วัดพุทธปัญญา

บทความ\กระตุ้นจิตสำนึกก่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ

กระตุ้นจิตสำนึกก่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อวันอังคารที่ 13 มกราคม 2552 ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีโดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและและเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกลางปีงบประมาณ 2552 วงเงินทั้งสิ้น 115,000 ล้านบาท โดยหลักการของมาตรการดังกล่าวมีว่า ฟื้นเศรษฐกิจได้เร็ว ตรงและได้ผลที่สุด คือการเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน อันเป็นหลักการที่นายกรัฐมนตรีใช้เผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังคืบคลานเข้าสู่ประเทศไทยในวันนี้

เม็ดเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้จะได้รับการกระจายออกไปอย่างกว้างขวางครอบคลุมทุกภาคส่วนเพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน การผลิต การพัฒนา การจ้างงาน การซื้อขาย การใช้จ่าย การลงทุนเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับวงจรทางเศรษฐกิจให้เกิดสภาพคล่องต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด

แม้เป็นที่ทราบกันดีว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจมหัพภาคเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล แต่กระบวนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ได้ผลดีมีประสิทธภาพเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว รัฐบาลเพียงส่วนเดียว ทำไม่ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะทำได้ก็ไม่สามรถจะดำเนินไปได้ทั้งกระบวนการ ต้องอาศัยประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเศรษฐกิจทั้งประเทศ ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจังและจริงจริงใจ

แม้การดำเนินการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จะมีเจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานคอยกำกับดูแลอยู่แล้ว แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่จะมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงต้องช่วยกันกำกับควบคุมดูแลและใช้สอยเม็ดเงินที่รัฐบาลหว่านลงไปอย่างมีประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์แห่งการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงๆ

หัวใจสำคัญของการนำงบประมาณลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ ต้องไม่มีการโกงกินคอรัปชั่นเบียดบังฉ้อฉลกันในระหว่างเส้นทางหมุนเวียนของเม็ดเงินอย่างเด็ดขาด หากมีการทุจริตขึ้น การสูบฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบต่างๆจะเดินๆหยุดๆแบบกระปริดกระปรอยและหยุดชงัดงันในที่สุด เม็ดเงินที่ฉีดเข้าไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของกลไกเศรษฐกิจจะหยุดชงัก หากเกิดสภาวะอย่างนี้หลายๆจุด การล้มสลายทางเศรษฐกิจทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเม็ดเงินส่วนใหญ่ตกหล่นไปอยู่ในกระเป๋าของไอ้ขี้โกงที่ซ่อนอยู่ในส่วนต่างๆตลอดเส้นทางการเดินทางของเงิน

มาตรการต่างๆและเงินที่ใส่ไปกับมาตรการนั้นๆแทนที่จะเป็นเครื่องมือในการเยียวยารักษาหล่อเลี้ยงให้เศรษฐกิจดำรงอยู่ได้ จะกลายเป็นเครื่องมือประหารเศรษฐกิจให้ย่อยยับไปในพริบตา ความตั้งใจที่จะกระจายรายได้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจ จะกลายเป็นการผลาญงบประมาณแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นจิตสำนึกร่วมในการกอบกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประชาชนทั้งประเทศขึ้น

จะต้องกอบกู้ฟื้นฟูจิตใจที่ดีงาม มีความสำนึกรู้สึกเป็นสาธรณะไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ในระยะสั้นๆแต่สร้างบาดแผลแก่ประเทศชาติในระยะยาว รัฐบาลจะต้องเสนอโครงการฟื้นฟูจิตใจแห่งสำนึกความเป็นไทยภายใต้คำขวัญที่นายกรัฐมนตรีกล่าวไว้ในวันแถลงนโยบายว่า คนไทยต้องไม่โกง ช่วยกันรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนหยุดโกงเพื่อชาติ หยุดโกงเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ หยุดโกงเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล หรือหยุดโกงทุกลมหายใจ

กลไกสำคัญที่จะทำให้การกระจายรายได้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ตรง และได้ผลที่สุดที่จะต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบเป็นพิเศษคือ

  • นักการเมือง ประกอบด้วยรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมือง บริวารนักการเมือง ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้ยุติการเก็บค่าคอมมิชชั่นหรือส่วยใดๆทั้งสิ้นดังที่เคยปฏิบัติมาไม่ว่า 10 เปอร์เซ็นต์หรือ 30 เปอร์เซ็นต์เพื่อเข้ากระเป๋าตัวเองหรือ เข้าพรรคก็ตาม ก็ให้หยุดเด็ดขาด หากนักการเมืองและบริวารหยุดโกงได้ถือว่า การยุติการคอรัปชั่นที่ต้นน้ำได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ว่า ถ้านักการเมืองไทยหยุดโกงเพียงสองปี ถนนประเทศไทยจะปูด้วยทองคำก็ยังทำได้ ขอให้นักการเมืองทั้งหลายลองพิสูจน์คำพูดนี้เสียที
  • ข้าราชการประจำ เวลากล่าวว่านักการเมืองขี้โกง นักการเมืองก็จะบ่ายเบี่ยงไปว่า ลำพังนักการเมืองกลุ่มเดียวไม่มีทางโกงได้ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการประจำ ตรงนี้ก็ชี้ว่า การพัฒนาประเทศที่ผ่านมาประเทศยังเดินหน้าไม่ถึงไหนทั้งๆที่ใส่งบประมาณลงไปหลายล้านๆก็เพราะข้าราชการมีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือบางคราวก็เตรียมการหรือช่วยเหลือด้านเทคนิคให้นักการเมืองโกงด้วยซ้ำไป ต่อจากนี้ไปขอให้ข้าราชการประจำทั้งหลายหยุดโกงเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติเพื่อเป็นการทำบุญให้แก่ตัวเองครั้งใหญ่ หากพิสูจน์ได้ว่า เมื่อข้าราชการหยุดโกงแล้ว นักการเมืองก็โกงไม่ได้ ขอให้ข้าราชการประจำทั้งหลายยืนหยัดในความซื่อสัตย์สุจริตเพราะ ท่านคือกลไกสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและเป็นเครื่องมือสำคัญในการขจัดคอรัปชั่นให้หมดไปจากผืนแผ่นดินไทย
  • สื่อมวลชน เป็นที่ทราบกันว่า สื่อมวลชนมีบทบาทอย่างสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยให้ใช้กลไกในการพัฒนาประเทศอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพราะสื่อมวลชนเป็นผู้นำข้อมูลข่าวสารอันเป็นความจริงมาสื่อให้ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้ทราบ หากสื่อมวลชนพร้อมใจกันติดตามตรวจสอบงบประมาณที่เป็นภาษีอากรที่อนุมัติโดยรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิดกัดติดทุกขั้นตอน โอกาสที่นักการเมืองหรือข้าราชการประจำจะหาโอกาสโกงกินงบประมาณแผ่นดินในส่วนใดส่วนหนึ่ง ย่อมกระทำได้ยาก การปล่อยเม็ดเงินจำนวน115,000 บาทไปกระตุ้นเศรษฐกิจคราวนี้ สื่อมวลชนต้องทำหน้าที่รักษาเงินของประชาชนให้เดินไปอย่างตรงทางตรงทิศและมีประสิทธิภาพ หากตกหล่นตรงไหนสื่อต้องขุดคุ้ยกันให้ถึงที่สุด ถึงเวลาแล้วที่สื่อมวลชนทุกแขนงจะได้ร่วมกันกู้ชาติ กู้แผ่นดิน กู้เศรษฐกิจ ฟื้นฟูขึ้นมาด้วยความตั้งใจจริงและความซื่อสัตย์สุจริตของสื่อทุกคน
  • การเมืองภาคประชาชน ขณะนี้เป็นที่ประจักษ์ว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการ เป็นพลังมวชนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองได้อย่างทรงพลังในทุกความเคลื่อนไหว ขอเชิญชวนให้กลุ่มพลังมวลชนทั้งสองกลุ่มนี้รวมใจวางเป้าหมายเป็นหนึ่งเดียว ช่วยกันพิทักษ์รักษาเม็ดเงิน115,000 บาท ที่กำลังออกไปหมุนเวียนนี้ให้ได้ใช้จ่ายอย่างถูกต้องถูกตรงกับเจตนารมณ์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจทุกประการอย่าปล่อยให้นักการเมือง ข้าราชการประจำ หรือเปรตตนใดงาบไปได้สักสตางค์แดงเดียว หากการเมืองภาคประชาชนทั้งสองกลุ่มนี้ทำงานครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความหวังที่จะเห็นระบอบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการสร้างประโยชน์สุขให้แก่มหาชนทั่วแผ่นดินย่อมจะเป็นจริงได้ไม่ยากนัก
  • ประชาชน หากพิจารณาถึงจำนวนเงินงบประมาณที่รัฐบาลกำลังจะหว่านลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้จำนวน115,000 บาทแล้ว มั่นใจได้ว่า เงินจำนวนนี้ส่วนใดส่วนหนึ่งมากบ้างน้อยบ้างจะมีโอกาสผ่านมือประชาชนหลายสิบล้านคนทั่วประเทศทั้งโดยตรงและโดยอ้อมเช่นเงินช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีรายได้ต่ำกว่า 14,000 บาท คนละ 2000 บาท เงินช่วยเหลือผู้ชราเดือนละ 500 บาท หรือเงินจ้างงานอื่นๆเช่น การพัฒนาแหล่งน้ำสร้างทางแก้ไขความเดือดร้อนในหมู่บ้าน ซึ่งประชาชนจะได้ร่วมกันพัฒนาหมู่บ้านและได้รับเงินค่าจ้างด้วย จะต้องร่วมกันสร้างจิตสำนึกว่า เงินจำนวนนี้ เป็นเงินที่รัฐบาลกระจายมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อได้รับเงินมาแล้ว ควรบริโภคด้วยปัญญา ซื้อหาสิ่งต่างๆด้วยสติ จะต้องถามตนเองอยู่เสมอว่า การจ่ายเงินที่จะจ่ายออกไปแต่ละครั้งจำเป็นไหม หากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า จำเป็นแก่การดำรงชีวิตก็ใช้จ่ายไปเพื่อเลี้ยงชีวิต เลี้ยงครอบครัว และหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจชาติทีเดียว แต่ถ้าพิจารณาแล้ว เห็นว่า ไม่สมควรจะใช้จ่าย ควรเก็บไว้ก่อน หรือ ควรจะนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ก็ควรจะทำ เพราะนั้นคือวิถีทางที่ถูกต้องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากมีการลงทุน มีการผลิต มีการซื้อ การขาย การขยายตัวทางเศรษฐกิจก็เกิดขึ้น ประชาชนทั้งประเทศของผู้ทรงพลังในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง

เมื่อประชาชนทุกคนของประเทศตระหนักดีมีจิตสำนึกร่วมกันว่า ขณะนี้พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังกระจายไปทั่วโลกและกำลังมาเยือนบ้านเรา จะต้องตั้งใจให้มั่น ร่วมกันผลิต ร่วมกันสร้างสรรค์ ร่วมกันพัฒนา แบ่งปัน ซื้อขาย รับจ่าย กระจายรายได้ให้แก่กันและกันอย่างเป็นธรรม มีเหลือเก็บออม เพิ่มพูนจนกระทั่งมั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยมัสมองสองแขนสองขาหนึ่งใจแห่งไทยทั้งผองที่ร่วมคิด ร่วมฝัน ร่วมฝ่าฟัน จนถึงจุดหมายปลายทาง

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple