วัดพุทธปัญญา

บทความ\สามีจิปฏิปันโน พระสงฆ์ ปฏิบัติสมควรแล้ว

สามีจิปฏิปันโน พระสงฆ์ ปฏิบัติสมควรแล้ว

พุทธบริษัททั้งหลายเวลาสวดสรรเสริญพระสังฆคุณว่า สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ แปลว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติสมควรแล้ว พระสงฆ์ในบทสรรเสริญพระคุณนี้ หมายถึงพระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้หมดสิ้นอาสวะกิเลสแล้ว เป็นแบบฉบับแห่งพระพุทธสาวกทั้งที่เป็นผู้ครองเครือนและผู้ที่ละเรือนบวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ทั้วปวง

คำว่า สมควร มีความหมายเป็นสองนัย

นัยที่หนึ่ง หมายถึง พระอริยสงฆ์ทั้งปวง เป็นผู้ปฏิบัติเหมาะสมตามพระธรรมและพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

นัยที่สอง หมายถึง การประพฤติตนของพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย งามในเบื้องต้นด้วยศีล งามในท่ามกลางด้วย สมาธิ และงามในที่สุดด้วย ปัญญา เป็นพระสงฆ์ผู้สมควรแก่การกราบไหว้ของพุทธบริษัททั้งหลายผู้ต้องการต้นแบบในการดำเนินชีวิตที่สงบ

อนึ่งพระอริยสงฆ์แต่ดั้งเดิมนั้น ล้วนตั้งมั่นในไตรสิกขา จนท่านมีความบริสุทธิ์ มีอิสระ เสรี จากพันธนาการแห่งกิเลสทั้งหลาย ด้วยเหตุนั้นเอง เมื่อพระพุทธเจ้าจะส่งพระอริยสาวกไปประกาศพระศาสนา พระองค์มิได้ตรัสว่า ให้ไปประกาศพระศาสนา แต่ทรงประกาศว่า ให้พระสงฆ์ไปประกาศพรหมจรรย์ ด้วยข้อความที่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลาย พ้นแล้วจากบ่วงอันเป็นของมนุษย์ และบ่วงอันเป็นทิพย์ เธอทั้งหลายจงจาริกไป อย่าไปทางเดียวสองรูป จงไปทางละรูป เพื่อประโยชน์เพื่อความสุข ของมหาชนเป็นอันมาก จงประกาศพรหมจรรย์ งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด ให้ถึงพร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ

เบื้องต้นพระพุทธเจ้าตรัสรับรองคุณสมบัติของพระอริยสงฆ์ทั้งหลายว่า เป็นผู้พ้นแล้ว จากบ่วงอันเป็นของมนุษย์ และบ่วงอันเป็นทิพย์

บ่วงของมนุษย์มีมากมายหลายอย่างเช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลินหมกมุ่นมัวเมา มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่ยังหนาไปด้วยกิเลส ย่อมทุ่มเท อุทิศกายใจแทบทั้งชีวิต เพื่อ แสวงหา รักษา สะสม ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขเหล่านี้ ไม่มีวันห่างจางหาย แต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมสลัดสิ่งเหล่านี้คืนสู่ธรรมชาติอย่างหมดอาลัย ดังคำที่ท่านเรียกว่า อนาลโย แปลว่า ไม่อาลัย หรือไม่ผูกพัน เมื่อไม่ผูกพันอย่างเหนียวแน่น ก็หลุดออกมาได้อย่างเสรี

นี้คือบ่วงของมนุษย์ ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสละแล้ว

บ่วงอันเป็นทิพย์ คือ ความสุขที่ละเอียดลึกซึ้งอันมนุษย์ธรรมดาสามัญจะเข้าถึงได้ยากนัก เช่น ความสุขอันเกิดจากผลของสมาธิและฌานในระดับต่างๆ ที่บรรดาฤาษีทั้งหลายพากันเพลิดเพลินยินดี ดื่มด่ำ ดำดิ่งอยู่กับความสุขอันลึกล้ำนั้นจนไม่รู้ว่า วันเวลาผ่านไปยาวนานเท่าไร ด้วยเข้าใจว่า ไม่มีความสุขใดเทียมเท่าอีกแล้ว แต่พระอริยเจ้าทั้งหลายทรงเห็นแจ้ง ถึงความความสุขที่ละเอียดสุขุมนั้นว่า เป็นบ่วงที่มัดไว้นิ่มๆแต่เหนียวแน่น จนแทบจะไม่รู้ตัว จึงสลัดบ่วงแห่งความสุขนั้นแล้ว เข้าถึงความรู้แจ้งสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริง ก็เข้าถึงอิสรภาพที่แท้จริงโดยไม่ต้องอิงอาศัยสิ่งใดเป็นเครื่องมือแสวงสุขอีกต่อไป เพราะอยู่ได้ทั้งเหนือสุข และเหนือทุกข์

นี่คือ บ่วงอันเป็นทิพย์ ที่พระอริยสงฆ์สละแล้ว

คุณลักษณะที่สำคัญ ถึงขั้นเรียกว่า พระคุณของ พระอริยเจ้าทั้งหลายคือ เป็นผู้หลุดพ้นจากบ่วงทุกบ่วง จากความทุกข์ทั้งปวง

งานที่พระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้ท่านผู้พ้นบ่วงเหล่านี้ไปปฏิบัติ คือ การประกาศพรหมจรรย์ อันได้แก่ ชี้ทางแห่งการดำเนินชีวิตอันประเสริฐ ที่เป็นอิสระจากบ่วง

มนุษย์ทั้งหลายที่ย่ำอยู่บนเส้นทางเก่าๆในบ่วงแห่งการแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ย่อมพบกับชีวิตลุ่มๆดอนๆ ได้บ้าง เสียบ้าง ขึ้นบ้าง ลงบ้าง หัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ตามจังหวะ แห่งเหตุและปัจจัยที่ปรากฏในที่นั้นๆ แต่ทางอันประเสริฐ คือ ทางแห่งการดำเนินชีวิต ที่สงบ ไม่หวั่นไหว ขึ้นลง คงที่ อันเป็นทางราบเรียบสายใหม่ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและมีพระกรุณาเปิดเผยแก่มนุษย์เพื่อนร่วมทางเดินแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย ให้เกิดแก่เจ็บตายอย่างสงบเย็นเป็นปกติ อย่างไม่มีข้อกำหนด

พระพุทธเจ้าทรงพร่ำสอนพุทธสาวกว่า การประกาศพรหมจรรย์ต้องทำอย่างงดงาม ทั้งตอนเริ่มต้น ท่ามกลางและแม้แต่ตอนจบ เป็นที่ประทับใจของผู้ที่ได้พบ ผู้ที่ได้เห็น ผู้ที่ได้ฟังจนรู้สึก มีความปรารถนาดี ที่จะฟังต่อ ปฏิบัติตาม และช่วยกันเผยแพร่พรหมจรรย์ในแผ่ไพศาล กว้างไกลออกไป อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ

ด้วยการที่พระพุทธเจ้าสอนพระอริยเจ้าทั้งหลายให้แสดงธรรมและแสดงทางแห่งการดำเนินชีวิตอย่างงดงาม ชัดเจนทั้งที่มาที่ไป และความหมายที่ลึกซึ้งกินใจ จึงเป็นที่ประจักษ์ว่า ทุกหนทุกแห่งที่พระอริยสาวกจาริกไป จะได้รับการต้อนรับจากศาสนิกชนแม้ต่างความเชื่อต่างประเพณีเป็นอย่างดี เพราะพระอริยสาวกเหล่านั้นประกอบด้วยจิตเมตตาปรารถนาให้ผู้ฟังหรือเพื่อนมนุษย์ได้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นโดยมิได้หวังสิ่งใดตอบแทน เพราะสิ่งเหล่านั้น ล้วนเป็นบ่วงที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสลัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยแล้ว

ลาภสักการะทั้งหลายในสายตาของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นเหมือนอุจจาระที่ไร้ค่าและปฏิกูลเกินกว่าที่จะเก็บรักษาหรือพกพาให้เปรอะเปื้อน เพราะท่านเหล่านั้นเข้าถึงเสรีมีอิสระ เคลื่อนไปที่ไหนล้วนเบากายและเบาใจ

พระอริยเจ้าทั้งหลายได้มีความเมตตากรุณาชี้ทางออกจากความทุกข์ และชี้สุขเกษมศานติ์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศก วิโยกภัยให้พุทธศาสนิกชนไม่เลือกหน้า นับว่า เป็นกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ เหนือสักการะใดๆ จึงพากันกราบไหว้เป็นการบูชา เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ทรงพระคุณดังที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศไว้ เป็นผู้ควรแก่การไหว้กราบโดยแท้

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple