วัดพุทธปัญญา

บทความ\ต้นแบบอหิงสา

ต้นแบบอหิงสา

คนที่เติบโตในครอบครัวของชาวพุทธ พ่อแม่ปู่ย่าตายายมักจะพร่ำสอนเมตตาธรรมผ่านการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก่อนจะเดินทางไปทำธุระที่ไหนพอเริ่มจะก้าวเท้าออกจากบ้านก็จะแผ่เมตตาสั้นๆว่า สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

ตื่นนอนตอนเช้าก่อนจะประกอบภารกิจใดๆก็จะสวดมนต์สั้นๆแล้วจบลงด้วยการแผ่เมตตา นับเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการปลูกความรักลงในจิตใจ เมื่อเสร็จภารกิจประจำวันล้มตัวลงนอนก็จะแผ่เมตตาอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงไป

จิตใจที่ได้รับการปลูกฝังอย่างนี้ ย่อมคุ้นเคยกับความรักตลอดเวลา

เมื่อภาพยนต์เรื่องคานธีออกมาฉาย มีโอกาสชมหลายครั้ง ภาพยนต์กล่าวถึงเรื่องการต่อสู้ของมหาตมคานธี เพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษที่เข้ายึดครองอินเดียเป็นเวลาสองร้อยกว่าปี

รูปแบบการต่อสู้ด้วยอหิงสาของคานธี คือ ไม่ยอมก้มหัวให้อังกฤกดขี่ แต่ไม่ยอมใช้อาวุธเข่น ฆ่าหรือทำร้ายทหารอังกฤษให้บาดเจ็บล้มตาย มาตรการที่นำมาใช้มีหลายอย่างเช่นไม่ยอมฟังคำสั่ง ไม่อยมรับกฎหมายที่ออกมาด้วยเจตนากดขี่เช่นสถานที่ราชการที่ชาวอังกฤษเข้าไปทำงานหรือภัตตาคารที่ชาวอังกฤษรับประทานอาหาร ห้ามชาวอินเดียเข้าไปใช้ร่วม

เมื่อไรกฎหมายลักษณะนี้ออกมา ชาวอินเดียจะยกขบวนเข้าไปนั่งหรือยึดพื้นที่โดยไม่ทุบตีหรือทำลายข้าวของแต่บอกให้รู้ว่า อังกฤษทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง หรือหากชาวอังกฤษกำหนดเขตควบคุมประชาชนที่เรียกว่านิคมเพื่อควบคุมชาวอินเดียได้ง่าย ชาวอินเดียที่ร่วมต่อสู้จะพากันทิ้งหมู่บ้านหรือนิคมนั้นออกไปอยู่เสียที่อื่น ที่ไม่มีการควบคุม

การหยุดงานก็เป็นอาวุธอหิงสาอีกอย่างหนึ่งที่กรรมกรโรงงานต่างๆที่อังกฤษลงทุนหรือควบคุมอยู่ เมื่อความไม่เป็นธรรมใดๆเกิดขึ้น กรรมกรทั้งหลายมักจะหยุดงานประท้วง จนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม

แม้แต่รอบๆทำเนียบของอุปราชอังกฤษที่มาปกครองอินเดียหรือบ้านพักข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่สร้างขึ้นมาอย่างสวยงาม เผลอเมื่อไรกองทัพอหิงสาของคานธีก็จะไปถ่ายอุจจาระรอบๆอยู่เป็นประจำ สร้างความรำคาญให้ชาวอังกฤษที่รักสวยรักงามและสะอาดอยู่แล้วยิ่งนัก

เมื่ออังกฤษทนไม่ไหวกับการกดดัน ด้วระบบอหิงสาของคานธี ก็ได้เจรจาคืนเอกราชให้ประเทศอินเดีย นับเป็นการต่อสู้ที่ได้รับการกล่าวขานกันทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้แบบอหิงสา ก็มิใช่จะไม่มีการเสียเลือดเนื้อหรือบาดเจ็บล้มตายแต่ประการใด ทุกครั้งที่ทหารอังกฤษเข้าสลายการชุมนุมย่อมจะมีการบาดเจ็บล้มตายเสมอ เพียงแต่จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายมีจำนวนน้อยกว่าการสู้รบแบบใช้อาวุธเข้าประหัตประหาร ซึ่งจะต้องเสียชีวิตสังเวยอานุภาพของอาวุธด้วยกันทั้งสองฝ่าย

การสู้รบแบบอหิงสา ฝ่ายที่ไม่มีอาวุธก็ต้องบาดเจ็บล้มตายแต่ฝ่ายเดียว แม้ฝ่ายที่มีอาวุธจะบาดเจ็บบ้าง หากผู้ต่อสู้ด้วยอหิงสาหมดความอดทน ก็บาดเจ็บไม่มากนัก เพราะพวกนักต่อสู้แบบอหิงสาเป็นพวก อาวุธวิรัติ(อ่านว่า อา-วุ-ธะ-วิ-รัด)คือไม่แตะต้องอาวุธสังหาร ยกเว้นแต่จะบันดาลโทสะถึงที่สุดอาจจะคว้าไม้หรือขวดน้ำขว้างปาผู้สลายการชุมนุม เป็นการป้องกันตัวตามสัญชาตญาณเท่านั้น

ในสายตาของผู้ที่คุ้นคเยอยู่กับเสียงแผ่เมตตาและมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความรักความเมตตามาตลอดชีวิต ไม่อยากเห็นใครได้รับบาดเจ็บล้มตายแม้แต่คนเดียว เพราะประจักษ์ว่า เมื่อสิ่งใดแทรกเข้าไปในเนื้อมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ หรือเมื่อเนื้อที่ติดอยู่ที่ร่างกายต้องฉีกขาดจากกันเพราะมีดบาดหรือเข็มแทงก็ยังเจ็บมากเหลือเกิน นับประสาอะไรกับคนที่ขาขาด แขนขาด จะเจ็บปวดขนาดไหน

เด็กหรือผู้ใหญ่ไม่น้อยทีเดียว กลัวแม้กระทั่งเข็มฉีดยา ทั้งๆที่รู้ว่า เมื่อฉีดยาเข้าไปแล้วตนเองจะหายป่วย แต่สิ่งที่กลัวมากคือเข็มที่จะแทงเข้าเนื้อนี่ซิ แม้จะเจ็บแปลบไม่มากนัก ก็คือความเจ็บ มนุษย์หรือสัตว์น้อยใหญ่ย่อมสะดุ้งกลัวต่อภัยที่จะมาถึงตัวทั้งนั้น เรารักชีวิตอย่างไร เขาก็รักชีวิตอย่างนั้น

มนุษย์ทั้งหลายที่ยังมีความโลภ มีตัณหา ปรารถนาอำนาจ ตำหน่งใหญ่โต จะปรารถนาอะไรก็ปรารถนาไปเถิด อย่านำชีวิตเพื่อนมนุษย์มาเป็นสะพานหรือฐานรองเหยียบก้าวขึ้นสู่อำนาจ หรือตำแหน่งที่ตนปรารถนานั้นเลย เมื่อไรมนุษย์จะหยุดการกระทำที่แสนจะเห็นแก่ตัวนี้เสียที

ไม่ต้องมีใคร สละชีพเพื่อใคร หรือเพื่ออะไรทั้งนั้น ชีพใครคนนั้นก็รัก เพียงแต่สละความมักใหญ่ใฝ่สูง สละความโลภ สละความเห็นแก่ตัว สละความเกลียดชัง หากโกรธใครขึ้นมาจงฆ่าความโกรธทิ้งเสียก่อน อย่าไปฆ่าคนที่ตนโกรธ เมื่อไม่นิยมการฆ่า แต่นิยมการรักษาชีวิต มนุษย์ก็ปลอดภัยจากการเข่นฆ่า

เมื่อไม่มีการฆ่า การบาดเจ็บล้มตายก็ไม่มี

ยุติการสร้างอาวุธ ยุติการใช้อาวุธ มนุษยโลกจะปลอดภัย นี้คือบันไดแห่งสันติภาพอันถาวร

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple