วัดพุทธปัญญา

บทความ\รู้ธรรมได้เฉพาะตน

รู้ธรรมได้เฉพาะตน

บทสวดพระธรรมคุณบทสุดท้ายที่ว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แปลว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ชี้ให้เห็นว่า พระธรรมที่แท้ ไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศล เป็นสิ่งที่ผู้ติดตามศึกษาจากภายนอกแล้วโน้มเข้ามาภายในจะสามารถสัมผัสถึงผลจากการปฏิบัติธรรมนั้นได้ด้วยตนเอง สิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักคือ พระธรรม เป็นความจริงอันสูงสุดที่แต่ละคนสัมผัสได้ ไม่อาจจะแบ่งปันกันได้ ไม่สามารถจะรับผลแทนกันได้ เพราะเป็นความรู้สึกส่วนลึก

เวลาที่พุทธศาสนิกชนหรือใครๆตั้งใจเจริญภาวนาแล้วรู้สึกว่า ถูกความฟุ้งซ่านรบกวน ถูกความปรารถนาสิ่งต่างๆรบกวน ถูกความสับสนรบกวน ถูกความเกลียดชังคน วัตถุ หรือ สิ่งใดๆที่ตกค้างรบกวน ล้วนเป็นความรู้สึกที่ผู้นั้นเท่านั้นที่สัมผัสได้ ไม่สามารถจะแบ่งปันให้ใครคนอื่นสัมผัสแทนได้เลย

ในทางตรงกันข้าม บางวัน หรือ บางเวลา ที่พุทธศาสนิกชนลงมือ ปฏิบัติภาวนา แล้วรู้สึกว่า จิตแนบแน่นอยู่กับลมหายใจ ไม่วอกแวก ไม่หวั่นไหวไม่วุ่นวาย ไม่แล่นไปทางไหน อยู่กับความเคลื่อนไหว แห่งลมหายใจที่หยาบ และละเอียดตามจังหวะแห่งการหายใจ จะได้สัมผัสลมหายใจ หยาบ หรือ ละเอียด อึดอัด หรือ สงบ กายเบา ใจเบา เป็นสิ่งที่จะต้องรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครสามารถ แบ่งปันให้ใครรู้สึกได้ ล้วนรู้ได้ด้วยตนเอง

พุทธบริษัท เป็นจำนวนมากที่จับผลของความดี ออกมาเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข และผลของความชั่วออกมาเป็น เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์ บางคราวล้วนเข้าใจไขว่เขวในเรื่องผลของกรรมว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป เพราะไปเพ่งเล็งผลทางวัตถุที่จับต้องได้ แต่ยังไม่มีใครทราบแท้จริงว่า ผลทางจิตใจ อันเป็นส่วนสำคัญที่จะให้ความหมายของวัตถุภายนอกว่า เป็นอย่างไร

เช่น คนทั่วไปมักจะอ้างว่า ทำไมคนนั้นคนนี้ ขี้โกง ค้ายาเสพติด แล้วร่ำรวย สะดวกสบาย มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ไปไหนมาไหนสะดวก เขาต้องมีความสุขแน่ๆ

ในทางตรงกันข้าม เมื่อเห็นคนยากคนจนทำมาหากินชนิดหาเช้ากินค่ำ ก็มักจะชี้ว่านี่แหละมัวแต่ทำความดี ไม่รู้จักทำชั่ว ไม่รู้จัก ปล้นชิงวิ่งราว ถ้าทำก็ไม่ต้องลำบากอย่างนี้

นี่คือการมองเพียงมิติทางความสะดวกในด้านวัตถุอย่างเดียว แต่หากมองตามหลักของพระธรรมคุณ ก็จะพบความจริงว่า คนที่เขาประกอบกรรมชั่วแล้วได้ทรัพย์สินเงินทองนั้น เขาก็ประจักษ์ใจดีว่าเขาดำเนินชีวิตด้วยความสะดวกด้านวัตถุ แต่สะดุ้งผวาภายในใจแค่ไหน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ประกอบกรรมชั่วไปขนาดไหน แม้หน้าตาจะยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ ก็เป็นไปในทำนองที่ว่า หน้าชื่น อกตรมนั้นแหละ

ส่วนคนที่มีทรัพย์สินน้อย มีความสะดวกน้อย ทำมาหากินพออยู่พอกินไปวันหนึ่งๆ แต่เขารู้สึกตัวเขาเองว่า เขาพอใจในการทำงานหนักอย่างนี้ เมื่อทำงานผ่านไปแต่ละวันด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่จิตใจเป็นสุข ไม่ต้องสะดุ้งผวา กลับมาถึงบ้านก็นอนหลับได้สบาย

เคยมีมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ได้ทรัพย์สินส่วนใหญ่มากับการโกงกิน ฉ้อราษฎร์และบังหลวง จนกระทั่งวันหนึ่ง ทางราชการจับได้ว่า เขากระทำผิด ส่งฟ้องศาล แม้เขาจะพยายาม ติดสินบนศาลเท่าไร แต่ก็ไม่สามารถติดสินบนได้ จนในที่สุดศาลตัดสินว่า เขามีความผิด เขาไม่กล้ารับโทษ จึงหนีออกไประเหเร่ร่อนยังประเทศต่างๆ เขามีทรัพย์มากมายพอที่จะเดินทางไปซื้อโรงแรมหรูๆที่ไหนพักก็ยังได้ เพราะเขามีทรัพย์ทั้งที่เปิดเผยและปกปิด หลายแสนล้าน

ใครๆก็มองว่า เขาน่าจะมีความสุขกับทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่เขาโกงมานั้นจริงๆ จนอยู่มาวันหนึ่งมีสื่อไปสัมภาษณ์เขาว่า รู้สึกอย่างไรกับการได้ท่องเที่ยวไปในประเทศต่างๆอย่างอิสระ ไม่ต้องทำงาน อยากตีกอล์ฟก็ได้ตีกอลฟ์ อยากหาความสำราญแบบไหนก็ทำได้ตามปรารถนา

แทนที่เขาจะตอบว่า มีความสุขจริงๆ กลับตอบว่า แม้ผมจะมีเงินมากมายมหาศาลท่องเที่ยวไปในโลกได้อย่างสะดวกสบาย แต่ผมไม่มีความสุขเลย เหมือนกับผมได้อยู่ในบ้านของผม

เป็นอันว่า คนที่เคยข้องใจว่า ทำชั่วแล้วได้ดี น่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนว่า ทำชั่วไม่มีทางได้ดีแน่ แต่ทำชั่วอาจจะได้เงินและได้ชั่วพร้อมๆกันไป แต่จะทำชั่วแล้วได้ดีมีสุข เห็นท่าจะผิดไปเสียแล้ว ต้องทำดี จึงได้ดี และมีความสุข

จากบทสวดพระธรรมคุณบทสุดท้าย เราจะพบความจริงตามกฎธรรมชาติว่า ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น ไม่มีผลเป็นอย่างอื่น ใครอาบน้ำ คนนั้นก็ได้ความสดชื่น ใครรับประทานคนนั้นก็ได้ความอิ่ม จะอิ่มแค่ไหน เขารู้ได้ด้วยตัวเขาเอง

ใครปฏิบัติธรรมก็จะได้รับผลของการปฏิบัติธรรม หากปฏิบัติธรรมที่เป็นอกุศล ก็ได้รับผลเป็นความเดือดร้อนวุ่นวาย แต่หากได้ปฏิบัติกุศลธรรมย่อมได้รับผลเป็นความสงบเย็น หรืออยู่เย็นเป็นสุขตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข และความสุขนี้ก็รู้ได้ด้วยตนเอง เมื่อได้ปฏิบัติธรรมอย่างดีแล้ว

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple