วัดพุทธปัญญา

บทความ\อุชุปฏิปันโน พระสงฆ์ปฏิบัติตรง

อุชุปฏิปันโน พระสงฆ์ปฏิบัติตรง

เวลาพุทธศาสนิกชนสวดบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ต้องลงท้ายด้วยบทสังฆคุณว่า อุชุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ แปลว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติตรงแล้ว เป็นการกล่าวถึง คุณลักษณะของสงฆ์ คือ กลุ่มชนที่ปรารถนาความหลุดพ้นจากการผูกมัดแห่งกิเลสทั้งปวงว่า จะต้องปฏิบัติตรงอย่างจริงจัง

คำว่า การปฏิบัติตรง คือ ตรงต่อพระธรรมและพระวินัย เพราะทั้งพระธรรมและพระวินัย เป็นหลักสำคัญที่บอกว่า จะให้พระสงฆ์ดำรงชีวิตอย่างไร โดยเฉพาะ ผู้ที่ได้ชื่อว่าพระสงฆ์จะต้องปฏิบัติตรงต่อพระวินัยที่บ่งชี้ถึงข้อปฏิบัติที่ละเอียดลึกซึ้งขูดเกลามากเป็นพิเศษ เพื่อให้ดำรงชีวิตอย่างเบา มีเวลาศึกษาปฏิบัติและเผยแผ่พระพุทธธรรมอย่างเพียงพอ

กรอบของพระธรรมวินัยที่พระสงฆ์ปฏิบัตินั้นตั้งอยู่บนความเรียบง่าย ดังจะเห็นได้ว่า บทบัญญัติในพระวินัย ห้ามมิให้พระสงฆ์มีสมบัติส่วนตนมากมายแต่ประการใด มีเพียงปัจจัยเครื่องดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานจริงๆคือ มีผ้านุ่งหนึ่งผืนเรียกว่า ผ้าสะบง ผ้าห่มหนึ่งผืนเรียกว่า ผ้าจีวร ผ้าห่มกันหนาวอีกหนึ่งผืนเรียกว่า ผ้าสังฆาฏิ ปัจจุบันนี้ พระสงฆ์ใช้ผ้าสังฆาฏิพาดบ่าในเวลาทำพิธีกรรมเท่านั้น มิได้ใช้ห่มกันหนาวอย่างแต่ก่อน

ผ้านุ่งผ้าห่มของพระสงฆ์จะเปลี่ยนได้ปีละหนึ่งครั้งในฤดูกาลที่เรียกว่ากฐินเท่านั้น การนุ่งห่มผ้าของพระสงฆ์พระพุทธองค์ทรงวางหลักการเอาไว้ว่า เพียงเพื่อ กันหนาว กันร้อน กันเหลือบ กันยุง กันริ้น กันไรมารบกวน และที่สำคัญคือ ปกปิดอวัยวะที่ก่อให้เกิดความละอาย ตราบใดที่พระสงฆ์ใช้สอยจีวรตามพระพุทธประสงฆ์อย่างนี้ ถือว่า เป็น อุชุปฏิปันโน เป็นการปฏิบัติตรง เพราะตรงต่อจุดประสงค์ของพระธรรมวินัยและพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรื่องการบริโภคอาหารก็มีจุดประสงค์ชัดเจนว่า มิได้บริโภคอาหาร เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน เพื่อให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงาม มีพลังวังชาฮึกเหิม สนุกสนานรื่นเริง แต่บริโภคอาหารเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ คือ เจริญ ศีล สมาธิ และปัญญาให้มีความเจริญก้าวหน้า ตามพระธรรมวินัย

นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงอาหารที่จะบริโภคนั้นจะต้อง ไม่มีโทษ คือไม่มีอาการมึนเมา หลังจากบริโภคแล้ว ชีวิตดำเนินต่อไปได้อย่างผาสุกสะดวกคล่องตัว พระสงฆ์จึงไม่บริโภคสิ่งเสพติดเข้าสู่ร่างกาย เพราะจะทำให้ร่างกายมึนเมาอ่อนเพลียเคลื่อนไหวไม่สะดวก

เรื่องของที่อยู่อาศัย พระสงฆ์ในยุคพุทธกาลดั้งเดิมอาศัยอยู่ตามโคนไม้ กองฟางหรือถ้ำตามธรรมชาติ มิได้อาศัยอยู่ในตัวอาคารอย่างโอ่โถงหรูหราแต่ประการใด ต่อมามีเศรษบีคนหนึ่งขออนุญาตทำที่พักที่มีที่มุงบังเพื่อกันแดดกันฝนได้เพื่อป้องกันโรคภัยที่จะเกิดจากความร้อนจัด หนาวจัด หรือเปียกจัดได้ง่าย พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตที่พักดังกล่าวแต่กำชับว่าต้องเรียบง่าย

ตามพระไตรปิฎกเล่าว่า เศรษฐีที่ไปขออนุญาตพระพุทธเจ้าสร้างกุฏิที่พักของพระสงฆ์ครั้งแรกนั้น พอได้รับพระพุทธานุญาตแล้ว สร้างกุฏิถวายพระสงฆ์ 60 หลังได้ภายในวันเดียว แสดงว่า สร้างที่พักที่มุงบังด้วยใบไม้ที่สามารถระดมคนช่วยกันภายในวันเดียวเสร็จ

พระพุทธเจ้าทรงวางเป้าหมายการใช้สอยเสนาสนะเอาไว้ว่า พระสงฆ์เข้าไปอยู่กุฏิเพื่อกันร้อน กันหนาว กันเหลือบ กันยุง กันริ้น กันไร เพื่อหลีกเร้นบำเพ็ญภาวนาอย่างสงบ

การบริโภคยาก็ต้องใช้เพื่อป้องกันการป่วยไข้จริงๆ มิใช่ใช้ยาเพื่อบำรุงกำลังหรือบำรุงร่างกายให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นที่ต้องตาต้องใจของพุทธศาสนิกชนหรือผู้คนที่ได้พบเห็น ใช้ยาเท่าที่จำเป็น ในสมัยพุทธกาลพระสงฆ์กำหนด เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ผลสมอ มะขามป้อม พริก เป็นยารักษาโรค

เป็นอันว่า การปฏิบัติตรงคือ การปฏิบัติถูกต้องตรงตามพระธรรมและพระวินัย ดังที่ยกตัวอย่าง การใช้สอยปัจจัยสี่มานี้ ชี้ให้เห็นว่า ตราบใดที่พระสงฆ์ยังใช้สอยปัจจัยสี่ตามพระพุทธประสงค์นี้ พระสงฆ์จะยังคงได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติตรง นอกจากนี้พระวินัยในข้ออื่นๆที่เป็นสิกขาบท ทั้งสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อพระสงฆ์ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตรงไปตรงมา เพื่อเสริมการปฏิบัติธรรมให้เป็นไปเพื่อความสงบเย็นถูกตรงตามพระพุทธประสงค์ต่อไป

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple