โลกวิทู พระผู้รู้แจ้งโลก
เวลาที่พุทธศาสนิกชน สาธยายพุทธคุณ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ได้กล่าวถึงบทที่ว่า โลกวิทู แปลว่า ผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง อันเป็นพระคุณของพระพุทธเจ้าที่แสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะของความรู้แจ้ง อันเนื่องมาจากการตรัสรู้
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องโลก พระองค์ทรงให้คำจำกัดความว่า โลกคือสภาวะที่จะแตกสลายได้
คำจำกัดความของพระพุทธเจ้านี้สอดคล้องกับความรู้เรื่องโลกและจักรวาลสมัยใหม่ที่บอกว่า ดาวต่างๆ เกิดและดับอยู่ตอลดเวลา หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างนี้มาเป็นล้านๆปี
แต่เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องราวต่างๆพระองค์มักจะตรัสย้อนกลับเข้ามาหาชีวิตเสมอๆ
ในความหมายทางธรรม พระองค์จึงตรัสถึงชีวิตว่าเป็นโลกใบหนึ่ง เพราะต้องมีความแตกดับสลายไปเป็นธรรมดา
โลกคือชีวิตนี้เป็นทั้งมรรควิถีและจุดหมายปลายทาง เมื่อพระองค์ตรัสว่า ความทุกข์ก็ตาม เหตุให้เกิดความทุกข์ก็ตาม ความดับไปแห่งทุกข์และทางดำเนินไปสู่ความดับแห่งทุกข์ก็ตาม มีอยู่ในโลกคือ กายยาววา หนาคืบ กว้างศอกที่มีสัญญา และวิญญาณนี้
พระพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์ คือ สภาวะที่ทนได้ยากเย็นนี้ มีอยู่กับชีวิต ไม่มีใครหลีกหนีได้ นอกจากอยู่กับมันไปโดยมันไม่ขบกัดเอามาก ให้ชีวิตดำรงต่อไปได้เท่านั้น ความทุกข์ใจที่แสนจะทรมานนั้น เกิดมาจากกิเลส แต่ความทุกข์กายเกิดมาจากไม่สมดุลแห่ง ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประกอบกันเข้าเป็นชีวิต ต้องดิ้นรนบ้างเคลื่อนไหวบ้าง เพื่อปรับชีวิตให้มีดุลยภาพ
เหตุแห่งทุกข์ใจ ทั้งหลายมาจากตัณหา ก็เกิดขึ้นที่นี้ เมื่อไม่ระมัดระวัง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เมื่อมันพ่นพิษมีภัยก็ทำให้ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทั้งปัจจุบันและอนาคต
ขณะเดียวกันพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงชี้ชีวิตนี้มีแต่ทุกข์แบบไม่ได้ลืมหูลืมตา แต่ความทุกข์ เกิดขึ้นเป็นบ้างครั้งบางคราว เมื่อมีตัณหา เมื่อไม่มีตัณหา ความทุกข์ก้ไม่มี
ตัณหาเกิดมาก ทุกข์มาก ตัณหาน้อย ก็ทุกข์น้อย ไม่มีตัณหาเลยก็ไม่ทุกข์เลย
พระองค์จึงตรัสว่า สภาวะที่ไม่ทุกข์นี้มีอยู่
ครั้งหนึ่งพระมหาเถระรูปหนึ่งชื่อว่า โมฆราช ทูลถามพระองค์ว่า มองโลกอย่างไร พญามัจจุราช จึงจะมองไม่เห็น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกร โมฆราช เธอจงมองโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เป็นประจำ เมื่อเธอมองโลกอย่างนี้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็น
พระดำรัสบทนี้ชัดเจนมากว่า เมื่อใดมองโลกโดยความเป็นของว่าง พญามัจจุราชจะมองไม่เห็น คือการมองชีวิตโดยความเป็นของว่าง จากความเป็นตัวตน แล้วมองชี้วิตโดย ไม่มองเห็นว่า เป็นสัตว์ บุคคลา ตัวตน เรา และเขา แต่มองเห็นว่า ชีวิตที่ปรากฏให้เห็นนี้ เป็นเพียงมายาภาพที่ปรุงขึ้นมาจากธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ และลมเท่านั้น
ธาตุทั้งสี่นี้ กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอย่างไม่หยุดนิ่ง เพราะมีกฎอนิจจัง คือความไม่เที่ยง เป็นพลังขับเคลื่อน ให้ธาตุสี่ที่มาประกอบกัน ดำเนินไปไม่หยุด หรือทุกสิ่งที่เกิดจากธาตุสี่ไหลไปไม่หยุด ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอย่างไร จึงสมมติเรียกว่า ชีวิตที่มีชื่ออย่างนั้น อย่างนี้ เพื่อความสะดวกแก่การสื่อสารเท่านั้น แต่ความจริงแล้วมีแต่ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ชั่วขณะแล้วก็ทะยอยกันจากไป
ความไหลเรี่อยแห่งธาตุทั้งสี่นี้คือ ความว่างของโลก หรือชีวิตนี้
แต่ละคนต่างครองโลกคนละใบ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็ต้องทิ้งโลกนี้ไปอย่างไม่ใยดี แล้วกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ความไหลเรื่อยก็ทำหน้าที่แยกสลาย ดินคืนสู่ดิน น้ำคืนสู่น้ำ ไฟคืนสู่ไฟ และลมคืนสู่ลม
มาจากธรรมชาติ คืนสู่ธรรมชาติ ทุกอย่างว่างหมด
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายก็มิได้มี ที่เห็นๆกันอยู่นี้เป็นเพียงปรากฏการณ์อย่างหนึ่งๆเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ พญามัจจุราชก็จะหาตัวไม่พบ เพราะพียงธาตุตามธรรมชาติที่มิใช่สัตว์บุคคลลตัวตนเราเขาใดๆ มีเพียงธาตุที่เปลี่ยนแปลงไปๆมาๆอยู่คู่โลกในรูปต่างๆอย่างนี้ จึงไม่มีอะไรน่ายึด น่าถือ น่าเอา น่ามี น่าเป็นสักอย่าง
พระพุทธเจ้าทรงรูแจ้งโลก ไม่ติดโลก ใช้โลกให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งหลาย อย่างไม่มีทุกข์
หากพุทธศาสนิกชน เข้าใจโลกตามความเป็นจริง บริหารจัดการโลกให้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาวะธรรมชาติ ให้เป็นไปตามกฎธรรมชาติอย่างสมดุล จะได้ชื่อว่า รู้โลก เข้าใจโลก และอยู่ในโลกอย่างไม่มีความทุกข์ ตามรอยบาทของพระบรมศาสดาอย่างแท้จริง
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple