สาวกสังโฆ
เวลาที่พุทธบริษัทสวดมนต์เพื่อระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เมื่อสวดบทพระธรรมคุณแล้ว จึงสวดบทพระสังฆคุณว่า สุปฏิปันโน ภคภวโต สาวกสังโฆ ซึ่งแปลว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว เป็นการกล่าวถึงกลุ่มพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วมีศรัทธาออกบวชปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จนได้ความสงบตามลำดับแล้วนำมาสั่งสอนให้ผู้อื่นให้รู้ตาม
คำว่า สังโฆ แปลตรงตัวว่า หมู่ กลุ่ม ชุมชน ที่อยู่ร่วมกันโดยมีเป้าหมายเพื่อความไม่ทุกข์ สุข สงบเย็น
คำว่า สังโฆ หากพิจารณาในรูปองค์กร เพื่อทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หมายถึงจำนวนพระสงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป เช่น เวลาพุทธศาสนิกชนจะถวายสังฆทาน จะต้องมีพระสงฆ์จำนวนสี่รูปนั่งรับสังฆทาน
ถ้าจะถวายทานแก่พระสงฆ์เป็นการเจาะจงรูปใดรูหนึ่ง ไม่เรียกว่า สังฆทาน แต่เรียกว่า ปาฏิปุคคลิกทาน แปลว่า ทานที่ถวายเป็นการเฉพาะเจาะจง
หากจะถวายแก่พระสงฆ์ หนึ่ง สอง หรือ สาม รูป เรียกว่า คณทาน แปลว่า ถวายแก่คณะสงฆ์ แต่ไม่นับว่า เป็นสังฆทาน เพราะพระสงฆ์ หนึ่งถึงสามรูป ยังไม่เรียกว่า สงฆ์ แต่เรียกว่า คณะ
หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จไปสั่งสอนประชาชนตามที่ต่างๆ เมื่อประชาชนได้ฟังธรรมแล้วบางกลุ่มก็นำธรรมะมาปฏิบัติเพื่อความสุขสงบเย็นในครัวเรือน แต่อีกกลุ่มหนึ่งได้ฟังธรรมแล้วนำธรรมะมาปฏิบัติแล้วได้ผลทันทีมีความสุขอันเกิดจากอิสรภาพจากการครองเรือน หรือ การใช้ชีวิตเดี่ยว จึงสละทรัพย์สินต่างๆในครอบครัว ออกบวชติดตามฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อได้เห็นธรรมอันนำชีวิตให้พบความสงบแล้ว มีความกรุณาปรารถนาจะให้ผู้อื่นเห็นธรรมและพบความสงบดังที่ตนได้พบ จึงเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ พบปะพูดคุยแสดงธรรมที่ตนได้รู้ได้เห็นมาแก่ผู้คนมาหน้าหลายตา
เมื่อจำนวนอาสาสมัครติดตามพระพุทธเจ้าจำนวนเพิ่มมากขึ้น ก็เรียกคนกลุ่มนี้ว่า สงฆ์ กลุ่มคน หรือ ชุมชน ซึ่งมีเป้าหมายชีวิตชัดเจนว่า จะประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความพ้นทุกข์ อันเป็นประโยชน์ตน และช่วยอบรมสั่งสอนผู้อื่น อันเป็นประโยชน์ส่วนรวม
เป็นอันว่า ภารกิจหลักของพระสงฆ์ คือ ทำประโยชน์ตนและประโยชน์แก่ผู้อื่นให้ถึงพร้อม
ส่วนคำว่า สาวก หรือ สาวโก(อ่านว่า สา-วะ-โก) แปลตรงตัวว่า ผู้ฟัง ซึ่งมีความหมายเต็มว่า ผู้ที่เชื่อฟัง ศรัทธา ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วนำมาปฏิบัติตามอย่างจริงจัง ตั้งใจและได้ผลจากการปฏิบัตินั้นอย่างประจักษ์และตั้งอยู่ในธรรมนั้นอย่างไม่เสื่อมคลาย
พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆคือ พระอริยสงฆ์และพระสมมติสงฆ์
พระอริยสงฆ์ ได้แก่พระสงฆ์ที่เป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ ซึ่งท่านเหล่านี้จะทราบถึงขั้นการบรรลุธรรมด้วยตัวของท่านเองโดยไม่มีใครสามารถบอกกล่าวชี้ชัดได้นอกจากท่านที่มีมรรคผลเท่าเทียมกันคือ พระพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าด้วยกัน
พระสมมติสงฆ์ คือ พระสงฆ์ที่ยังไม่บรรลุมรรคผลใดๆเลย แต่เข้าบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ด้วยความศรัทธาในธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่งและกำลังปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล หรือเป็นอยู่อย่างระมัดระวังในอำนาจของธรรมะเพื่อจะได้รับอิสรภาพจากการครอบงำของอำนาจกิเลสต่อไป พระสงฆ์เหล่านี้ก็ทำหน้าที่หลัก ศึกษา ปฏิบัติและเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนตามรอยบาทของพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าทั้งหลาย
เมื่อพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้พบพระสงฆ์แล้ว ท่านแสดงธรรมหรือสอนธรรมะจงส่งเสริมท่านให้ทำหน้าที่ตามแบบแห่งพระสงฆ์ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณเถิด หากว่าท่านผู้ใดไปขอน้ำมนต์ ตะกรุด ผ้ายันต์ ดูโชคชะตาราศรี ขอวัตถุมงคลเพื่อโชคลาภ แล้วท่านไม่ทำให้ จงอย่าโกรธท่าน เพราะนั่นคือ หน้าที่ของพระสงฆ์ที่จะต้องทำหน้าที่รักษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจังโดยไม่เอนเอียงไปทางเดรัจฉานวิชาแต่ประการใด หากพุทธศาสนิกชนเข้าใจหน้าที่พระสงฆ์ถูกต้องฟังธรรมจากพระสงฆ์แล้วนำไปปฏิบัติจนเกิดผลเป็นความสงบเย็น เท่ากับได้ประโยชน์สองต่อคือ ได้ประโยชน์ตนจากธรรมะที่ได้ฟังและนำมาปฏิบัติจนเกิดผลและได้รับประโยชน์ส่วนรวม คือ ส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนด้วย
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple