อกาลิโก ไม่จำกัดเวลา
เมื่อพุทธศาสนิกชนสวดบทสรรเสริญ พระธรรมคุณ จะมีบทสวดบทหนึ่งว่า อกาลิโก พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น นอกจากจะเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ ประจักษ์ได้ด้วยตนเอง ยังเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล หรือ ทำความเข้าใจง่ายๆว่า คำว่า อกาลิโก เป็นลักษณะของพระธรรมอย่างหนึ่งคือ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เพื่อให้การอธิบายธรรมในที่นี้ได้ความหมายครอบคลุม จะขอแปลความหมายของธรรมะ ว่า สิ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับบทสวดอภิธรรมที่สวดว่า กุสลา ธัมมา แปลว่า สิ่งที่เป็นกุศล เป็นความดี เป็นความฉลาด ส่วนคำว่า อกุสลา ธัมมา แปลว่า สิ่งที่เป็นอกุศล หรือ ไม่ไม่ดี ไม่ฉลาด
คำว่า ธรรมะ ในที่นี้ จึงแปลว่า สิ่ง ไว้กลางๆ ยังไม่แปลว่าดี หรือชั่ว แต่พอใส่คำว่า ดีข้างหน้า ก็แปลได้ทันทีว่า สิ่งที่ดี พอใส่คำว่าไม่ไดีข้างหน้า ก็แปลทันทีว่า สิ่งที่ไม่ดี หรือยังมีคำว่า อัพยากตา ธัมมา แปลว่า สิ่งที่เป็นกลางๆ ยังไม่ดี หรือยังไม่ชั่ว ส่วนจะดีหรือจะชั่วขึ้นอยู่กับการกระทำว่า จะเอนเอียงไปทางไหน
เมื่อเข้าใจคำแปลแล้ว ลองมาพิจารณาถึง การปฏิบัติธรรมดังกล่าวนี้ในชีวิตประจำวันดูบ้าง โดยมาเริ่มสังเกตใจก่อน เพราะใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นผู้นำทาง หากใจคิดชั่ว การพูด หรือ การกระทำ ก็จะแสดงออกมาชั่วตามที่ใจสั่ง หากใจคิดดี ผลของการกระทำหรือ การพูด ก็ออกมาดี ดังที่ท่านกล่าวคำที่ว่า ใจเป็นนาย กาย เป็นบ่าว นั้นแหละ
ตื่นเช้าขึ้นมา หากใจหงุดหงิด การพูด หรือ การแสดงออกก็จะหยาบคาย ร้ายกาจไปตามจิตที่หงุดหงิด นี่ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง คือ ปฏิบัติอกุศลธรรม
หรือบางครั้งอกุศลเหล่านี้จะเกิดขึ้นตามมาเป็นขบวน หงุดหงิด ตอนเช้า ก้าวร้าวตอนเที่ยง เดี้ยงตอนบ่าย จะตายตอนทำงาน ฟุ้งซ่านตลอดเวลา การแสดงออก ทางกาย วาจาหรือใจเช่นนี้ ล้วนเป็นการปฏิบัติอกุศลธรรม คือประกอบสิ่งไม่ไดี
ในทางตรงกันข้าม หากตื่นเช้าขึ้นมาจิตใจบริสุทธิ์ มีความรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบาน ไม่โกรธไม่แค้นใคร ให้ใจหมองเศร้า ตามกระบวนที่ว่า บริสุทธิ์ตอนเช้า ขาวตอนเที่ยง เกลี้ยงตอนบ่าย สบายตอนทำงาน เบิกบานตลอดเวลา การกระทำ การพูด หรือ การคิดเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติกุศลธรรม คือ ประกอบสิ่งดี
หากเปรียบเทียบกันชัดๆก็จะได้ข้อเปรียบเทียบว่า ชายหรือหญิงคนหนึ่ง มีแก้วว่างเปล่าใบหนึ่ง ยังไม่ได้นำไปใช้งาน เขาหรือหล่อนคนนั้น นำไปใส่นมดื่ม ใครๆก็เรียกแก้วใบนั้นว่า แก้วใส่นม เขาหรือเธอดื่มนมจากแก้วนั้น ก็เป็นการปฏิบัติกุศลธรรม คือทำสิ่งดี เมื่อเขาหรือเธอดื่มนมเสร็จแล้วก็นำแก้วไปเก็บไว้ในตู้อย่างดี คืนความว่างเปล่ากลับไปให้แก้วเหมือนเดิม
เย็นลงเธอหรือ เขา นำแก้วใบว่างที่เก็บไว้อย่างดี มารินเหล้าลงไปจนเต็ม ค่อยๆบรรจงจิบแล้วตั้งไว้ ใครเดินมาเห็นเข้าก็ชี้ไปที่แก้วแล้วเรียกว่าแก้วเหล้า เธอหรือเขาใช้แก้วใบนี้ดื่มสุรา ก็เท่ากับกำลังทำสิ่งไม่ดี
ใจที่บริสุทธิ์ หรือแก้วที่ว่าง ล้วนเป็นสภาพกลางๆยังไม่ดีหรือชั่ว จึงเรียกว่า อัพยากตธรรม คือ สิ่งที่ยังไม่ได้ปรุงไปทางดีหรือทางชั่ว
หากใจบริสุทธิ์แล้วดำริไปทางเมตตา ความดำรินั้นเรียกว่า เป็น กุสลา ธัมมา หรือเป็นสิ่งที่ดี
หากเริ่มต้นใจยังคงบริสุทธิ์ แต่พอรับอารมณ์ที่มากระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ดำริไปทางโกรธ เกลียด เคียดแค้น พยาบาท ความดำรินั้น เป็นอกุสลา ธัมมา เป็นสิ่งไม่ไดี
พุทธศาสนิกชนทั้งหลายมักจะถามเสมอๆว่า กรรมดี หรือ กรรมชั่ว ที่มนุษย์ทำแล้ว จะให้ผลเมื่อไร
หากตอบตามพระธรรมคุณบทนี้ก็ต้องตอบว่า ธรรมะ ไม่ว่า กุศล หรือ อกุศล ที่ปฏิบัติแล้วย่อมให้ผลทันทีและให้ผลต่อๆไป ตามเหตุปัจจัยที่ยังมพลังอยู่
ขณะที่ทำดี พูดดี และคิดดี ผู้ทำรู้สึกว่า สบายใจ อิ่มใจ เบาใจ ทั้งก่อนทำ ขณะที่กำลังทำ และได้ทำเสร็จแล้ว ผลของการกระทำปรากฏแล้ว ส่วนผลอื่นๆตามเหตุปัจจัยที่ควรจะเป็นก็จะตามมา เช่น พนักงานกวาดขยะ เมื่อกวาดขยะเสร็จแล้วผลจากการกวาดขยะเกิดขึ้นทันที คือ พื้นที่ที่ถูกทำความสะอาดจะเกลี้ยงหรือความสะอาดทันตาเห็น คนกวาดเห็นความเกลี้ยงหรือความสะอาดแล้วพอใจ อิ่มใจ จากการกระทำนั้นแล้ว ต่อจากนั้น เขาอาจจะได้รับคำชมเชย หรือได้รับเงินเดือน ในกรณีที่มีคนจ้าง หรือเงินรางวัล ในกรณีที่ชนะการประกวด สิ่งเหล่านั้น เป็นผลพลอยได้ แต่ผลตรงที่ได้รับโดยไม่ต้องรอเวลาคือ ความสะอาดและความภูมิใจที่เกิดจากความสะอาดที่ตนเองทำขึ้นมา
ตัวอย่างของความไม่ดี ที่เห็นกันได้ชัดๆเช่น เธอหรือเขา นั่งรถคันงามไปบนถนนที่สะอาด ตอนนั้นเธอมีกระป๋องเครื่องดื่มอยู่ในมือ อยากจะทิ้ง แต่รู้สึกละอาย หรือกลัวเจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดจะปรับข้อหาทิ้งขยะลงในที่สาธารณะ ก่อนจะทิ้งจึงต้องเหลียวซ้ายแลขวา แล้วก็ทิ้งลงไป ด้วยความหวาดหวั่น วิตก
ผลของการทำความชั่วขอเธอหรือเขาคนนี้ คือ ถนนรกแกะกะด้วยกระป๋อง ไม่สะอาด ก่อนที่เขาหรือเธอจะกระทำ การทิ้งกระป๋องลงไป รู้สึกไม่ดี นั้นคือผลจากการทำสิ่งไม่ดี ที่ได้กระทำลงไปให้ผลทันที
ส่วนผลพลอยได้ที่ติดตามมา คือ หากถนนเส้นนั้นรกหรือสกปรกมากๆ เขาหรือเธอคนหนึ่ง เป็นผู้มีส่วนร่วมในการทำให้รก หากตำรวจทางหลวงหรือเจ้าหน้าที่เทศบาลจับได้ว่าเขาทิ้งขยะลงบนที่สาธรณะ จะต้องถูกจับหรือถูกปรับตามที่กฎหมายกำหนด
ทุกครั้งที่มีการพูดถึงการทำความสกปรกบนถนน เขาหรือเธอได้ยินแล้วรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งไป ความรู้สึกเหล่านี้เป็นผลพลอยได้ ซึ่งผลพลอยได้นี่อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่ผลโดยตรงคือความรกและความไม่สบายใจในขณะที่กำลังและทำสิ่งไม่ดีเสร็จแล้วนั้น
ใครที่เคยเข้าใจว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป นำเอาเรื่องนี้ไปพิจารณาให้ดีแล้ว จะประจักษ์แก่ใจแล้วอาจจะเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจริงๆ เพราะการที่ใครก็ตามได้ปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม เมื่อใดก็ตาม ย่อมให้ผลเมื่อนั้น ไม่จำกัดกาล เวลาและสถานที่ เพราะพระธรรมนี้เป็น อกาลิโก
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple