วัดพุทธปัญญา

บทความ\พระอริยบุคคล

พระอริยบุคคล

พุทธบริษัท ไม่น้อยมักจะตั้งคำถามว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่า พระภิกษุสงฆ์ หรือ พุทธบริษัทคนไหน ปฏิบัติธรรมได้มรรคผลขั้นไหน

คำตอบที่มักจะได้ยินเป็นประจำก็คือ ใครเข้าถึงธรรมขั้นไหน ผู้นั้นจะรู้ได้ด้วยตนเอง เปรียบเหมือน พริกเผ็ด น้ำตาลหวาน น้ำแข็งเย็น น้ำร้อนร้อน ที่ต้องรู้ได้ด้วยประสบการณ์ตรง ไม่สามารถจะรู้ได้โดยคำอธิบายใดๆ ใครที่ได้สัมผัสในสิ่งเดียวกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจถึงประสบการณ์เดียวกัน

อย่างไรก็ตามเรื่อง การบรรลุมรรคผลแม้จะเป็นประสบการณ์ของพระอริยเจ้าผู้อยู่เหนือประสบการณ์แบบโลกๆทั้งปวงแล้ว แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงวางหลักแห่งความเป็นพระอริยเจ้าในระดับต่างๆให้ปุถุชนได้ศึกษาเรียนรู้โดยแยบคายไว้อย่างค่อนข้างชัดเจนทีเดียว

เบื้องต้นพระพุทธเจ้า วาง เส้นแบ่งพรหมแดนระหว่างมนุษย์ปุถุชน คือ ผู้หนาด้วยกิเลส กับ พระอริยเจ้า ผู้มีกิเลสเบาบาง จนหมดสิ้นตามลำดับ อยู่ที่ สังโยชน์ ซึ่งแปลว่า สิ่งที่ผูกมัดสัตว์ไว้

มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ยังดำเนินชีวิต ตามอำนาจของกิเลส ล้วนยังอยู่ในเครื่องพันธนาการของ เครื่องมัด ที่มีชื่อว่า สังโยชน์ ทั้งสิ้น

การที่ปุถุชนทั่วไปจะยกระดับเป็นพระอริยเจ้า ต้องก้าวข้าม เส้นแบ่งคือ สังโยชน์

การที่ปุถุชนจะเข้าถึงอริยภาวะขั้นใด ก็อยู่ที่การทำให้สังโยชน์เบาบาง หรือ ละได้เด็ดขาด

สังโยชน์ คือ กิเลส เครื่องร้อยรัด ผูกพันสัตว์ทั้งหลายไว้ มี 10 ประการคือ

  1. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่า เป็นตัว เป็นตน เช่น เห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญา ว่า เป็นตัวตน
  2. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
  3. สีลัพพตปรามาส การยึดติดในศีลหรือ ข้อปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างงมงายด้วยความเชื่อว่า เมื่อปฏิบัติอย่างนั้นแล้วจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ โชคดี ลาภดี เช่น การนำใบเงินใบทอง มามัดเป็นเครื่องพรมน้ำมนต์ด้วยความเชื่อว่า จะมีเงิน มีทองไหลมาเทมา หรือเวลาจะทำบุญวันเกิดของใคร คนนั้นจะปรุงอาหารประเภทก๊วยเตี๋ยว บหมี่ หรือขนมจีน เลี้ยงพระสงฆ์หรือเลี้ยงแขกที่มาร่วมงานโดยความเชื่อว่า เจ้าภาพจะมีอายุยืนยาว เหมือนเส้นเกี๊ยวเตี๋ยว บะหมี่ หรือขนมจีน ที่เลี้ยงพระหรือเลี้ยงแขกในวันอันเป็นมงคลนั้น
  4. กามราคะ ความติดใจ ตรึงใจ ฝังใจ ในกามคุณ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และธรรมารมณ์ ที่ยากแก่ การถอดถอน สลัด ตัดทิ้ง
  5. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิด ขัดเคืองเล็กๆน้อยๆ ไม่ถึงกับเดือดพล่านรุนแรง
  6. รูปราคะ ความติดใจ ฝังใจ ในอารมณ์แห่งรูปฌานที่มีความสุขมากกว่า ความสุขแบบโลกทั่วๆไป
  7. อรูปราคะ ความฝังใจ ตรึงใจอย่างแนบแน่น ในอารมณ์แห่งอรูปฌานที่มีความสงบละเอียด ลึกซึ้ง ดื่มด่ำ สุขุม ลุ่มลึกกว่า สุขใดๆในโลกและสุขจากสมาธิระดับต้นๆ
  8. มานะ ความถือตัว (1)สำคัญตัวว่า สูงกว่า ผู้อื่น เป็นเหตุให้เย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี ถือตนเป็นใหญ่ ไม่ฟังใคร (2)สำคัญตนว่า เท่าเทียมกัน เป็นเหตุให้ขาดความอ่อนโยนต่อผู้ที่สูงโดย ธรรมวุฒิ เช่น สัญชัย ปริพพาชก ไม่ยอม รับคำชวนของพระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อรับฟังธรรมด้วยกัน เพราะมีมานะว่า ตนเองก็เป็นเจ้าสำนักคนหนึ่งเท่ากับพระพุทธเจ้า จึงกล่าวกับ พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตรว่า คนฉลาดทั้งหลายไปหาพระสมณโคดมกันเถิด ส่วนเราจะอยู่กับคนโง่ๆต่อไป (3)ส่วนการสำคัญตนว่า ด้อยกว่า ผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดความประหม่า ไม่กล้าหาญ หวาดกลัวที่จะแสดงความสามารถหรือความคิดความเห็นให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ที่ตนคิดว่า มีความรู้ ความสามารถ คุณธรรม เหนือกว่า ตน
  9. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน แล่นพล่านไปในอารมณ์ต่างๆ ย้อนอดีตบ้าง สู่อนาคตบ้าง คว้าสิ่งนั้นบ้าง สิ่งนี้บ้าง ไม่หยุดพัก ไม่สงบ
  10. อวิชชา ความไม่รู้แจ้ง เช่น ไม่รู้แจ้งใน ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทางที่จะปฏิบัติให้ถึงความสิ้นไปแห่งทุกข์

คราวนี้ก็มาพิจารณาถึงสังโยชน์ที่พระอริยเจ้าแต่ละชั้นจะพึงละ

    1. พระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้สามอย่างคือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
    2. พระสกทาคามี ละสังโยชน์ได้สามอย่างข้างต้นได้ และทำราคะ โทสะ และโมหะ ให้เบาบางจางลง
    3. พระอนาคามี ละสังโยชน์ได้อีกสองอย่างคือ กามราคะ และ ปฏิฆะ
    4. พระอรหันต์ ละสังโยชน์ที่เหลืออีกห้าประการได้แก่ รูปราคะ อรูปราคะ อุทธัจจะ มานะและอวิชชา รวมความว่า พระอรหันต์ตัดสังโยชน์ทั้งสิบประการได้เด็ดขาด เป็นพระอริยเจ้าที่สมบูรณ์ นับเป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดของมนุษย์ตามความหมายในพระพุทธศาสนาที่เน้นค่าของมนุษย์อยู่ที่ความเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง เข้าถึงความสงบเป็นนิรันดร์

บทสวดพระสังฆคุณที่ว่า ยทิทัง จัตตาริ ปุริสยุคานิ อัฏฐปุริสปุคคลา ซึ่งแปลว่า คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้แปดบุรุษจะเห็นได้ชัดเจนอย่างนี้

คู่แห่งบุรุษสี่คู่ได้แก่

1. โสดาปัตติมรรค มรรคอันให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน โสดาปัตติผล ผลอันพระโสดาบันพึงเสวย คือ ผลจากการละสังโยชน์ได้

2. สกทาคามิมรรค มรรคอันให้ถึงความเป็นพระสกทาคามี สกทาคามิผล ผลอันพระสกทาคามีพึงเสวย

3. อนาคามิมรรค มรรคอันอันให้ถึงความเป็นพระอนาคามี อนาคามิผล ผลอันพระอนาคามีพึงเสวย

4. อรหัตตมรรค มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ คือ ละสังโยชน์ได้หมดสิ้น อรหัตตผล ผลอันพระอรหันต์พึงเสวย

คำว่า ผลอันพระอริยเจ้าทั้งสี่ขั้นพึงเสวย หมายถึงผลอันเกิดจากการละสังโยชน์ได้ อันได้แก่ความสงบอย่างแท้จริงที่ไม่มีกิเลสรบกวน

หากจะคิดความสงบทั้งหมดรวม เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ พระอริยเจ้าแต่ละขั้นจะเสวยผลตามสัดส่วน

พระโสดาบัน เสวยผลความสงบ 25 เปอร์เซ็นต์ พระสกทาคามี 50 เปอร์เซ็นต์ พระอนาคามี 75 เปอร์เซ็นต์ พระอรหันต์ สงบ 100 เปอร์เซ็นต์

ส่วนบทสวดสังฆคุณที่ว่า อัฏฐปุริสปุคคลา แปลว่า นับเรียงตัวบุรุษได้แปดบุรุษ คือ นำเอาพระอริยเจ้าที่บรรลุมรรคผลตามลำดับแห่งการละสังโยชน์มานับเรียงกันก็จะได้ 8 ท่านพอดีคือ

1. พระผู้บรรลุโสดาปัตติมรรค 2. พระผู้บรรลุโสดาปัตติผล

3. พระสกทาคามิมรรค 4. พระผู้บรรลุสกทาคามิผล

5. พระอนาคามิมรรค 6. พระผู้บรรลุอนาคามิผล

7. พระอรหัตตมรรค 8. พระผู้บรรลุอรหัตตผล

บทพระสังฆคุณที่ว่า เอส ภควโต สาวกสังโฆ แปลว่า นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า อาหุเนยโย เป็นสงฆ์ควรแก่สังกการะที่เขานำมาบูชา ปาหุเนยโย เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ ทักขิเนยยโย เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน อัญชลิกรณีโย เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

พุทธศาสนิกชนบางคน ไม่พอใจพฤติกรรมแปลกๆของพระสมมติสงฆ์ในปัจจุบันนี้ มักจะพูดกันว่า ตอนนี้ เขาไม่กราบไหว้พระรัตนตรัยแล้ว แต่จะกราบไหว้ พระพุทธ พระธรรม สองอย่างก็พอ แต่ไม่กราบไหว้พระสงฆ์ หรือบางคนเข้าใจผิดหลงทิศหลงทาง นับพระรัตนตรัยกันใหม่ว่า พระพุทธ พระธรรม และพระเครื่อง โดยพยายามตัดพระสงฆ์ทิ้งไป แต่หารู้ไม่ว่า ผู้ที่ปลุกเสกพระเครื่องที่ตนกราบไหว้ ก็คือ พระสมมติสงฆ์ ที่ตนตั้งข้อรังเกียจนั้นเอง พระสงฆ์ที่ท่านทราบว่า ท่านเป็นพระอริยสงฆ์แล้ว ย่อมจะไม่ยอมปลุกเสกเครื่องรางของขลังใดๆอีก เพราะการปลุกเสกทั้งหลาย เป็นพฤติกรรมแห่งสีลพตปรามาส พระอริยเจ้าทั้งหลาย ละสีลพตปรามาสได้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว จึงไม่กลับไปกระทำพิธีปลุกเสกใดๆได้อีก

แต่ถ้ามาพิจารณาบทสรรเสริญพระสังฆคุณให้ดีๆแล้ว ก็จะพบว่า คำว่า สาวกสังโฆ หรือ พระสังฆรัตนะ หรือ พระสงฆ์ อันเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย อันประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ดังที่พุทธศาสนิกชนทราบดีนั้น มิได้หมายถึง พระสมมติสงฆ์ แต่หมายถึง พระอริยสงฆ์ตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอรหันต์ ดังบทสวดที่ว่า เอส ภควโต สาวกสังโฆ พระอริยเจ้าเหล่านี้แหละ ที่เรียกว่า สาวกสังโฆ

เป็นอันว่า ใครที่เคยเข้าใจว่า ขณะนี้ พระรัตนตรัย เหลือเพียงพระพุทธและพระธรรมนั้น ทำความเข้าใจเสียใหม่ ว่า พระรัตนตรัยจะไม่มีวันหายไปจากโลก เพราะสังฆรัตนะหมายถึง พระอริยบุคคลทั้งปวง

ส่วนพระสมมติสงฆ์ผู้ยังคงตั้งใจปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความสงบตามลำดับ คอยสืบทอดพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะต้องยึดพระอริยสงฆ์เป็นต้นแบบ แม้ยังไม่ได้เป็นพระอริยสงฆ์เพราะยังละสังโยชน์ไม่ได้ตามที่พระริยเจ้าทั้งหลายท่านละได้แล้ว ก็ยังได้ชื่อว่าเดินตามรอยพระอริยเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นทางสงบ เย็นใจและปลอดภัยจากการคุกคามของกิเลสได้ไม่น้อยเช่นกัน

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple