ความรุนแรง
นับตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 อันเป็นวันที่พันธมิ ตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ ประกาศสงครามครั้งสุดท้ายแล้ว คนที่ติดตามสถานการณ์ทางการเมื องอย่างใกล้ชิดย่อมหวาดหวั่ นใจไปตามๆกันว่า ถ้าเผชิญหน้าและท้าทายกันอยู่ อย่างนี้ ความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดน่ าจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ ยงได้
ทุกฝ่ายพยายามอย่างเต็มที ่ที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรง เพราะล้วนมีจุดประสงค์เดียวกั นว่า การชุมนุมต้องการเพียงเพื่อต่ อต้านมิให้พรรคพลังประชาชนแก้ ไขรัฐธรรมนูญอันจะเป็ นผลประโยชน์โดยตรงกับพ.ต.ท.ทั กษิณ ชินวัตรและพวกพ้องอดี ตคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรั กไทยที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิ นห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับกิ จกรรมทางการเมืองเป็นเวลาห้าปี
การชุมนุมดำเนิ นมาโดยปราศจากการใช้อาวุ ธและความรุนแรง จนกระทั่งปลายเดือนสิงหาคม 2551 นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้สั่ งให้มีการสลายการชุมนุมครั้งหนึ ่ง ทำให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมได้รั บบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย แล้วการชุมนุมก็เดินหน้าต่ อไปโดยไม่มีอะไรรุนแรง
อย่างไรก็ตาม การที่พันธมิตรประชาชนเพื่ อประชาธิปไตยได้ยึดทำเนียบรั ฐบาลเป็นสถานที่ชุมนุมมาตั้งแต่ วันที่ 26 สิงหาคม 2551 จนเป็นเหตุให้รัฐบาลไม่มีสถานที ่ทำงานเป็นของตนเอง ต้องระเหเร่ร่อนไปขอใช้สถานที่ จากหน่วยงานต่างๆทำงานไปก่อน สร้างความไม่สบายใจให้นายกรั ฐมนตรียิ่งนัก ขณะนี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ก็ต้องขอใช้ อาคารบางส่วนของสนามบินดอนเมื องเป็นสถานที่บั ญชาการราชการของสำนักนายกรั ฐมนตรีไปพลางก่อน จนกว่าจะได้เข้าทำเนียบรัฐบาล แต่ยังไม่มีใครรู้ว่า จะได้เข้าไปเมื่อไร
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เริ่มเข้ารับตำแหน่งนายกรั ฐมนตรี ประชาชนหวังว่า บุคลิกภาพสุภาพอ่อนโยนอย่ างนายสมชายนี้ เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำสมานฉันท์ มาสู่ประเทศชาติไม่มากก็น้อย ในกรณีพันธมิตรยึดทำเนียบ นายสมชายก็พยายามเจรจากั บแกนนำด้วยตนเองผ่านทางโทรศัพท์ บ้างแล้ว แม้แกนนำพันธมิตรยังไม่ ตอบตกลงในทันทีทันใด แต่ก็มีสัญญาณดีๆส่งมาให้นายกรั ฐมนตรีทราบว่า น่าจะเจรจากันได้
นายกรัฐมนตรีได้มอบให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เจรจากับแกนนำพันธมิ ตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยตรงไปที่พลตรีจำลอง ศรีเมือง ในฐานะคนคุ้นเคยเป็นพี่เป็นน้ องมาจากรั้วโรงเรียนนายร้ อยพระจุลจอมเกล้าด้วยกัน
คาดว่า หลังจากรั ฐบาลแถลงนโยบายประมาณวันที่ 9 ตุลาคม 2551 จะเป็นวันที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เริ่มเจรจายกแรกกับแกนนำพันธมิ ตรประชาชนเพื่อประชาธิ ปไตยและอาจจะกรุยทางไปสู่ ทางออกที่ดี ที่จะสร้างการเมืองใหม่ เพื่อเป็นเส้นทางแห่งการสร้ างชาติให้รุ่งเรืองก้าวหน้าต่ อไป
ลางร้ายที่ชี้ว่ าการเจรจาคงจะไม่ราบรื่นนักเริ่ มปรากฏเมื่อประมาณบ่ายๆของวันศุ กร์ที่ 3 ตุลาคม 2551 ตำรวจได้จับกุม นายไชวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในผู้มีหมายจับจากศาลในข้ อหากบฎ ชาวพันธมิตรเมื่อได้รับข่าวนี้ ต่างกังขาท่าทีของรัฐบาลว่า ทำไมตำรวจลงมือจับกุมเร็วเกินไป ควรจะรอให้การเจรจาผ่านไปก่อน พันธมิตรที่มีความรั กและเคารพในตัวนายไชวัฒน์ก็เดิ นทางเข้าเยี่ยมนายไชยวัฒน์ จำนวนมาก
วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2551 อันเป็นวันเลือกตั้งผู้ว่ าราชการกรุงเทพมหานคร พลตรีจำลอง ศรีเมืองจำเป็นต้องเดินทางไปเลื อกตั้งผู้ว่าราชการกรุ งเทพมหานครเพื่อรักษาสิทธิ์ ทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ เมื่อพลตรีจำลองเลือกตั้งเสร็จ ตำรวจก็เข้าจับกุมพลตรีจำลองทั นที
นี่คือจุดหักเหสำคัญที่ เปลี่ยนจากอหิงสา สู่ความรุนแรง เมื่อทางรัฐบาลรุกฆาตพันธมิ ตรอย่างนี้ ความหวังที่จะเจรจากับพันธมิ ตรอย่างสงบก็เลือนรางและริบหรี่ เต็มที
เช้าวันรุ่งขึ้น พลตรีจำลองและนายไชวัฒน์ สินสุวงศ์ ถูกนำตัวมาขออำนาจศาลฝากขังต่ อไปอีก 7 วัน ศาลอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ขั งพลตรีจำลองต่อไปอีก 7 วันตามคำขอเพื่อสอบสวนข้อมูลให้ ครบถ้วนมากขึ้น
พลตรีจำลองให้การต่ อศาลปฏิเสธข้อหากบฎที่ตำรวจตั้ งขึ้นมาทุกข้อหาและให้เหตุผลต่ อหน้าศาลได้อย่างหนักแน่น และปิดท้ายด้วยการเรียนศาลด้ วยความเมตตาและกล้าหาญอย่างยิ่ งว่า ขอให้ศาลตัดสินคดีของผมด้ วยความสบายใจตรงไปตรงมาจะขังคุ กผมหรือจะปล่อยไปก็ได้
ต่อมาศาลพิจารณาเห็นว่ าพนักงานสอบสวนต้องสอบสวนเพิ่ มเติมจึงให้เจ้าหน้าที่นำพลตรี จำลองไปฝากขังต่ออีก 7 วันตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ แม้พลตรีจำลองมีสิทธิ์ขอประกั นตัว แต่พลตรีจำลองเลือกที่จะถูกจำคุ ก
ประชาชนที่รักพลตรี จำลองศรีเมืองหลั่งไหลกั นมาจากทั่วประเทศอย่างมืดฟ้ามั วดิน พลตรีจำลองรับความปรารถนาดี จากมิตรสหายทั้งหลายแล้วบอกว่ าไม่ต้องห่วงอยู่ในเรือนจำมี เวลาพักผ่อนและคิดอะไรๆได้ดี ประชาชนที่มาเยี่ยมพลตรีจำลองจึ งพากันไปชุมนุมต่อที่ทำเนียบรั ฐบาล
วันที่ 6 ตุลาคม 2551 เวลาประมาณ 19.00 น. แกนนำพันธมิตรรุ่น 2 ประกอบด้วย นายสาวิต แก้วหวาน นายศิริชัย ไม้งาม และนายสำราญ รอดเพชร ได้นำความขึ้นเวทีพันธมิตรเพื่ อขออนุญาตประชาชนที่ชุมนุมว่า จะไปปิดทางเข้ารัฐสภาทุกด้านเพี ยงเพื่อเป็นสัญญลักษณ์ไม่ให้รั ฐบาลแถลงนโยบายตามที่กำหนดไว้ ในวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2551 เวลา 9.30 น.
เมื่อแกนนำรุ่นหนึ่งและพั นธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิ ปไตยที่ประชุมอยู่พร้อมหน้ามี มติเห็นชอบ จึงเคลื่อขบวนประชาชนประมาณหนึ่ งหมื่นคนไปชุมนุมหน้ารัฐสภา
เวลาประมาณ 20.00 น. แกนนำรุ่นที่สองก็สามารถตั้ งเวทีชั่วคราวและเริ่มปราศรั ยได้ทันที แกนนำพันธมิตรทั้งรุ่นหนึ่ งและรุ่นสองได้ปราศรัยเรียกร้ องเชิญชวนให้ประชาชนที่อยู่ ในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวั ดเดินทางเข้าสมทบเพื่อปิดประตู รัฐสภามิให้นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายได้
ฝ่ายนายกรัฐมนตรีเมื่อเห็ นว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิ ปไตยระดมพลครั้งใหญ่ เพื่อปิดประตูรัฐสภามิให้รั ฐบาลแถลงนโยบายได้ จึงเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีนัดฉุ กเฉินที่สำนักนายกรัฐมนตรีชั่ วคราวดอนเมือง แล้วให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมสภาต้องมีแน่ นอนตามกำหนดเดิมไม่มีการเลื่อน ตำรวจต้องหาทางให้ส.ส.และรั ฐบาลเข้าประชุมให้ได้
คำสัมภาษณ์นี้เป็ นลางบอกเหตุว่า ความรุนแรง เป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงเสี ยแล้ว
บนเวทีปราศรัยทั้งสองแห่ งต่างแจ้งข่าวว่า เวลาประมาณ 04.00 น. ตำรวจจะสลายการชุมนุมให้ ประชาชนอยู่ในความไม่ประมาท ทำตัวให้ตื่นอยู่เสมอ จนกระทั่งเวลาที่กำหนดได้ผ่ านไปไม่มีการสลายการชุมนุมแต่ อย่างใด ประชาชนส่วนใหญ่จึงพากันหลั บไปด้วยความอ่อนเพลีย
วันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2551 ขณะที่พิธีกรบนเวทีกำลังดำเนิ นรายการตามปกติ บางคนยังคงหลับไหล เวลา 6.10 น. ตำรวจจำนวนมากดาหน้ายิงแก๊สน้ ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมอย่างไม่ยั้ ง โดยไม่มีการบอกหรือแจ้งให้ ทราบล่วงหน้าตามแบบการสลายการชุ มนุมที่สากลทั่วไปพึงกระทำ แต่การสลายการชุมนุ มของตำรวจในเช้าวันนี้ไม่แตกต่ างจากการรบแบบกองโจรที่ซุ่ มโจมตียามข้าศึกเผลอ
การสลายการชุมนุมผ่ านไปไม่ถึงสามสิบนาทีมีคนบาดเจ็ บจำนวนมาก มิใช่เพียงแต่แสบตาเพราะอานุ ภาพแห่งแก๊สน้ำตาเท่านั้น แต่หลายคนได้รับบาดเจ็บจากระเบิ ดจนแขนขาขาด อาวุธที่ตำรวจนำมาใช้ ในการสลายการชุมนุมครั้งนี้ คงไม่มีเพียงแต่แก๊สน้ำตาเท่านั ้นแต่คงมีอาวุธสงครามไร้ร้ ายแรงซ่อนมาจำนวนมาก ดังผลแห่งการสลายการชุมนุมที่มี ผู้บาดเจ็บสาหัสแขนขาดขาขาดต้ องตัดแขนตัดขาถึงแปดคน
การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชั ้นผู้ใหญ่และสื่อต่างๆโยนความผิ ดไปว่า พันธมิตรนำอาวุธมาสังหารกั นเองล้วนฟังไม่ขึ้น ถ้าพันธมิตรมีอาวุธอยู่จริ งในสถานการณ์อย่างนั้น พวกเขาต้องใช้อาวุธที่มียิงหรื อขว้างใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจตามสั ญชาตญาณแห่งการป้องกันตัวแน่นอน
แม้ตำรวจจะได้รับบาดเจ็ บถึงยี่สิบนาย แต่ไม่ปรากฏว่า บาดเจ็บสาหัสจากอาวุ ธสงครามเลยแม้แต่คนเดียว นี่ก็ชี้ให้แห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซ่อนอาวุ ธสงครามปนมากับแก๊สน้ำตา หรือผู้บังคับบัญชาจะต้องจัดที มสลายการชุมนุมแบบมีการสอดใส้ การสังหารมาบ้างไม่มากก็น้อยเพื ่อทำให้พันธมิตรหวาดกลัว แล้วหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต จะได้หลาบจำไม่กล้ามาชุมนุมอี กที่ยังไม่มาก็จะได้ไม่กล้ามา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ผิ ดพลาดอย่างแรง แทนที่จะเป็นการหยุดยั้ งมวลชนให้อยู่กับบ้านด้ วยความหวาดกลัว กลับช่วยกันเรียกร้องให้มหาชนผู ้รักความยุติธรรมเดินทางเข้ ามาสมทบกับพันธมิตรมากขึ้น
รัฐบาลและตำรวจมองชีวิ ตของเพื่อนมนุษย์อย่างสัตว์ป่ าหรือผักปลาที่จะไล่ล่าเล่นหรื อจะฆ่าให้ตายหรือจะให้บาดเจ็บก็ ได้ เพื่อรับใช้และรักษาอำนาจของผู้ มีอำนาจ ที่ชอบอ้างกันนักกันหนาว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน แต่นักการเมืองกลับไม่ เกรงใจปวงชนที่มาประชุมกันอยู่ หน้าสภาเลย
ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ งได้อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชน แล้วสั่งการสังหารประชาชน ประชาชนจึงมีความชอบธรรมที่จะขั บไล่ผู้นำอย่างนี้ ออกไปจากอำนาจและเรี ยกอำนาจของประชาชนคืนกลับมา
ผู้เสียชีวิ ตจากการสลายการชุมนุมอย่างป่ าเถื่อนครั้งนี้เท่าที่ทราบก็มี นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ส่วนน้องสาวและคุณแม่ของเธอต่ างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส นับเป็นครอบครัวที่ผนึกกำลังกั นต่อสู้เพื่อความถูกต้องและช่ วยกันสร้างสรรค์การเมืองให้ดีขึ ้นแม้จะอุทิศชีวิตก็ยอม
เธอคือ วีรสตรี คนเดือนตุลาในทศวรรษนี้ที่พลีชี พพลีกายใจหลั่งเลือดล้างการเมื องไทยให้การเมื องไทยสดใสสะอาดกว่าวันเก่าๆที่ ผ่านมาอย่างแท้จริง
ประชาชนที่อยู่ข้างหลั งจะต้องยึดเอาการเสียสละครั้งนี ้ มาเป็นต้ นแบบในการสะสางความสกปรกในวงการ เมืองให้หมดไป
นักการเมืองควรมองการเสี ยสละของเธอผู้นี้ว่า เป็นนางฟ้าผู้เสียสละแม้กระทั่ งชีวิตเพื่ อชำระสะสางความสกปรกโสโครกของกา รเมืองไทย โดยไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทน แล้วคควรการตั้งใจปฏิบัติหน้าที ่ เพื่อพิทักษ์รักษาเพื่อนร่ วมชาติอย่างสุดความสามารถโดยไม่ ต้องเสียเลือดและน้ำตา เป็นการบูชาวิญญาณแห่งความรั กชาติของเธอที่จะสถิตอยู่ ในใจชนตลอดไป
หากวงการเมืองจะมีสัตตบุ รุษ ผู้ประกอบด้วยธรรม รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักบุคคล รู้จักสังคม การเมืองจะสะอาดสดใส บ้านเมืองร่มเย็น แต่สาเหตุที่การเมืองรุ่มร้ อนจนลุกเป็นไฟอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่ เป็นสัตว์บุรุษ คือ สัตว์ที่อาศัยอยู่ในร่างคน สภากลายเป็นที่รวมของเสือสิงห์ กระทิงแรด พฤติกรรมของนักการเมืองจึงมีแต่ ก่อกรรมทำเข็ยให้แก่ประเทศชาติ และประชาชนอย่างไม่รู้สึกตัว เพราะจิตใจถูกครอบงำด้ วยความหลงผิด อันเป็นดวงจิตแห่เดรัจฉาน
ทั้งประชาชนและนักการเมื อง พักสักนิด คิดซึ้งๆรอบด้าน จะประจักษ์ความจริงว่า เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด ทุกชีวิตก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉั นนั้น รู้อย่างนี้แล้ว ตัวเองก็ไม่ฆ่าผู้อื่น ทั้งไม่บังคับบัญชาให้ใครไปฆ่ าคนอื่น ความเบียดเบียนกันอยู่ที่ไหน ความทุกข์อยู่ที่นั้น ความไม่เบียดเบียนอยู่ที่ไหน ความสุขอยู่ที่นั้น
เมืองไทยจะกลับมามีความสุ ข หันหน้าเข้าหากัน เรียกรอยยิ้มที่หายไปกลับคื นมาสู่ใบหน้าของทุกคน ด้วยการไม่เบียดเบียนกันนี่เอง หัวใจสำคัญของอหิงสาที่จะนำพาสั งคมไปสู่ความสุขที่แท้ ทุกคนจะต้องร่วมกันไม่เบียดเบี ยนผู้อื่นทางกาย วาจา และใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆทั้งสิ้น มนุษย์มีความฉลาดพอที่จะยุติ ความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เพียงแต่ทุกฝ่ายต้องเชื่อมั่ นในสันติวิธีมากกว่าวิธีอื่นเสี ยก่อน
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple