได้กราบลาอาจารย์ทิศาปาโกมข์เดินทางกลับกรุงราชคฤห์บ้านเกิดเมืองนอน ที่ได้จากมาเป็นเวลาหลายปี แต่ระยะทางจากเมืองตักศิลาไปยังกรุงราชคฤห์ห่างไกลมากประกอบกับถนนหนทางสัญจรก็ทุรกันดาร ต้องรอนแรมเดินทางหลายวันกว่าจะพบหมู่บ้านร้านตลาดสักครั้งหนึ่ง แล้วต้องตะบึงเข้าสู่เส้นทางที่ยากลำบากต่อไป นอกจากหนทางที่สัญจรขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อต้องย่ำโคลนตมไปอย่างทุลักทุเล ในฤดูฝนแล้ว เมื่อแดดส่องแรงไม่นานฝุ่นคละคลุ้งเกาะติดตามใบหน้าเนื้อตัวเหมือนหุ่นดินปั้นเดินได้แล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากับสิงห์สาราสัตว์ที่ไม่เคยเพบเคยเห็นอีกมากมาย แม้จะไม่มีสัตว์ตัวใดมุ่งเข้ามาทำร้าย แต่ก็ทำให้หวาดกลัวและอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยเหมือนกัน

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าเป็นดงพงไพรห่างไกลถิ่นฐานบ้านเรือนดังกล่าว อาจารย์หมอจึงได้จัดเครื่องเดินทางพร้อมเสบียงอาหารที่เก็บไว้รับประทานได้นานจำนวนหนึ่งที่พอแก่การยังชีพในช่วงการเดินทางระยะต้นเท่านั้นให้แก่หมอคนใหม่ที่เพิ่งออกเดินทางจากสถาบันการศึกษาด้วยความภาคภูมิใจในความรู้ที่ได้รับมาจากอาจารย์อย่างหาค่ามิได้ ตั้งใจจะใช้ความรู้เหล่านี้รักษาเพื่อนมนุษย์ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างไม่เลือกหน้า

เมื่อหมอชีวกดั้นด้นผ่านป่าดงพงไพรและถิ่นแห้งแล้งกันดาร ก็เข้าสู่เขตแดนของเมืองสาเกต ก้าวแรกที่หมอชีวกได้สัมผัสดินแดนแห่งนี้ก็รู้สึกได้ถึงความอุดมสมบูรณ์สงบร่มเย็นของอาณาประชาราษฎร์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งเดินเข้าไกล้ตัวเมืองเท่าไร ก็ได้เห็นผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ ส่งเสียงซื้อขายและต่อรองราคากันอย่างสนุกสนานแสดงถึงความปกติสุขของคนที่นี้ได้อย่างดี

เสบียงอาหารที่อาจารย์หมอใหญ่เตรียมมาให้ก็หมดลงพอดี ครั้นจะเดินผ่านเมืองไปโดยไม่แวะชมตลาดเสียเลยก็จะไม่มีอะไรยังชีพในมื้อต่อไป แต่พอมาตรวจตราเงินทองก็ไม่มีติดตัวเลแม้แต่น้อย การที่จะหาเสบียงเพิ่มเติมได้ต้องมีเงินทองซื้อข้าวของอย่างเพียงพอ จึงคิดว่า จะต้องใช้วิชาแพทย์ที่ร่ำเรียนมานี่แหละแลกกับค่ารักษาเพื่อจะได้เป็นทุนหาเสบียงเดินทางต่อ คิดได้ดังนั้น จึงเเดินข้าไปในตัวเมืองสาเกตผ่านกลุ่มชนที่ยืนสนทนาเรื่องราวข่าวคราวต่างๆไปหลายกลุ่ม

เมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่ก้วางขวางนัก เวลาใครมีเรื่องราวอะไรก็จะเล่าขานกันสามบ้านเจ็ดบ้านไม่ช้าก็กระจายไปอย่างรวดเร็ว หมอชีวกเห็นชาวเมืองสาเกตกลุ่มหนึ่งยืนคุยกันอย่างเฮฮาครื้นเครงจึง เดินเข้าไป ถามว่า ชาวเมืองสาเกตทุกท่าน ใครเจ็บป่วยเป็นโรคอะไรบอกข้าพเจ้าได้นะ ข้าพเจ้าจะรักษาให้

ชาวเมืองเห็นหน้าเด็กหนุ่มคนนี้เดินถามหาคนไข้ก็ให้ฉงนใจยิ่งนักจึงถามว่า พ่อหนุ่มมาจากไหน ยังหนุ่มยังน้อยไม่มีหนวดสักเส้นเดียว มาเที่ยวป่าวร้องโฆษณารักษาโรคไปทั่วเมืองอย่างนี้ พ่อหนุ่มมีดีอะไรหรือ ธรรมดา คนที่จะเป็นหมอรักษาโรคและรักษาคนไข้ได้จะต้องมีวัยวุฒิสูงมีหนวดเครายาวหรือขาวโพลนเท่านั้น พวกเราสงสัยในความเป็นมาของพ่อหนุ่มยิ่งนัก เล่าให้เราฟังได้ไหม ว่าพ่อหนุ่มน้อยหน้าใสไปอย่างไรมาอย่างไร

หมอชีวกยกมือไหว้ไปรอบๆผู้ใหญ่ที่ยืนคุยกันอยู่อย่างออกรสแล้วกล่าวว่า ลุงป้าน้าอาทั้งหลายเอ้ย ฝูงชนทั้งหลายก็ร้องรับพร้อมกันว่า เอ้ย อย่างครึกครื้น หมอชีวกกล่าวต่อไปว่า ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจากเมืองตักศิลา

ชายกลางคนๆหนึ่งถามด้วยความเอ็นดูว่า ไปธุระอะไรมาหรือพ่อหนุ่ม

หมอชีวกตอบอย่างนอบน้อมชัดเจนว่า ไปเรียนวิชาแพทย์มาครับ

เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นรีบสอดขึ้นมาอย่างยียวนว่า เรียนไม่ไหว หนีมาหรือว่าถูกไล่ออกกลางคนมิทราบ

พี่ชาย ผมจบการศึกษาแพทย์มาจริงๆ หากไม่เชื่อก็เดินทางไปถามอาจารย์หมอใหญ่ได้เลย

คนกลางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า เออ ก็น่าสนใจนะจบหมอตั้งแต่หนุ่มเห็นท่าอนาคตไกล ว่าแต่ว่าพ่อหนุ่มพร้อมที่จะรักษาแล้วหรือยัง มีอุปกรณ์มาพร้อมไหม

หมอชีวกจึงบอกกับท่านผู้นั้นว่า ตัวยามีอยู่ทั่วพื้นปฐพีรักษาโรคได้ทั้งนั้น เพียงแต่ขอพบคนไข้วินิจฉัยอาการไข้อย่างถ้วนทั่วแล้วจึงหาเครื่องประกอบยาภายหลังก็ได้ครับน้า

ผู้สูงอายุในที่นั้นจึงบอกข่าวหมอชีวกว่า พ่อหนุ่มน้อยได้ข่าวมาว่า ภรรยาเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองนี้แหละ ป่วยเป็นโรคปวดศรีษะมาเป็นเวลา เจ็ด ปี นายแพทย์เก่งๆที่จบจากตักศิลา มีอายุมาก มีประสบการณ์เชี่ยวชาญมาเป็นเวลาหลายปีหลายคน มารักษารับเงินค่ารักษากลับไปแล้ว อาการของภรรยาท่านเศรษฐีก็ยังคงที่ จ่ายเงินไปมากมาย ถ้าเป็นคนธรรมดาสถานะอย่างเรา คงตายไปนานแล้วละ

ข่าวดังกล่าวทำให้หมอชีวกดีใจถึงกับยกมือไหว้แสดงคารวะท่านผู้อาวุโสด้วยความอ่อนน้อม เพราะเป็นผู้นำโชคมาให้แท้ๆ จึงถามต่อไปว่า ผมจะเดินไปทางไหนดีละพ่อลุงจึงจะถึงเรือนชานท่านเศรษฐีนั้นได้เล่า

ท่านผู้อาวุโสประจำชุมชนคนรักถิ่นของเมืองสาเกตจึงบอกทางให้หมอชีวกอย่างสว่างกระจ่างใจ เพียงแต่เดินทางไปตามเส้นทางที่บอกไว้ก็จะถึงบ้านท่านเศรษฐีคนดังกล่าวโดยไม่ยากนัก

หมอชีวกจึงเดินเข้าไปยังบ้านเศรษฐีตามทิศทางดังกล่าว เดินไปเรื่อยๆจนถึงบ้านท่านเศรษฐีในเวลาต่อมาไม่นาน แล้วแนะนำตัวเองกับยามเฝ้าประตูว่า ได้ข่าวว่าภรรยาท่านเศรษฐีป่วยมาหลายปี ขออนุญาตให้ผมได้เข้าไปดูอาการหน่อยได้ไหม

ยามเฝ้าประตูได้ฟังดังนั้นจึงเข้าบ้านไปรายงานให้ภรรยาท่านเศรษฐีทราบว่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าประตู แจ้งความประสงค์ว่า เขาเป็นหมอจะมาดูอาการของท่าน เผื่อบางทีจะรักษาได้ขอรับ

ภรรยาเศรษฐีถามอีกว่า หมอคนนั้นยังหนุ่มเหรอ

ยามเฝ้าประตูตอบว่า ขอรับ

ภรรยาเศรษฐีจึงบอกว่า ไปบอกให้เขากลับไปเถิด หมอแก่ๆเก่งๆเชี่ยวชาญจากทิศาปาโมกข์หลายคนมารักษาแล้วก็ไม่หาย จ่ายเงินค่ารักษาไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว

ยามเฝ้าประตูจึงกลับไปบอกให้หมอชีวกกลับไป

หมอชีวกใจเย็นบอกยามเฝ้าประตูคนนั้นว่า จงไปบอกภรรยาท่านเศรษฐีเถิดว่า จะขอรักษาก่อน ถ้ารักษาไม่หายก็จะไม่ขอรับเงินค่ารักษาหรอกครับ

ภรรยาเศรษฐีได้ยินข้อต่อรองของหมอชีวกที่ตนเองไม่เสียเปรียบอะไรเลย หากทุกอย่างมาบรรจบครบกันเข้าอาจจะหายก็ได้จึงใช้ให้คนเฝ้าประตูไปบอกหมอชีวกว่า เชิญหมอเข้ามาลองรักษาดูเถอะ

หมอชีวกเข้าไปตรวจดูอาการป่วยของภรรยาท่านเศรษฐีแล้วพูดด้วยความอ่อนน้อมว่า คุณนายครับ ผมต้องการเนยใสประมาณหนึ่งซองมือ(ปริมาณเท่ากับหงายฝ่ามือแล้วใส่ลงไป)มาเป็นกระสายยานะครับ

เมื่อภรรยาเศรษฐี สั่งคนใช้ให้นำเนยใสหนึ่งซองมือมาให้หมอชีวกตามที่สั่งนั้นแล้วหมอชีวกจึงเริ่มหุงเนยใสนั้นด้วยตัวยาต่างๆอีกหลายอย่าง จากนั้นจึงให้ภรรยาเศรษฐีนอนหงายบนเตียงแล้วให้นัดถุ์ยาที่ปรุงนั้น

ขณะนั้นเนยใสที่นัตถุ์เข้าไป พุ่งออกมาทางปาก ภรรยาเศรษฐีนั้นถ่อมเนยใสลงในกระโถนแล้วรีบบอกสาวใช้ว่า รีบนำเอาสำลีมาซับเนยใสนี้เก็บไว้

หมอชีวกคิดในใจว่า แหมภรรยาเศรษฐีคนนี้ขี้เหนียวนัก เนยใสที่ต้องทิ้งยังให้สาวใช้เก็บไว้อีก

ภรรยาเศรษฐีสังเกตเห็นอาการของหมอชีวกแล้วถามว่า คิดอะไรอยู่หรือคุณหมอ

หมอชีวกจึงเล่าความคิดนั้นให้ฟัง

ภรรยาเศรษฐีจึงกล่าว่า คุณหมอ ฉันเป็นคนมีครอบครัว จำเป็นต้องรู้จักสิ่งที่ควรเก็บไว้ใช้ เนยใสนี้ยังดีอยู่จะใช้ทาเท้าให้พวกคนงานก็ได้ ใช้เป็นน้ำมันเติมตะเกียงก็ได้ ท่านอย่าวิตกไปเลย ท่านได้ค่ารักษาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแน่ แหมคิดมากไปได้

ไม่นานนักอาการปวดหัวที่เรื้อรังมาเป็นเวลาเจ็ดปีก็ค่อยๆหายเป็นปกติ ด้วยการใช้ยานัตถุ์ครั้งเดียว จึงมอบเงินเป็นรางวัล สี่พันกหาปนะให้หมอชีวกเป็นค่ารักษา

ลูกชายเศรษฐีเห็นว่า หมอชีวกรักษาคุณแม่ของตนให้หายได้เป็นอัศจรรย์ก็ตกรางวัลให้อีก สี่พันกหาปนะ สะไภ้ให้อีกสี่พันกหาปนะ ท่านเศรษฐีดีใจที่คุณหมอรักษาภรรยาของตนให้หายได้อย่างรวดเร็วอย่างนั้นก็ตกรางวัลให้อีกสี่พันกหาปนะ พร้อมทั้งคนรับใช้ ม้าและรถม้าที่จะเป็นพาหนะเดินทางต่อไปอย่างครบถ้วน

เมื่อหมอชีวกโกมารภัจพักอยู่กับครอบครัวเศรษฐีเพื่อดูอาการอีกระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นปกติจริงๆแล้วจึงนำเอาทรัพย์สินที่ได้จากการรักษาครั้งนี้เดินทางกลับกรุงราชคฤห์ เมื่อเดินทางมาถึงจึงเข้าเฝ้าเจ้าชายอภัยผู้ที่ได้เลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่แล้วกราบทูลว่า ทรัพย์สินประกอบด้วย เงิน หนึ่งหมื่นหกพันกหาปนะและทรัพย์สมบัติเหล่านี้ เป็นผลตอบแทนครั้งแรกจากการเริ่มอาชีพหมอของข้าพระองค์ ขอพระองค์จงรับทรัพย์สินทั้งหมดนี้เป็นเครื่องตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูข้าพระองค์มาจนเติบใหญ่เถิด พระเจ้าข้า

เจ้าชายอภัยตรัสว่า อย่าเลย ลูกเอ๋ย ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ได้มาด้วยความรู้ความสามารถของเจ้าคนเดียว เจ้าจงนำทรัพย์สินเหล่านี้ไปเป็นค่าใช้จ่ายสร้างบ้านอยูในเขตวังของพ่อเถิด ทรัพย์สินที่เหลือก็เก็บไว้เป็นทุนสร้างอนาคตต่อไปให้รุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปเถิด

หมอชีวกโกมารภัจ กราบทูลว่า เป็นพระมหากรุณายิ่งพระเจ้าข้า แล้วจึงสร้างบ้านอยู่ในบรมมหาราชวังของเจ้าชายอภัยผู้ที่ได้ชุบเลี้ยงมาจนรอดปากเหยี่ยวปากกา คอยรับใช้อย่างใกล้ชิดดังพ่อและลูกบังเกิดเกล้าจริงๆ

หมอชีวกโกมาภัจนอกจากจะมีความเก่งเป็นเยี่ยมยังมีความดีเป็นยอดจึงสมควรได้รับการยกย่องว่า บุคคลตัวอย่างที่ทั้งยอดและเยี่ยมอยู่ในคนเดียว นี่แหละควรได้รับสมยานามว่า มนุษย์ที่แท้ ที่มีความรู้คู่ความดีจริงๆ ที่โลกต้องจารึกนามเอาไว้แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใดก็ตาม

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple