วัดพุทธปัญญา

บทความ\พระอรหันต์

พระอรหันต์

เวลาที่พุทธศาสนิกชน สวดสรรเสริญพระพุทธคุณ มักจะพบ คำว่า อะระหัง บ้าง อะระหะโต บ้าง อยู่ในช่วงต้นๆของบทสวด แม้รูปแบบของศัทพ์จะแตกต่างกันตามองค์ประกอบทางไวยากรณ์ภาษาบาลี แต่ความหมายก็แปลเหมือนกันคือ แปลว่า พระอรหันต์เหมือนกัน

เมื่อพุทธศาสนิกชนได้ยินคำว่าพระอรหันต์ ก็ยังไม่ทราบความหมายที่สมบูรณ์ว่า เป็นอย่างไร ถ้าพบพระอรหันต์เดินมาคนธรรมดาจะรู้จักหรือทักทายได้ไหม ท่านดำรงชีวิตเหมือนคนธรรมดาไหม

คำว่า อรหันต์ เมื่อแปลตามรูปศัพท์ ก็แปว่า ผู้ไกลจากกิเลส ผู้ทำลายวงเวียนแห่งความสุขทุกข์เสียได้ เป็นผู้ตรง มั่นคง ปกติ

มีเรื่องเล่าว่า คราวหนึ่ง เมื่อนางวิสาขา มหาอุบาสิกา เดินทางไปอยู่บ้านสามีใหม่ๆ บิดาของสามียังไม่เคยรู้จักพระอรหันต์ จึงถามนางวิสาขามหาอุบาสิกาว่า พระอรหันต์ของลูกเป็นอย่างไร

นางวิสาขาตอบบิดาแห่งสามีว่า ลักษณเด่นของพระอรหันต์ของลูก คือ เป็นผู้มีจิตใจมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่มากระทบ ปกติ ไม่ฟูเมื่อพบกันอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความฟู ไม่แฟบในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความแฟบ มีปกติสบเยือกเย็น

ลักษณะของพระอรหันต์เท่าที่จับความจากนางวิสาขานั้น เป็นลักษณะที่มุ่งแสดงถึงสภาวะทางใจที่ไม่มีกิเลสใดๆมากระทบกระทั่งหรือจูงใจให้ไหวไปตามอารมณ์ที่ชอบหรือที่ชังได้ มีพลังแห่ง สติ สมาธิ ปัญญา ที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่บกพร่อง ไม่มีช่องว่างให้กิเลสแทรกซึมเข้าไปรบกวนได้

เป็นผู้รับรู้เข้าใจสภาวะแวดล้อมต่างๆได้ดี เข้าใจอารมณ์ทุกอย่างที่กระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ แต่ไม่ไหวตามไม่ว่า ทางใด เป็นผู้มีใจอิสระอย่างยิ่ง เหนือสิ่งใดๆจะกำหนดให้หวั่นไหวหรือไหลไปตามได้

ที่เรียกว่า เป็นผู้ไกลจากกิเลส ก็เพราะเชื้อกิเลส อันเป็นบ่อเกิดแห่งกิเลสทั้งปวง อันได้แก่ อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน ท่านขจัดได้ขาดแบบถอนรากถอนโคน ไม่มีเหลือ เวลที่อารมณ์มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จึงเป็นเพียงธาตุมากระทบกับธรรมตามธรรมดา กระทบแล้วผ่านไป ไม่หวั่นไหว ไม่ปรุงแต่งให้เป็นกิเลสได้ เปรียบเหมือน เมื่อนำผักต่างๆมากองรวมๆกันไว้หน้าครัว เมื่อแม่ครัวไม่รับเข้าไปในครัว ไม่ปรุงแต่งให้เป็นแกงเป็นอาหาร ผักต่างๆก็วางอยู่ตรงนั้น ไม่เป็นอาหารไม่เป็นแกงฉันใด

อารมณ์ที่ผ่านมากระทบที่อายตนะของพระอรหันต์ทั้งหลาย ก็จะผ่านพ้นไปตามกฎไตรลักษณ์ ไม่สามารถปรุงเป็นกิเลสได้ฉันนั้น ด้วยเหตุนี้จึงเรียกพระอรหันต์ว่า เป็นผู้ไกลจากกิเลส เพราะเหตุปัจจัยที่จะปรุงแต่งให้เป็นกิเลส ไม่มีเหลือ จึงอยู่ไกลจากกิเลสอย่างยิ่ง

หากพบพระอรหันต์เดินผ่านมาคนธรรมาดจะทราบได้ไหม คำถามนี้ขอเล่าเรื่องพระสารีบุตรพบพระอัสชิเป็นคำตอบ

เมื่อพระสารีบุตรยังเป็นผู้แสวงธรรมะเป็นเครื่องหลุดพ้นอยู่ในสำนักของปริพาชกชื่อว่า สัญชัย ได้ออกจากสำนักเดินเที่ยวไปในกรุงราชคฤห์ อยู่มาวันหนึ่งได้พบพระอัสชิ เป็นพระอรหันต์รุ่นแรกของพระพุทธเจ้า ได้เดินบิณฑบาตอยู่ในตลาดกรุงราชคฤห์

พระสารีบุตร เห็นการเคลื่อนไหวของพระอัสชิที่เป็นไปด้วยความมีสติสมบูรณ์ยิ่ง จึงได้ติดตามดูท่านไปเรื่อยๆ พอพระอัสชิได้รับอาหารบิณฑบาตพอสมควรที่จะฉันในวันนั้นแล้ว ก็ออกจากเมืองมุ่งสู่ทุ่งนา แล้วเลือกนั่งโคนต้นม้ต้นหนึ่งที่มีร่มเงาเยือกเย็นแล้วเริ่มฉันภัตตาหารที่ได้รับมา ด้วยอาการสงบเป็นที่ประทับใจของผู้แสวงหาธรรมที่ติดตามมายิ่งนัก

พระสารีบุตรขณะนั้นยังเป็นวัยรุ่นชื่อว่า อุปติสสะ ติดตามท่านไปและนั่งดูท่านฉันภัตตาหารด้วยอาการสำรวมเป็นที่น่าเลื่อมใสยิ่งนัก เมื่อท่านฉันเสร็จแล้วจึงกราบคารวะท่านแล้วถามว่า ท่านบวชในสำนักไหน วรรณะท่านผ่องใสยิ่งนัก

พระอัสชิตอบว่า อาตมาบวชในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หนุ่มอุปติสสะก็ถามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร

พระอัสชิตอบว่า อาตมาบวชยังไม่นาน ไม่สามารถอธิบายธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ลึกซึ้งมากนัก

หนุ่มอุปติสสะอาราธนาด้วยความเคารพและปรารถนาจะฟังธรรมอย่างยิ่งว่า ขอจงได้บอกเถอะครับ จะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร สุดแล้วแต่ท่านจะกรุณาเถอะ

พระอัสชิจึงกล่าวว่า ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ ธรรมเหล่านั้นก็ดับไปเพราะเหตุ พระตถาคต มักจะตรัสสอนอย่างนี้

ด้วยความหลักแหลมแห่งปัญญา และใจที่เปิดกว้าง วางหูลงสดับด้วยความเคารพ มานพนามอุปติสสะก็แจ้งประจักษ์ธรรมข้อนั้นอย่างลึกซึ้งเจาะลึกเข้าสู่หัวใจของพระพุทธศาสนาทันที เพราะความย่อข้อนี้แท้จริงแล้วคืออริยสัจจ์ สี่ประการนั้นเอง แต่ย่อสั้นลงเหลือเหตุและผล อันหมายถึง เวลาที่ทุกข์เกิด ก็เกิดมาเพราะมีเหตุ เวลาทุกข์ดับก็ดับไปเพราะเหตุ หรืออีกนัยหนึ่งว่า ทุกข์จะเกิดหรือไม่เกิด ก็เพราะมีเหตุ

สรุปว่า ความเกิดทุกข์หรือไม่เกิดทุกข์ก็มีเหตุ มิได้เกิดมาลอยๆหรือเพราะสิ่งใดดลใจหรือดลบันดาลแต่เกิดแต่เหตุปัจจัยที่มาประกอบกันเข้าเป็นคราวๆไป

ต่อมาหนุ่มอุปติสสะก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน แล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เวฬุวัน พระพุทธเจ้าตั้งชื่อตามมารดาว่า สารีบุตร หรือบุตรของนางสารี เมื่อบวชได้ไม่นานขณะที่ถวายงานพัดต่อหน้าพระพักตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่า ทีฆนขะ แปลว่า พรามหณ์เล็บยาว จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในขณะนั้นทีเดียว

เรื่องนี้พอชี้ให้เห็นว่า คนธรรมดา ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่สามารถประเมินจากอากัปกิริยาที่เป็นไปอย่างสงบ แต่ผู้ที่รู้ว่า ใคร เป็นพระอรหันต์ได้ ก็คือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ด้วยกัน และผู้ที่บรรลุพระอรหันต์เองเท่านั้น

ธรรมดาจิตใจที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์จะรับสิ่งต่างๆเข้าสู่จิตใจวันหนึ่งๆนับไม่ถ้วน การมีโอกาสได้รับรู้ถึงคุณความดีของพระอรหันต์ หรือผู้ที่ไกลจากกิเลส เหมือนได้พบกับน้ำบริสุทธิ์ที่พลอยชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ไปด้วย การสรรสเริญพระคุณของพระพุทธเจ้าหรือระลึกถึงพระคุณของพระอรหันต์หรือคนที่ทำดีเพื่อความดีแท้ๆจะช่วยให้จิตใจบริสุทธิ์สงบผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

การสวดมนต์จึงเป็นวิธีปฏิบัติภาวนาประการหนึ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติได้รับความสงบผ่อนคลาย สงบเย็นเป็นสุขทุกครั้งที่ตั้งใจสวดมนต์ หากยามใดจิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว ทุรนทุราย อย่าหาทางผ่อนคลายด้วยการดื่มสุราหรือเสพยาหรือเล่นการพนันเป็นอันขาดจงนั่งลงสวดมนต์จนจิตสงบ แล้วจะพบว่า เมื่อกิเลสค่อยๆจางคลายไป จะพบความสงบอยู่ตรงนั้นั่นเอง ความสงบพบได้ทุกเวลาถ้ากิเลสไม่บดบัง

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple