เสียหน้ารักษาชีวิต
การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาอันเป็นกระบวนการขั้นสุดท้ายของการจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สำเร็จลงด้วยดี นับเป็นมิติใหม่ของการแก้ปัญหาทางการเมืองที่ผู้นำรัฐบาลยึดหลัก อหิงสา ด้วยการหลบเลี่ยงการเผชิญหน้า กับกลุ่มชนที่มีความคิดทางการเมืองแตกต่างกัน ที่กำลังมีอารมณ์รุ่มร้อนบ้าคลั่ง อันอาจจะเป็นเหตุแห่งการกระทบกระทั่งและนำไปสู่การนองเลือดได้ง่าย เป็นสันติวิธีที่ควรนำมาเป็นแนวทางแห่งการแก้ปัญหาความขัดแย้งอื่นๆในโอกาสต่อไป
กำหนดการเดิมที่รัฐบาลจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอยู่ระหว่างวันที่ 29-30 ธันวาคม 2551 โดยจะให้เวลาสมาชิกรัฐสภาทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และวุฒิสภา ซักถามนโยบายรัฐบาลกันอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยกันระดมความคิดของตัวแทนปวงชนหาทางออกให้กับปัญหาต่างๆที่กำลังรุมเร้าประเทศชาติและประชาชนอยู่ในขณะนี้
หากกิจการของรัฐสภาดำเนินไปตามตารางที่รัฐบาลวางไว้ กลไกทางการเมืองโดยใช้ระบอบรัฐสภาเป็นหัวใจในการแก้ปัญหาจะเริ่มขับเคลื่อน รัฐบาลรับฟังปัญหาต่างๆอย่างตรงไปตรงมาจากสมาชิกรัฐสภาและสามารถหามาตรการต่างๆแก้ปัญหากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ความหวังที่จะเห็นบ้านเมืองสงบเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวหรือนักลงทุนทั้งจากภายในและต่างประเทศจะเริ่มทอแสงให้ประชาชนไทยได้เห็นกันทั่วหน้า
แต่ความหวังที่จะนำการเมืองข้างถนนเข้าสู่สภาก็ต้องสลายไปอีกครั้ง เมื่อกลุ่มบุคคลที่เรียกตนเองว่าชาวเสื้อแดง ทั้งที่เป็นสมาชิกรัฐสภาและประชาชนธรรมดายังคงดื้อรั้นขัดขวางการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในทุกช่องทางเท่าที่จะทำได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 อันเป็นวันที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่เลือกคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ชาวเสื้อแดงก็อาละวาดทุบและขว้างปารถส.ส.ด้วยก้อนอิฐและราดน้ำกรดกันไปรอบหนึ่งแล้ว
คราวนี้ชาวเสื้อแดงมีเวลาเตรียมตัวระดมพล ปลุกระดมชาวเสื้อแดงที่มีอยู่ในทุกท้องที่ให้มารวมตัวกันที่หน้ารัฐสภา เพื่อปิดล้อมรัฐสภา ขัดขวาง มิให้รัฐบาลแถลงนโยบายได้ อย่างเต็มที่
แหล่งข่าวลึกวงในของชาวเสื้อแดงรายงานว่า แม้แกนนำสายความจริงวันนี้จะเข้มแข็งคึกคักพร้อมลุยเต็มที่ แต่แกนนำเสื้อแดงสายอุดรที่เคยได้รับความอุปถัมภ์ในการเคลื่อนไหวอย่างเข้มแข็งมาตลอด กลับอ่อนแรงลงเห็นได้ชัดด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ไม่มีเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพียงพอ เพราะแหล่งเงินที่เคยสนับสนุนหดหายไป แม้ทุกคนจะมาด้วยใจ แต่เบื้องต้น ต้องมีค่ารถ ค่าอาหาร ค่าน้ำดื่ม ให้สมาชิกอย่างทั่วถึง
กลุ่มเสื้อแดงสายนนทบุรีที่ทำท่าคึดคักในเบื้องต้นเข้มแข็งแรงฤทธิ์ไม่แพ้เสื้อแดงสายความจริงวันนี้ แต่พอใกล้เวลาออกภาคสนามกลับหาตัวผู้นำไม่พบ แหล่งข่าวเจาะลงไปอีกว่าเสื้อแดงกลุ่มนี้ แม้จะพอมีค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนไหวอยู่บ้างแต่ มีเป้าหมายการเคลื่อนไหวที่ต่างกัน โดยสายนี้ไม่อยากเคลื่อนไหวเพื่อคุณทักษิณคนเดียว แต่ต้องการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนระบบการปกครอง จึงเห็นว่าการเคลื่อนไหวแบบนี้เน้นตัวบุคคลจนเกินไป จึงล่องหนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
กลุ่มเสื้อแดงกรุงเทพฯยังเข้มแข็งขึ้นตรงต่อแกนนำกลุ่มความจริงวันนี้ จึงพร้อมรับคำสั่งของแกนนำที่ปักหลักบัญชาการอยู่ที่สนามหลวงตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2551 นั้นแล้ว
วันที่ 29 ธันวาคม 2551 ชาวเสื้อแดงได้เข้ายึดพื้นที่บริเวณรัฐสภาไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ โดยแกนนำประกาศว่า นายกรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนสามารถเข้าอาคารรัฐสภาได้ แต่ต้องจอดรถไว้ข้างนอกแล้วเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น กลุ่มเสื้อแดงจะตั้งแถวนั่งรอรับด้วยความสุภาพ เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินผ่านจะ กราบลงกับพื้นและกล่าวว่า ขออำนาจอธิปไตยของปวงชนคืนมา โดยเน้นว่า ไม่ได้กราบนายกรัฐมนตรี แต่กราบแผ่นดินเพื่อให้แผ่นฟ้ารับทราบและมอบอำนาจอธิปไตยให้ปวงชนด้วย
คำพูดที่ว่า กราบดินเพื่อส่งข่าวไปยังฟ้า ของแกนนำเสื้อแดงนั้นหมายความว่า อยากกราบทูลพระเจ้าแผนดินให้ทรางทราบและคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ปวงชน เพราะคนเสื้อแดงจะพร่ำพูดอยู่เสมอว่า อำนาจการปกครองประเทศที่แท้จริงยังอยู่ในมือพระเจ้าแผ่นดิน แต่กลุ่มคนเสื้อแดงอยากขออำนาจอธิปไตยสู่มือของปวงชน จึงส่งสารอย่างนี้
นอกจากนี้บนเวทีปราศรัยของชาวเสื้อแดงส่วนหนึ่งได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ทั้งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ปิดไว้ทางด้านซ้ายมือ และเขียนข้อความว่า อภิสิทธิ์ชนโจร เพื่อสื่อความหมายแบบสองแง่สองมุม จะสื่อว่า นายอภิสทธิ์ เป็นโจรปล้นส.ส.มาจากกลุ่มของพวกเสื้อแดงก็ได้ หรือหากอ่านข้อความนั้นแล้ว ใครๆก็ตีความหมายว่า เขียนขึ้นมา มุ่งหมิ่น ทั้งสองพระองค์ ก็เป็นไปได้ เพราะเวลาที่คนไทยเห็นภาพ ทั้งสองพระองค์แล้ว จะมีข้อความตามมาว่า ทรงพระเจริญ ด้วยความเคารพยกย่อง ไม่เคยเห็นข้อความที่เขียนเป็นอย่างอื่น ที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นอย่างนี้
ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่ยังคงให้ความเคารพต่อสภาบันพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งแนบแน่นมาเนิ่นนาน ต่างอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง มากไปกว่า การล้อมรัฐสภาเพื่อมิให้รัฐบาลแถลงนโยบายหรือไม่ หรือ มีนัยอะไรที่มากกว่าที่นึก ลึกมากกว่าที่คิด
ทั้งประธานรัฐสภาและรัฐบาล ไม่ได้หลงกลเดินเท้าเข้าสภาตามที่แกนนำชาวเสื้อแดงได้วางกับดักเอาไว้ ท่านประธานรัฐสภารู้ทันแผนลับลวงพรางของชาวเสื้อแดงเป็นอย่างดี จึงประกาศเลื่อนการประชุมรัฐสภาเพื่อให้รัฐบาลแถลงนโยบายจากกำหนดการเดิม เวลา 9.30 น. ไปเป็น 14.00 น.และ 17.00 น. จนกระทั่งเลื่อนประชุมในวันถัดไป เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายอันเกิดจากการขว้างปาหรือยิงหนังสะติ๊ก หรือันตรายอื่นใดที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีใครคาดคิด
วันที่ 30 ธันวาคม 2551 แม้ทั้งท่านประธานรัฐสภาและนายกรัฐมนตรีจะเตรียมการเข้าสภาแต่เช้าตรู่ แต่ช้ากว่า ชาวเสื้อแดง เพราะชาวเสื้อแดงได้มาปักหลักปิดประตูไว้ทุกด้านท่ามกลางข่าวหนาหูว่า ตำรวจปราบจลาจลจะเริ่มปฏิบัติการสลายการชุมนุมแน่ แต่ต้องทำเป็นขั้นตอนตามหลักสากล
แกนนำทุกคนคึกคักมาเป็นพิเศษ หากรัฐบาลปราบปรามหรือสลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรงเมื่อไร ชาวเสื้อแดงจะกำชัยชนะทันทีอย่างง่ายดาย เพราะชาวเสื้อแดงมิได้หวังแค่สะกัดมิให้รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังหวังว่า หากกดดันรัฐบาลได้มากจนผู้นำรัฐบาลบันดาลโทสะ อาจจะสั่งสลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรงจนมีการบาดเจ็บล้มตาย ผลสุดท้ายความไม่ชอบธรรมจะเป็นตราบาปติดตัวรัฐบาลตลอดไป
สถานีโทรทัศน์ต่างๆ คอยติดตามสถานการณ์หน้าตึกรัฐสภาอย่างใกล้ชิด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนับสนุนรัฐบาล ขึ้นนั่งในรถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมพร้อมเดินทางเมื่อได้รับรายงานว่า ประตูรัฐสภาเปิดให้เดินทางเข้าไปอย่างปลอดภัย
มีการปล่อยข่าวออกมาเป็นระยะๆว่า นายกรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนับสนุนรัฐบาลจะเข้าทางประตูนั้นบ้าง ประตูนี้บ้าง ทางประตูด้านพระที่นั่งอนันตสมาคมบ้าง เมื่อชาวเสื้อแดงได้ทราบว่า รัฐบาลจะเข้าทางประตูใดก็กรูเข้าไปอุดประตูนั้นไว้อย่างแน่นหนา ตามคำบัญชาการของแกนนำ อันมีคุณนัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ผู้มีบทบาทโดดเด่นเป็นพิเศษ ถึงกับชาวเสื้อแดงหลายคนหมายตาไว้ว่า หากรักษาอุดมการณ์คนรักทักษิณไว้ได้เหนียวแน่นอย่างนี้ โอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอยู่ไม่ไกลเกินฝัน
เวลาประมาณ 8.00 น. กว่าๆ ขบวนรถตู้จำนวนสิบกว่าคันก็เคลื่อนออกจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยที่นักข่าวไม่ทราบว่าจะไปสู่ทิศทางใดแน่ เวลาผ่านไประมาณสามสิบนาที ขบวนรถตู้ก็จอดบริเวณหอประชุมกองทัพบก แต่ชาวเสื้อแดงก็ยังคงปักใจว่า คณะรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนับสนุนรัฐบาลจะยังคงหาทางเข้าประชุมรัฐสภา ที่อาคารรัฐบาสภาอย่างแน่นอน แกนนำมีคำสั่งเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งก็อย่าได้ตระหนกตกใจ
แหล่งข่าวทางเว็บไซด์ที่เคยรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของชาวสื้อแดงแม้ที่ฝังตัวอยู่ในกองทัพบกก็ปักใจเชื่อว่า รัฐบาลอาจจะใช้กำลังทหารเข้าช่วยตำรวจสลายการชุมนุมอย่างสายฟ้าแลบ เร่งปล่อยข่าวออกมาให้สมาชิกได้รับทราบและเร่งระดมพลคนเสื้อแดงหนุนหน้าสภาอย่างเร่งด่วน
ไม่นานนักขบวนรถตู้ก็ออกจากหอประชุมกองทัพบกไปยังกระทรวงต่างประเทศ จนกระทั่งเวลา 10 โมงกว่า ทันทีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเดินทางเข้าสู่หอประชุมที่เตรียมไว้เป็นอย่างดี เมื่อองค์ประชุมครบโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งสองสภาสามร้อยกว่าคน ท่านประธานชัย ชิดชอบ ก็ขอมติต่อที่ประชุมเรื่องเปลี่ยนแปลงสถานที่ประชุมเนื่องจากสถานการณ์หน้าตึกรัฐสภาอยู่ในภาวะไม่ปกติ หากสมาชิกรัฐสภาเดินทางไปประชุมเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยจึงเสนอเปลี่ยนสถานที่ประชุมมาที่หอประชุมกระทรวงต่างประเทศแทน เมื่อสมาชิกทั้งหมดเห็นชอบ ประธานรัฐสภาจึงเปิดโอกาสให้ ท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา
เมื่อชาวเสื้อแดงทราบข่าวว่า รัฐบาลย้ายสถานที่ประชุมแถลงนโยบายไปกระทรวงต่างประเทศ ก็รู้ทันทีว่า เสียรู้รัฐบาลเสียแล้ว เพื่อเป็นการกลบเกลื่อน การเสียรู้ เสียท่าและเสียหน้าที่รัฐบาลพลิกเกมส์เอาชนะอย่างฉับพลัน โดยไม่ทันตั้งตัว จึงกลบเกลื่อนแก้เก้อด้วยการประกาศตามล่ารัฐบาลไปที่กระทรวงต่างประเทศโดยมี คุณจักระภพ เพ็ญแข เป็นผู้นำ
ส่วนคุณนัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำคนสำคัญ ถึงกับหยุดดันประตูรัฐสภาหันมาด่ารัฐบาลอย่างเสียๆหายๆด้วยข้อความเก่าๆที่พูดมาอย่างซ้ำซาก
ฝ่ายส.ส.เพื่อไทยและคุณจตุพร พรหมพรรณ ที่เคยหมายมั่นปั้นมือว่าจะอภิปรายถล่มคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ล้มกลางสภา ก็พากันประท้วงไม่เข้าร่วมประชุม ปล่อยให้รัฐบาลแถลงนโยบายผ่านไปอย่างง่ายดาย โดยไม่มีฝ่ายค้านคนใดซักถามอะไรเลย
เมื่อสถาการณ์สงบบวกลบคูณหารกันแล้ว ดูเหมือนว่าชาวเสื้อแดงจะกำชัยชนะแต่ หากมองด้วยเหตุผลอย่างถ่องแท้ ชาวเสื้อแดงพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ฝ่ายรัฐบาลที่ไม่สามารถเข้าไปแถลงนโยบายในรัฐสภาดูเหมือนว่าจะพ่ายแพ้ แต่หากมองให้ถ่องแท้กลับกำชัยชนะเหนือกว่า ฝ่ายแดง อย่างพลิกความคาดหมาย โดยไม่มีใครที่ใจรักความสงบจะปฏิเสธได้
อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลที่ยึดศักดิ์ศรีเป็นสรณะอาจจะรู้สึกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องเสียหน้า แต่หากมองจากมุมมองของคนที่ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรมากนัก แต่รักเพื่อนมนุษย์ รักความสงบสุข ต้องชื่นชมนายกรัฐมนตรีว่า ยอมเสียหน้า เพื่อรักษาชีวิตของเพื่อนมนุษย์ และนำความสงบสุขมาสู่ประเทศชาติอย่างรวดเร็ว เป็นการเสียหน้าที่คุ้มค่าจริงๆ
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple