พระพุทธงค์ ผู้ทรงแจกดวงตา
พุทธศาสนิกชน ผู้สวดพุทธคุณคงจำกันได้ดีว่า เวลาสวดพุทธคุณจบ จะลงท้ายด้วยคำว่า พุทโธ ภควา พระคุณสองบทสุดท้ายนี้ เป็นพระคุณที่ปรากฏชัดเป็นที่ประจักษ์ในพุทธกรณียกิจที่แสดงออกถึงความกรุณาในสรรพสัตว์อย่างหาที่สุดมิได้ เพราะพระองค์ทรงประกาศธรรมแก่ที่ผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์ให้พ้นจากความทุกข์ แก่สรรพสัตว์ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ไม่มีจำกัด
คำว่า พุทโธ หลวงพ่อพุทธทาสได้แปลจากภาษาบาลีออกมาอย่างไพเราะและเป็นที่ติดหูติดใจของชาวพุทธทั้งหลายผู้ชอบสวดมนต์แปลว่า เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ซึ่งปราชญ์ก่อนหน้าหลวงพ่อพุทธทาสจะแปลคำว่า พุทโธ เพียงแค่ เป็นพระพุทธเจ้า แต่หลวงพ่อพุทธทาสแปลได้ครบถ้วนทั้งรากศัพท์และความหมายที่สะท้อนถึงผลแห่งการตัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
คำแปลที่ว่า เป็นผู้รู้ หมายถึงเป็นผู้รู้แจ้งในอริยสัจสี่ คือ รู้ว่า ทุกข์เป็นอย่างไร เกิดมาจากไหน ดับได้ไหม และจะดับได้อย่างไร อย่างครบถ้วนเป็นกระบวนการ จนพระองค์เป็นผู้อยู่เหนือความทุกข์
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมที่ทำให้ความทุกข์ไม่เกิดอีก พระองค์เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระปัญญาที่ขจัดตัณหา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง พระปัญญานี่แหละเป็นแสงสว่างที่เกิดขึ้นมาขจัดอวิชชา คือความไม่รู้ และโมหะคือความหลง
อันธรรมดามนุษย์ทั้งหลายที่ตกอยู่ในอำนาจของความหลง มักจะกระทำ พูด หรือคิด ไปเหมือนคนที่อยู่ในอาการหลับไหล จมอยู่กับมายา ไม่หันหน้าเข้าหาความจริง ใช้ชีวิตแต่ละวันไปกับความฝัน เพื่อให้ได้สิ่งนั้น ให้ได้สิ่งนี้ ตามล่าความฝันไปจนวันตาย
แต่พระพุทธเจ้า ทรงดำรงพระชนชีพด้วยปัญญา มีพระสติ อันเป็นธรรมเครื่องตื่นจากความหลับไหลแห่งอวิชชาและโมหะ พระองค์ทรงอยู่กับความจริงสูงสุดที่เรียกว่าอริยสัจ มิได้อยู่กับความฝันที่มี อวิชชา โมหะ และตัณหานำทาง
เมื่อปัญญา คือ แสงสว่างนำทาง ความมืดก็หายไป พระชนมน์ชีพจึงมีแต่ความตื่น พุทธศาสนิกชนจึงถวายพระนามว่า เป็นผู้ตื่น
อันธรรมดา คนที่นอนหลับนานๆร่างกายผลิตพลังงานใหม่ได้อย่างเต็มที่ เมื่อตื่นนอน จะรู้สึกสดชื่นและเบิกบานกระปรี้กระเปร่า พระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตื่นจากราตรีที่ปกคลุมไปด้วยอวิชชาและโมหะ ย่อมทรงเบิกบานอย่างถึงที่สุด เป็นความเบิกบานที่ยิ่งกว่าดอกไม้บาน เพราะดอกไม้เมื่อบาน จะดำรงอยู่ได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง สั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับประเภทของดอกไม้หรือ ดินฟ้าอากาศเป็นองค์ประกอบ
แต่ความเบิกบาน อันเป็นผลแห่งการตรัสรู้ ย่อมเป็นความเบิกบาน ที่บานตลอดไปไม่มีวันร่วงโรย เพราะกิเลสอันเป็นเหตุให้จิตใจห่อเหี่ยวร่วงโรยได้ถูกขจัดออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่หวนกลับมาทำให้เศร้าหมองร่วงโรยได้อีก
คำว่า ภควา หลวงพ่อพุทธทาส แปลว่า เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรม สั่งสอนสัตว์
คำว่า เป็นผู้มีความจำเริญ มีความหมายเหมือนกับคำว่า เจริญ ซึ่งหมายถึงผู้ที่สมบูรณ์ เต็มเปี่ยมด้วยธรรม ไม่มีความพร่องแห่งพระหฤทัยแล้ว พร้อมจะหยิบยื่นแบ่งปันธรรมะที่พระองค์ทรงถึง ทรงมี แก่เพื่อนมนุษย์ ผู้ยังหลับไหล ลุ่มหลงอยู่ในที่มืด ให้ได้ตื่นขึ้นมา รับความสดชื่นจากแสงแห่งพระธรรม เพื่อการดำรงชีวิตที่เบิกบานต่อไป
เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ทุกๆวันเวลาเช้าตรู่ พระองค์จะทรงตรวจสอบว่า วันนี้ ใครกำลังตกอยู่ในความทุกข์ เมื่อพระองค์ทรงทราบแล้ว แม้พระองค์จะต้องฟันฝ่าภยันตรายเพียงใด พระองค์ก็ต้องเสด็จไป เช่น ตอนที่พระองค์เสด็จไปโปรดองคุลิมาล ที่กำลังจะประหัตประหารมารดาผู้เปี่ยมด้วยกรุณา กำลังออกติดตามหาลูกด้วยความห่วงใย
คราวนั้น พระองค์ทรงช่วยชีวิตมารดาแห่งองคุลิมาลให้พ้นจากความตาย และช่วยองคุลิมาลให้พ้นจากความตายทางใจ ที่ทำให้ชีวิตตายทั้งเป็นอยู่ในม่านเหล็กแห่งความลุ่มหลง บ้าคลั่ง มาเดินบนเส้นทางสายใหม่ที่มีปัญญานำไปสู่ความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน ที่พระองค์ได้พุทธดำเนินมาก่อนแล้ว
พระพุทธองค์ ทรงเป็นต้นแบบแห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วทรงประกาศทางแห่งความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จนวันเข้าสู่ปรินิพพาน ด้วยการเปิดเผยถึงที่สุด ไม่มีสิ่งใดปกปิด
พระธรรมของพระองค์สว่างรุ่งเรืองดั่งดวงประทีป รอผู้เข้ามารับแสงประทีปไว้ส่องทาง พระธรรมของพระองค์เหมือนทางเดินที่ราบเรียบไร้ขวากหนาม ที่พระองค์ทรงแผ้วถางสร้างสรรค์ไว้ รอเพียงผู้เดินทาง พระธรรมของพระองค์ทรงจำแนกไว้ดีแล้ว รอเพียงเพื่อนมนุษย์เลือกสรรค์นำไปใช้อย่างเหมาะสม พระธรรมของพระองค์เหมือนน้ำใสเย็นบริสุทธิ์ จืดสนิท รอเพียงผู้ดื่ม หากใครได้ดื่มน้ำอมฤตธรรมนี้เข้าไป ชีวิตจะหมดความกระหาย สว่างไสว สงบเย็น เป็นนิรันดร์
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple