กรุงเทพฯวิกฤต
หลังจากพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ ผ่านพ้นไปไม่กี่วัน กองกำลังไม่ทราบฝ่าย ได้ปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรง ด้วยการถล่มระเบิดเข้าใส่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปักหลักชุมนุมอยู่ในทำเนียบมาเป็นเวลาหกเดือนกว่าแล้ว เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมทั้งหญิงชายล้มตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
เมื่อพันธมิตรนำความเข้าแจ้งเจ้าหน้ที่ผู้รับผิดชอบ เพื่อหาตัวคนร้ายที่ใช้อาวุธสงครามถล่มพันธมิตรฯ ใจกลางกรุงเทพฯมาลงโทษตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบก็ไม่ให้ความสนใจหรือแสดงความกระตือรือร้นที่จะหาตัวคนร้ายเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตไปทำนองที่ว่า พันธมิตรฯอาจจะถล่มกันเอง เพื่อเรียกร้องความสนใจ
เมื่อผู้ชุมนุมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย จึงได้ระดมพลครั้งใหญ่ เพื่อ เผด็จศึกรัฐบาลแบบม้วนเดียวจบ โดยแกนนำพันธมิตรฯเน้นว่า หากไม่สามารถล้มรัฐบาลทรราชได้ ก็ยกประเทศให้พวกเขาไป
แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงตัดสินใจนัดชุมนุมใหญ่พันธมิตรจากทั่วสารทิศในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2551 ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจากทั่วประเทศได้เดินทางเข้าสู่ทำเนียบสมทบกับชาวพันธมิตรฯที่ชุมนุมกันอยู่ก่อนแล้วอย่างมืดฟ้ามัวดินตั้งแต่คืนวันที่ 22 พฤศจิกายน 2551
เช้าตรู่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2551 พันธมิตรฯเข้ามาสมทบอย่างล้นหลามจนต้องปิดสะพานมัฆวานและลานพระบรมรูทรงม้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรองรับคลื่นมหาชนที่หลั่งไหลกันมาร่วมเผด็จศึกในครั้งนี้
ยุทธการม้วนเดียวจบในคราวนี้ ปิดลับพอสมควร แม้ประชาชนจะหลั่งไหลมาร่วมกันมากเพียงใด สื่อมวลชนหรือรัฐบาลเองก็ไม่ให้ความสนใจมากนัก เพราะกิจกรรมของพันธมิตรฯคงไม่ต่างจากกิจกรรมที่เคยทำมาแล้วหลายๆครั้ง ซึ่งไม่สามารถเขย่าขวัญให้คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์หวั่นไหวแต่อย่างใด
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 แกนนำพันธมิตรฯบอกเพียงว่า ภารกิจจะเริ่มเวลา 6.00 น. เป็นภารกิจเดินขบวนไปโอบล้อมรัฐสภา เพราะได้ข่าวว่า ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลจะร่วมกันเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จ่อเป็นวาระแรกเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แม้ทางกองทัพจะแนะนำว่า ทางที่ดีควรเลื่อนเวลาหรือสถานที่ประชุมสภาเพื่อลดการเผชิญหน้ากับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา หาได้สนใจไม่ กลับประกาศเดินหน้าประชุมสภาให้ได้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนที่เคยเป็นนักเลงหัวไม้มาก่อน ก็ประกาศว่า ต้องไปประชุมสภาให้ได้ ไม่กลัวว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะโอบล้อมเหมือนคราวก่อน บางคนแสดงความกล้าหาญด้วยการพกมีดเข้าไปนอนในอาคารรัฐสภาเพื่อประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ไม่กลัวพันธมิตรฯ
เวลา 9.30 น. เป็นเวลาที่ต้องเริ่มประชุมรัฐสภา แต่จำนวนส.ส.ยังเข้าประชุมกันไม่ครบองค์ประชุม ต่อมาเวลาประมาณสิบนาฬิกา ท่านประธานรัฐสภา เห็นท่าไม่ค่อยดี มองไปรอบๆสภาถูกโอบล้อมไว้ด้วยพันธมิตรฯเสื้อเหลืองเต็มไปหมด จึงประกาศเลื่อนการประชุมสภาออกไปจนกว่า สถานการณ์จะปกติ
พันธมิตรฯทุกคนคึกคักเป็นอย่างมาก เพียงแต่เคลื่อนทัพไม่ถึงชั่วโมงก็คว้าชัยชนะอย่างง่ายดาย ต่อมาพันธมิตรฯได้ทราบว่า รัฐบาลจะประชุมฉุกเฉินที่ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว ณ ท่าอากศยานดอนเมือง จึงตามล่ารัฐบาลไปที่ท่าอากาศยานดอนเมือง แต่พอไปถึงทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว รัฐมนตรีหนีกันจ้าละหวั่น ไล่ไม่ทันรัฐมนตรีสักคน แกนนำจึงมีคำสั่งให้ตรึงกำลังไว้
เป็นอันว่า วันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายรัฐบาลไปสองครั้ง บางส่วนยังคงชุมนุมต่อที่ท่าอากาศยานดอนเมือง บางส่วนก็กลับทำเนียบ
แกนนำพันธมิตรฯประกาศให้ทราบว่า วันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 จะมีภารกิจตั้งแต่ตีสี่ ขอให้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่ การถ่ายทอดสดจึงยุติลงเวลา 24.00 น.
เวลา 04.00 น. แกนนำคนสำคัญได้ปลุกผู้ชุมนุมให้ตื่นและนำกำลังไปตรึงดอนเมืองไว้เพื่อมิให้รัฐบาลประชุมคณรัฐมนตรีได้ ตั้งแต่เช้าถึงบ่าย ไม่มีรายงานว่า คณะรัฐมนตรีประชุมกันที่ไหน
ระหว่างที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเดินทางไปดอนเมือง ทั้งสองวัน ถูกหน่วยจรยุทธ์ของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการหรือ นปก ดักทำร้ายด้วยการปาก้อนหินใส่รถ ถือไม้ยืนท้ายทายและยิงปืนใส่รถ พันธมิตรฯที่กำลังเดินทางเป็นระยะๆ แต่พันธมิตรมิได้ทำร้ายโต้ตอบแต่อย่างใด
จนกระทั่งวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 เวลา 17.00 น. ขณะที่กองกำลังของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังเคลื่อนพลบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ผ่านถนนวิภาวดี ขณะนั้นกลุ่มเท็กซี่ นปก กำลังเพลิดเพลินกับการขว้างปาสิ่งของเข้าใส่รถพันธมิตรฯและกล่าวคำหยาบคายท้ายทายพันธมิตรฯอย่างเมามัน รถบรรทุกของพันธมิตรฯ คันหนึ่งวิ่งผ่านมา เห็นว่า นปก ดักทำร้ายพันธมิตรโดยไม่มีใครโต้ตอบ จึงกรูกันเข้าไปทุบตีและยิงปืนใส่ กลุ่มจรยุทธนปก จนได้รับบาดเจ็บทั้งหมดสิบเอ็ดคน ภายหลังเหตุการณ์สงบผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดถูกลำเลียงนำส่งโรงพยาบาลเปาโล ทุกคนพ้นขีดอันตราย
นับเป็นการปะทะครั้งแรกตั้งแต่เริ่มศึกม้วนเดียวจบ ภาพที่พันธมิตรฯไล่ตีและยิงปืนใส่กลุ่มนปก ได้ถูกเผยแพร่ทางโทรทัศน์ช่องต่างๆอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่รายงานข่าวว่า พันธมิตรฯมีอาวุธและใช้ความรุนแรงกับกลุ่ม นปก โดยมิได้รายงานความรุนแรงของนปกว่า ได้ขว้างปาและยิงปืนใส่รถพันธมิตรฯมาสองวันแล้ว
ไม่ว่า ความรุนแรงครั้งนี้จะเกิดขึ้นมาจากเหตุใด ผู้รักสงบควรประณามการใช้ความรุนแรงกันทั้งสองฝ่าย อย่าได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะไม่ว่าใคร ก่อความรุนแรงด้วยเหตุใด ล้วนเป็นผู้ก่อความไม่สงบด้วยกันทั้งนั้น เจ้าหน้าที่บ้านเมืองควรกวาดล้างกลุ่มอันธพาลพวกนี้เข้าคุกให้หมด โดยไม่ต้องกังวลว่า เป็นอันธพาลจากฝ่ายไหน เส้นใคร ใหญ่แค่ไหน เพราะสุดท้ายทุกคนก็เล็กว่าโลงทั้งนั้น
ต่อจากนั้นไม่นาน ชาวไทยทั้งหมดก็ต้องตะลึง เมื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพิ่มความเข้มข้นของการชุมนุมด้วยการบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเหตุให้กิจการทั้งปวงของสนามบินสุวรรณภูมิต้องยุติลงโดยสิ้นเชิงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
แม้ทางท่าอากาศยานจะพยายามเจรจากับพันธมิตรฯอย่างสุดความสามารถ แต่พันธมิตรฯยังคงยืนยันว่า รัฐบาลนายสมชายต้องลาออกสถานเดียว
การชุมนุมของพันธมิตรฯที่ถูกมองว่า ทำท่าม้วนเดียวจอด ก็น่าตื่นเต้นเร้าใจขึ้นมาทันที เพราะการปิดสนามบินสร้างความเสียหายในด้านเศรษฐกิจและธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องกัน หาประมาณมิได้ การเดินทางเข้าออกประเทศไทยเป็นอัมพาตทันที
การยึดสนามบินสุวรรณภูมินี้กระมังจะเป็นจุดเผด็จศึกสุดท้ายก่อนเข้าสู่หลักชัย
แต่ถนนแห่งชัยชนะมิได้โรยด้วยดอกกุหลาบเสียแล้ว เมื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ประกาศชัดถ้อยชัดคำว่า ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก กำลังจะประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อหาทางสลายการชุมนุมและนำพันธมิตรฯออกจากสนามบินสุวรรณภูมิโดยเร็วที่สุด
ผลการประชุม ครม นัดพิเศษในสถานที่ที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะกลัวพันธมิตรฯจะปิดล้อม ออกมาเป็นอย่างไร จะสลายการชุมนุมแบบละมุนละม่อมหรือรุนแรงรวดเร็วต้องติดตามกันต่อไป เพราะขณะที่ปิดต้นฉบับยังไม่มีการประชุม
อย่างไรก็ตาม หากทุกฝ่ายยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลักทางออกจากวิกฤตมิได้ตีบตัน ขอเพียงทุกฝ่ายต้องกล้าหาญเท่านั้น เพราะทางออกมีมากมายหลายทาง
หากท่านนายกรัฐมนตรีคิดว่า เพียงท่านกล้ากล่าวคำว่า ลาออก เพียงคำเดียว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิและยุติการชุมนุม ย่อมเป็นสิ่งที่ ท่านนายกรัฐมนตรีควรกระทำทันทีเพื่อเห็นแก่ความสงบของบ้านเมือง
หากพันธมิตรฯเห็นว่า ได้ชัยชนะมาหลายครั้งแล้ว การยึดสนามบินสุวรรณภูมิก็เป็นชัยชนะอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นความทุกข์ยากเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ที่รอการเดินทางจากทั่วโลก เห็นแก่ภาพลักษณ์ของประเทศ เห็นแก่ความเดือดร้อนของเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน เห็นแก่เศรษฐกิจของประเทศชาติและประชาชน แล้วถอนกำลังออกมา เพื่อแสดงให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯเห็นแก่ประเทศชาติและประชาชนจริงๆ
เมื่อเห็นว่า ไม่สามารถจะไปให้ถึงฝั่งฝันการเมืองใหม่ภายในวันนี้ได้ ก็จงภูมิใจว่า กิจกรรมต่างๆที่ได้ทำมาทั้งหมด เป็นการปลุกให้คนไทยตื่นขึ้นมาปกป้องชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ได้มาก ได้ฝังเมล็ดพืชแห่งการต่อสู้ลงในหัวใจของปวงชนนับเป็นล้านๆคน
หากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะประกาศยกเลิกการชุมนุม เพื่อกลับไปตั้งหลักให้การศึกษาเพื่อสร้างจิตวิญญาณแห่งยามเฝ้าแผ่นดินให้ขยายไปทั่วแผ่นดินอย่างกว้างขวาง ก็ไม่เสียเกียรติ์ภูมิไแต่อย่างใด นอกจากจะได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
คณะรัฐมนตรีของคุณสมชาย ถ้ามองเห็นว่า หากตนเองฝืนอยู่ไปบ้านเมืองก็จะเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ยื่นไปลาออกพร้อมๆกัน ปล่อยคุณสมชายให้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่คนเดียว ไม่ยอมลาออกให้รู้กันไป
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็มีบทบาทต่อการช่วยให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยได้อย่างฉบับพลัน เพราะคุณสมชายเคยพูดเสมอว่า ตนเองมาจากตัวแทนประชาชน ถ้าตัวแทนประชาชนให้ตนเองออกไป ตนเองก็ยินดีจะออก แต่ไม่ยอมรับการขับไล่ของคนนอกสภาอย่างนี้ หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังมีหัวใจที่จะแก้วิกฤตการณ์ของชาติ ก็เรียกประชุมสภา เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีด้วยเสียงข้างมาก แค่นี้นายกรัฐมนตรีก็ต้องออกไป ตามที่ท่านตั้งใจไว้ทุกประการ
หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความกล้าหาญพอ ลงมือกระทำก่อน เพื่อให้วิกฤตของประเทศครั้งนี้ผ่อนคลายและผ่านพ้นไป นำประเทศเข้าสู่ความสงบโดยเร็ว สมควรได้รับยกย่องว่า เป็นผู้กล้าแห่งชาติ แต่ถ้ามัวขี้ขลาดด้วยอำนาจความเห็นแก่ตัวว่า ตัวเองจะต้องเสีย ตำแหน่ง เสียเหลี่ยม เสียหน้า เสียเกียรติ์ภูมิไป ทุกฝ่ายจะเป็นได้แค่นักกวนเมืองที่ไร้ค่าควรแก่การสาบแช่งและถ่มถุยไปชั่วลูกชั่วหลานว่า เป็นพวกจัญไรบ้านจัญไรเมือง
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple