วัดพุทธปัญญา

บทความ\อำนาจของปวงชน

อำนาจของปวงชน

ทฤษฎีการเมือง ทุกทฤษฎี ที่กล่าวถึงประชาธิปไตย ย่อมบ่งชี้ลงไปว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน รัฐบาล คือ องค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ปวงชนได้ใช้สิทธิ์เสรีภาพของตนที่มีอยู่ตามธรรมชาติอย่างมีความสุข

แม้ปวงชนจะมอบอำนาจอธิปไตยให้แก่รัฐบาลแล้ว แต่ปวงชนสามารถเรียกอำนาจนั้นคืนได้หากรัฐบาลบริหารรัฐกิจด้วยความฉ้อฉลกลโกงทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน อำนาจอธิปไตยที่ปวงชนให้ไว้ รัฐบาลจึงใช้ได้อย่างจำกัด

นอกจากนี้ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะต้องมีสัญญาประชาคมเป็นหลักประกันอำนาจของปวงชน ซึ่งจะออกมาในรูปของกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือประเพณีขึ้นอยู่กับข้อตกลงที่ชนส่วนใหญ่ให้ความเห็นชอบ

ผู้ที่ได้รับมอบอำนาจอธิปไตยไปแล้ว ต้องการจะใช้อำนาจอธิปไตย ก็สามารถใช้ได้ภายใต้กรอบแห่งสัญญาประชาคมที่ได้ตกลงกันไว้

กิจกรรมทางการเมืองใดๆไม่ว่าจะเป็นร่างรัฐธรรมนูญหรือจะแข่งขันเลือกตั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ จะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนในรูปแบบของสัญญาประชาคม ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนจนประชาชนสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองเพื่อจะได้แต่งตั้งหรือถอดถอนตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้

การแถลงนโยบายของผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือเป็นฝ่ายบริหารเป็นการให้สัญญากับประชาชนว่าจะทำเรื่องนั้นอย่างนั้นอย่างนี้ หากไม่ทำตามคำที่ได้แถลงไว้ประชาชนมีสิทธิ์เรียกอำนาจคืน โดยกระบวนการถอดถอนหรือเลือกตั้งใหม่ สุดแล้วแต่ข้อตกลง

แต่การร่างรัฐธรรมนูญที่ออกแบบฝ่ายนิติบัญญัติ บริหารหรือตุลาการ ที่เคยมีมาแล้ว ในทางปฏิบัติประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมเลย ประชาชนมีส่วนร่วมเพียงพิธีกรรมเท่านั้น โดยร่างรัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช 2540 และ2550 ประชาชนมีส่วนแค่การรับฟังเรื่องราวที่คณะกรรมการร่างได้ร่างไว้เท่านั้น แต่คณะกรรมการร่างมิได้แก้ไขร่างตามที่ประชาชนแนะนำเสนอไป เช่น ประชาชนทั่วไปต้องการวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง แต่คณะกรรมการร่างเมื่อฟังเสียงประชาชนแล้วไม่แก้ไขไปตามข้อเสนอ เพราะเจ้าภาพที่แท้จริงมิใช่ประชาชนแต่เป็น คมช กลายเป็นว่า กระบวนการร่างรัฐธรรมเพื่อปฏิรูปการเมืองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย ในขั้นร่างสัญญาประชคม ประชาชนก็มิได้มีอำนาจที่แท้จริงแล้ว อย่าหวังว่าในขั้นตอนอื่นๆจะมีกระบวนการสัญญาประชาคมเกิดขึ้นได้เลย

เมื่อคณะกรรมการยกร่างๆรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วนำออกให้ประชาชนลงมติกันทั่วประเทศ เป็นเพียงพิธีกรรมล้วนๆ โดยประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่างนั้นไม่สามารถจะคัดค้านได้เลย แม้รูปแบบจะดูเหมือนว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 จะเป็นประชาธิปไตย แต่ในจิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตยนั้นมิได้มีสัญญาประชาคมเลย

เมื่อเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว พรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล กระบวนการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีอันเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดนี้ ประชาชนไม่มีสิทธิ์ ไม่มีส่วนจะรู้ได้เลยว่า ใครจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไหน จะต้องก้มหน้าก้มตายอมรับรัฐมนตรีที่พรรคการเมืองเสียงข้างมากยัดเยียดให้ โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย

การตั้งคณะรัฐมนตรีแต่ละชุดของรัฐบาลที่ผ่านมาจึงมีสภาพไม่ต่างจากการขืนใจประชาชนทั้งประเทศให้ฝืนใจยอมรับผู้บริหารที่ตนเองไม่รู้จัก ไม่มีศรัทธาเอาเสียเลยด้วยความจำยอม

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพรรคพลังประชาชนได้ประกาศให้ประชาชนทั่วประเทศทราบทั่วกันว่า หากเลือกพรรคพลังประชาชน ท่านจะได้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประชาชนคงไม่มีใครเลือกแน่นอน

แต่ตอนที่พรรคพลังประชาชนและพรรคอื่นๆรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรคไม่เคยเปิดตัวคนที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีให้ประชาชนได้รับรู้แม้แต่คนเดียว ตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ประชาชนขาดการมีส่วนร่วมและพรรคการเมืองมิได้ให้สัญญาประชาคมแก่ประชาชนแต่อย่างใด

เมื่อประชาชนเลือกตั้งเสร็จแล้ว ผู้ที่ได้รับอำนาจนั้นจะนำอำนาจไปใช้อย่างไรประชาชนไม่สามารถจะเข้าไปตรวจสอบหรือกำหนดตัวบุคคลใดๆได้เลย

หากมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง จะต้องเสนอให้คณะกรรมการยกร่างได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่า พรรคการเมืองต้องเสนอชื่อคนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีของแต่ละกระทรวงให้ชัด มิฉะนั้นจะไม่มีคุณสมบัติที่จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะพรรคการเมืองจะต้องมีนโยบายและตัวบุคคลากรที่จะสั่งการ ควบคุม ดูแลนโยบายที่ได้แถลงให้ประชาชนทราบอย่างเหมาะสม

หากรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อย่างนี้ รัฐบาลทุกชุดจะเป็นรัฐบาลที่ผ่านกระบวนการสัญญาประชาคม ประชาชนทั้งประเทศจะเป็นผู้เฝ้าดูการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด หากรัฐบาลหรือรัฐมนตรีคนใดตระบัดสัตย์ประชาชนมีสิทธิ์ถอดถอนหรือเรียกอำนาจคืนหลังจากผ่านกระบวนการตรวจสอบว่า รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีคนนั้นๆได้ตระบัดสัตย์ตามที่มีผู้กล่าวหาจริง

หัวใจของการร่างรัฐธรรมนูญหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงอยู่ที่การจัดสรรค์อำนาจของนักการเมืองให้ยึดโยงกับประชาชน โดยไม่เปิดช่องว่างที่ตัดขาดจากประชาชน เมื่อตัดสินใจจะใช้ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองของประเทศแล้ว ต้องวางอำนาจสูงสุดไว้ที่ประชาชนมิใช่กองทัพหรือที่ใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเราต่างมีบทเรียนอยู่แก่ใจแล้วว่า ใครที่ครอบครองอำนาจไว้มาก หากยับยั้งชั่งใจไม่ได้ ล้วนลงท้ายด้วยการโกงกินกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกยากแก่การควบคุมทั้งสิ้น

ระบอบประชาธิปไตย คือระบอบที่ไม่เชื่อมั่นว่า ปัจเจกชนที่ครองอำนาจจะเป็นคนมีศีลธรรมสูงสุดได้ตลอดไป แต่ระบอบประชาธิปไตยเชื่อมั่นว่า หากปัจเจกชนที่ครองอำนาจนำอำนาจไปใช้ในทางที่ผิดวันใด ประชาชนมีสิทธิ์เรียกอำนาจคืน

ระบบประชาธิปไตยจึงเป็นระบอบการซักฟอกคนที่เคยชั่ว เมื่อเข้าสู่สนามการเมือง ต้องเป็นคนดี หากไม่เป็นคนดีจะมีกลไกขับไล่ไม่ให้มีอำนาจต่อไป คนที่เป็นคนดีมีศีลธรรมมาแล้วเมื่อก้าวเข้ามาในระบอบนี้ จะทำงานเพื่อประโยชน์ของปวงชนด้วยความมั่นใจ

การออกแบบการเมืองใหม่ที่กำลังดำเนินการกันอยู่ในขณะนี้ จึงต้องออกแบบด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้ระบบการเมืองดีย่ำยีคนชั่วและอภบาลคนดีให้มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถบริหารบ้านเมืองอย่างอิสระเสรี ไม่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลนอกกฎหมายดังที่กำลังเป็นอยู่ทุกวันนี้

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple