วัดพุทธปัญญา

บทความ\แต่งงานแบบชาวพุทธ

แต่งงานแบบชาวพุทธ

พิธีมงคลสมรสหรือแต่งงาน เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ชนชาติไทยได้ปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน รูปแบบการแต่งงานของแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันออกไปตามสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมอื่นๆที่เชื่อมโยงสอดประสานกัน เพราะวัฒนธรรมการแต่งงานมิใช่เป็นเพียงวัฒนธรรมเดี่ยวเพียงเรื่องเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับ อาหาร เสื้อผ้า แขกที่มาร่วมงาน พิธีกรรมทางศาสนา ความเชื่อท้องถิ่น ที่จะต้องจัดขึ้นพร้อมๆกันไป

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า การจัดงานแต่งงานแต่ละครั้งจะต้องใช้จ่ายทรัพย์มาก ในเกือบจะทุกด้าน เพราะคู่บ่าวสาวมีความรู้สึกว่า เป็นวันที่มีความหมายสำคัญวันหนึ่งของชีวิต ที่จะต้องทำสิ่งใดๆให้เป็นพิเศษในวันนั้นเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกในอนาคตข้างหน้าเมื่อกาลเวลาผ่านไป

นอกจากนี้วันแต่งงานแบบไทยๆเป็นวันที่ประกาศสละโสดอย่างเป็นทางการของคู่บ่าวสาว ในสังคมที่ดำรงอยู่คล้ายๆเครือญาติ เมื่อครอบครัวใดจัดพิธีแต่งงาน ทั้งสังคมมักจะรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างทั่วถึง ซึ่งจะเป็นการสอดส่องดูแลในแง่ของจริยธรรมครอบครัวอีกทางหนึ่ง ลูกใครหลานใคร แต่งงานกับใคร ออกเรือนเมื่อไร ทราบกันหมด

หากใครเผลอสติไปนอกใจคู่ครอง ก็จะมีการแจ้งเหตุเพื่อการระวังภัยให้ทราบกัน เพื่อมิให้ปัญหาครอบครัวบานปลายอันเป็นเหตุให้ครอบครัวแตกแยก บางครั้ง บางคราว ปัญหาครอบครัวก็สามารถแก้ไขง่าย เพราะทุกฝ่ายช่วยกันทำความเข้าใจและมีความปรารถนาดีที่จะให้ครอบครัวได้ร่วมชีวิตกันแบบยั่งยืน

เมื่อประมาณห้าสิบปีที่ผ่านมา สมัยที่หลวงพ่อปัญญานันทะยังเป็นพระหนุ่มที่มีชื่อเสียงก้องฟ้าเมืองไทย ได้พยายามทุกทางที่จะนำเอาธรรมะเข้าสู่ชีวิตในทุกขั้นตอนของชีวิตที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะ แก่ เจ็บ และตาย เช่น คนแก่ก็เข้าวัดสมาทานศีลอุโบสถเพื่อความสงบในบั้นปลายชีวิต คนเจ็บพระสงฆ์ก็ไปเยี่ยมเยือน นำหนังสือธรรมะเทปธรรมะไปเปิดให้ฟัง เมื่อเสียชีวิตลงก็นำไปตั้งศพบำเพ็ญบุญที่วัด เป็นอันว่า ชีวิตชาวพุทธมีความสัมพันธ์กับวัดอย่างใกล้ชิดในทุกช่วงชีวิต

ต่อมาหลวงพ่อปัญญานันทะพิจารณาเห็นว่า แม้แต่งานแต่งงานก็น่าจะจัดในวัดได้ เพราะไม่มีข้อเสียหายอะไร พระสงฆ์ที่เคร่งครัดวินัยมากๆก็อาจจะตำหนิว่า การที่พระสงฆ์ชักสื่อให้หนุ่มสาวเป็นสามีภรรยากันนั้นต้องอาบัติหนักทีเดียว แต่เมื่อพิจารณาในทางปฏิบัติจริงๆเรื่องของงานแต่งงาน พระสงฆ์มิได้มีส่วนในการชักสื่อให้หนุ่มสาวเป็นสามีภรรยากัน เพราะกอ่นที่จะมานัดแต่งงานที่วัด หนุ่มสาวได้ดูจิตดูใจและตกลงปลงใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บทบาทในงานแต่งงานของพระสงฆ์แท้จริงแล้วก็คือ การสอนธรรมะนั้นเอง มิได้มีส่วนในการชักสื่อแต่ประการใด เพียงแต่ให้ศีล ให้พร ให้ธรรมะ ตามประสาพุทธบริษัทที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อพระสงฆ์เท่านั้นเอง

พิธีแต่งงานที่จัดที่วัดชลประทานรังษฤฏิ์นั้นก็ทำง่ายๆ เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะบอกแขกหรือไม่บอกแขกมาร่วมงานสักเท่าไร เป็นเรื่องของเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะตัดสินใจ เมื่อถึงวันนัด เจ้าบ่าวเจ้าสาวพร้อมแขกที่บอกมาร่วมงานก็จะพร้อมกันที่ศาลาบำเพ็ญบุญ เจ้าภาพจะนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ หรือชยันโต ร่วมกันกี่รูปก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าภาพ งานะเจริญพระพุทะมนต์มักจะมีพระสงฆ์ 3, 5, 7, หรือ 9 รูปตามประเพณี

เมื่อพระสงฆ์นำบูชาพระรัตนตรัย นำสมาทานศีล แล้ว พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อปัญญานันทะก็จะสอนธรรมะแก่คู่บ่าวสาวด้วยหลักการครองเรือนที่เรียกว่า ฆราวาสธรรมได้แก่ ต้องมีความจริงใจต่อกัน ขยันทำงานอย่างจริงจัง ที่เรียกว่า สัจจะ ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน บางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องยากก็ต้องศึกษาเรียนรู้จนเข้าใจกัน ฝึกฝนจนร่วมชีวิตกันได้อย่างมีความสุข ที่เรียกว่า ทมะ

การครองเรือนแม้จะมีความรักเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจ แต่เมื่อเผลอสติ ความรักอาจจะเปลี่ยนเป็นความชังได้ ต้องระมัดระวังไม่ให้มีความกระทบกระทั่งกันง่ายๆเพราะหากกระทบกระทั่งกันเมื่อไร ความแตกร้าวย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย จึงต้องอดทนต่อการกระทบกระทั่งด้วยกันทั้งสองฝ่ายที่เรียกว่า ขันติ

หากวันใดหลีกเลี่ยงไม่พ้นต้องกระทบกระทั่งหรือกระแทกกันจนได้ จนได้รับความกระเทือนทางด้านจิตใจก็ต้องรีบให้อภัย ไม่เก็บแค้นหรือพยาบาทเอาไว้ปล่อยให้สูญสลายหายไปกับกาลเวลา เรียกว่า จาคะ แปลว่าเสียสละสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความจริงใจ

เมื่อหลวงพ่อปัญญานันทะแสดงธรรมเสร็จแล้ว ท่านจะมอบเทปที่พระสงฆ์อัดไว้แก่คู่บ่าวสาวพร้อมกับกำชับว่า ให้นำเทปนี้ไปฟังทุกครั้งก่อนที่จะกัดกัน ซึ่งหมายถึงการทะเลาะเบาะแว้งหรือทุบตีกันให้ฟังเสียงพระสอนเสียก่อนถ้า ฟังแล้วยังคงตั้งใจจะทะเลาะกันอีกให้ลุกขึ้นเดินหนีจากกันไป หลวงพ่อปัญญานันทะท่านกำชับให้คู่บ่าวสาวใช้ธรรมนำชีวิต

หลายปีผ่านไป ทุกวันอาทิตย์อันเป็นวันที่หลวงพ่อปัญญานันทะมีเวลาว่าง และท่านมักจะต้องอยู่กับวัดตลอดวันอาทิตย์เพราะเป็นวันที่ประชาชนมาทำบุญฟังธรรมกันมาก จะมีคู่บ่าวสาวหลายๆคู่มาแต่งงานกันเป็นประจำ เพื่อรับคติธรรมจากพระสงฆ์ ค่าใช้จ่ายก็น้อยเพียงอาหารเลี้ยงพระสงฆ์และเลี้ยงแขกเท่านั้น ที่สำคัญคือ ในวันอันเป็นมงคลยิ่งกับชีวิตของคู่บ่าวสาว ไม่มีการดื่มสุราฉลอง เพราะการดื่มสุราคือเส้นทางแห่งความหายนะ คู่บ่าวสาวต้องการความเจริญในชีวิตและครอบครัวจึงไม่มีการเปิดสุราเฉลอง มีแต่น้ำดื่มที่สะอาดใสเย็น

เมื่อพูดถึงน้ำ หลวงพ่อปัญญานันทะแสดงธรรมไว้ว่า น้ำ มาจากองค์ประกอบระหว่างออ๊กซิเจนและไฮโรเจนในปริมาณที่พอเหมาะก็ก่อตัวเป็นน้ำ การแต่งงานก็คือการที่สองชีวิตมาร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว จากสองใจรวมเป็นใจเดียว เงินสองถุงก็รวมเป็นถุงเดียว บ้านสองหลังก็ย้ายมาอยู่รวมกันในบ้านหลังเดียว ช่วยกันทำมาหากินแล้วชีวิตจะชุ่มเย็นเหมือนน้ำเพราะสามัคคีกัน

ปัจจุบันนี้คู่บ่าวสาวหลายคู่ที่ต้องการความเรียบง่ายได้สารธรรม ก็มักจะไปจัดงานมงคลสมรสที่เป็นมงคลจริงๆที่วัด นับเป็นวิวัฒนาการทางปัญญาที่สำคัญที่นำเอาศาสนธรรมมาเชื่อมกับวัฒนธรรมอย่างกลมกลืนดั่งสองชีวิตที่ตกลงร่วมทางชีวิตกันด้วยความสวยงามและความสงบนั่นเอง

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple