พายุหิมะครั้งใหญ่ในมิดเวสต์
อาตมาเดินทางมาช่วยศาสนกิจ ที่วัดพุทธธรรม เมืองวิลโลบรูค มลรัฐอิลินอยส์ได้เพียงสองวัน พอย่างเข้าวันที่สามก็เจอพายุหิมะขนาดใหญ่ในรอบกึ่งศตวรรษเข้าอย่างจัง ความหนาของหิมะที่เกาะตามพื้นถนนหรือลานบ้านเฉลี่ยสูงยี่สิบสี่นิ้ว บางแห่งรายงานข่าวแจ้งว่าหิมะสูงถึงสามสิบเจ็ดนิ้ว ในวันที่หิมะตกหนักรถยนต์เป็นพันคันติดหนึบไม่ขยับได้หลายชั่วโมงบนถนนหลายสายใกล้ๆมหานครชิคาโก้ เจ้าของรถหลายคนตัดสินใจทิ้งรถยนต์ไว้หนีออก
มาจากบริเวณรถติดไปขึ้นรถที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างนอกกลับบ้าน
วันต่อมาเมื่อพายุหิมะสงบจึงกลับมาขุดรถจากหิมะที่ตกลงมาฝังรถไว้ออกไปอย่างทุลักทุเล
รายงานอากาศที่ฟังได้ทางวิทยุท้องถิ่นเมื่อเย็นวันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2554 แจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่า วันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2554 พายุหิมะจะถล่มมิดเวสต์ในพื้นที่มลรัฐอิลินอยส์และบริเวณใกล้เคียง
อาตมาเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ทราบว่าพายุหิมะที่มีความรุนแรงเป็น
ประวัติศาสตร์ครั้งนี้จะเข้าถล่มมลรัฐใดบ้าง แต่ประมาณการว่า
มหานครชิคาโก้และเมืองใกล้เคียงจะต้องได้รับผลจากพายุหิมะครั้งนี้
อย่างทั่วหน้า
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ประมาณตีห้า ออกเดินทางจากกุฏิที่พักไปยังอุโบสถเพื่อทำวัตรสวดมนต์ภาวนาตอนเช้าร่วมกับคณะสงฆ์วัดพุทธธรรมทุกรูปในเวลาหกนาฬิกา ขณะนั้น หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาเป็นสายอย่างอ้อยอิ่งนิ่มนวลสวยงามตามประสาหิมะแรกตก อาตมากับท่านพระครูสิทธิธรรมวิเทศก์ได้เดินลุยฝ่าหิมะกันมาทำวัตรเช้าด้วยความสดชื่น พอเดินมาถึงอุโบสถ หิมะเกาะขาวไปทั้งตัว แต่ไม่รู้สึกหนาวเหน็บมากนัก เป็นที่รู้กันว่าขณะที่หิมะกำลังตกจะไม่หนาวนัก แต่เมื่อหิมะตกแล้วกลายเป็นน้ำแข็ง ความหนาวเหน็บสะท้านเข้าไปถึงทรวงจะตามมา
เมื่อร่วมกันทำวัตรสวดมนต์ภาวนายามเช้าเสร็จแล้ว ฉันอาหารเช้าแบบง่ายๆ อันประกอบด้วยข้าวกล้อง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ด แอปเปิ้ล เป็นอาหารชั้นเยี่ยมเพื่อบำรุงสุขภาพแท้ๆ เป็นอันว่าได้ฉันอาหารกายและอาหารใจควบคู่กันไป ได้ความอิ่มทั้งกายและอิ่มทั้งใจอย่างครบถ้วนแห่งกระบวนชีวิต
เมื่อฉันอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์วรศักดิ์ วรธมฺโม
เจ้าอาวาสวัดพุทธธรรมจึงชวนสนทนาธรรมเรื่องขันธ์ห้า รูปนาม
อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ การทำงานของสัญญา
กับสังขาร โดยไม่ปล่อยใจให้เพลินไปกับเวทนา จุดสำคัญแห่งการปฏิบัติธรรมคือเวทนา ความรู้สึกชอบ ชังหรือเฉย ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ท่านอาจารย์วรศักดิ์ได้ชี้ประเด็นแห่งการเกิดขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณเอาไว้ว่า ตามปกติยังไม่มีขันธ์ห้ามีแต่ธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ขันธ์จะเกิดขึ้นมาต่อเมื่อรูปกระทบตาเกิดวิญญาณ สามอย่างทำงานร่วมกันเรียกว่าผัสสะทางตา เสียงมากระทบหูเกิดวิญญาณ สามอย่างทำงานร่วมกันเรียกว่าผัสสะทางหู กลิ่นกระทบจมูกเกิดวิญญาณ สามอย่างทำงานร่วมกันเรียกว่า ผัสสะทางจมูก รสมากระทบกับลิ้นเกิดวิญญาณ สามอย่างทำงานร่วมกันเรียกว่าผัสสะทางลิ้น สิ่งสัมผัสถูกต้องมาถูกต้องกับกาย เกิดวิญญาณ สามอย่างทำงานร่วมกันเรียกว่าผัสสะทางกาย
ธัมมารมณ์มากระทบใจเกิดวิญญาณ สามอย่างทำงานร่วมกันเรียกว่า ผัสสะทางใจ ท่านสรุปว่าผัสสะทางไหนก็เป็นเรื่องของทางนั้น เช่น ผัสสะทางตาก็เป็นเรื่องของตาไม่ใช่เรื่องของตัวตนของส่วนอื่นๆ หรือทั้งหมด ท่านอุปมาให้ฟังว่ามีโรงเรียนโรงเรียนหนึ่ง มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นป.หนึ่งถึงชั้นป.หก เมื่อนักเรียนชั้นป.หกเล่นกีฬาก็เล่นไป นักเรียนชั้นอื่นไม่จำเป็นต้องไปเล่นด้วย เมื่อนักเรียนชั้น
ป.สองเรียนวาดเขียนก็เป็นเรื่องของนักเรียนชั้นป.สอง ชั้นอื่นไม่ต้องไปเรียนวาดเขียนด้วย เมื่อตาเห็นรูปเป็นเรื่องของตาเห็นรูป เกิดวิญญาณทางตา ไม่ใช่เรื่องของเราหรือส่วนอื่นๆ แต่เป็นเรื่องของตา รูปวิญญาณทำงานร่วมกันเท่านั้นไม่มีความหมายแห่งสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เมื่อหูได้ยินเสียงก็เช่นกันเป็นเรื่องของเสียงกับหู เกิดวิญญาณทางหูสามอย่างทำงานร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องของเราหรือของบุคคลทั้งหมดแต่เป็นเรื่องของการรับรู้ทางหู
การอธิบายแบบนี้เป็นการอธิบายแบบอนัตตา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ที่เที่ยงแท้ถาวร มีแต่การทำหน้าที่ของนามและรูปเป็นครั้งคราวไป เป็นการทำหน้าที่ของนามและรูปที่ปรากฏขึ้นเป็นขณะๆไปไม่ได้ตั้งอยู่เที่ยงแท้ถาวร
เมื่อนามรูปทำหน้าที่เสร็จแล้วก็เหลือเพียงธาตุตามธรรมชาติต่อไปอีกเมื่อประตูแห่งการรับรู้ทางใดทางหนึ่งทำงานขึ้นมาอีก ขันธ์ห้าก็ปรากฏขึ้นมาอีก ทำหน้าที่เสร็จแล้วก็จบเป็นครั้งคราวไป ตามกระบวนการทำงานของธาตุที่ทำหน้าที่ตามธรรมชาติล้วนๆ
นอกจากนี้ท่านยังได้อธิบายเชื่อมโยงกับเรื่องราวต่างๆ เช่น
สติปัฏฐาน อริยมรรคมีองค์แปด โพชฌงค์เจ็ด ว่ามีที่มาจากผัสสะทั้งหมด เมื่อมาถึงจุดนี้ทำให้หวนคิดบทกวีที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า ความทุกข์จะไม่โผล่ถ้าไม่โง่เรื่องผัสสะ ความทุกข์เกิดไม่ได้ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ เมื่อทำความเข้าใจเรื่องผัสสะจนมีความเฉลียวฉลาดในผัสสะ ไม่ปล่อยให้เพลินในเวทนาที่เกิดจากผัสสะความทุกข์ก็จะไม่เกิด แต่ถ้ามาถึงผัสสะแล้วปล่อยให้เพลินในเวทนาคือความชอบชัง ก็จะเตลิดเปิดเปิงไปสู่ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เป็นตัว เป็นตน ที่เป็นสภาวะใหม่ ร่างกายใหม่และจิตใหม่ เช่น เวลาโกรธ กายก็เร่าร้อน จิตก็เร่าร้อน ความทุกข์ก็เกิด เมื่อความทุกข์เพราะมีคนผู้รับทุกข์เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็ค่อยๆ จางคลายหายไป ตรงนี้เรียกว่า ชรา มรณะ หากผัสสะอีกและเผลอเพลินในเวทนาอีก ความทุกข์ก็เกิดอีก ในทางตรงกันข้ามหากผัสสะอีกแต่ไม่เพลินในเวทนา ความทุกข์ก็ไม่เกิด ท่านไม่ใช้คำว่าเกิดทุกข์และดับทุกข์ แต่ท่านใช้คำว่าเกิดทุกข์กับไม่เกิดทุกข์ โดยท่านให้เหตุผลว่าเมื่อทุกข์ยังไม่เกิดจะดับได้อย่างไร
การทำความเข้าใจผัสสะคือการตัดไฟแต่ต้นลม คือระวังไม่ให้เกิดเหตุแห่งทุกข์ คือเพลินในเวทนาจนกลายเป็นตัณหา ดังในอริยสัจสี่ที่ว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
เราสนทนาธรรมจนถึงเวลาสิบโมงกว่า คุณเดนิส นักสอนศาสนาคริสต์นิกายหนึ่งจำไม่ได้เสียแล้ว เป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลพระสงฆ์ทั้งวัด เนื่องจากเป็นนักสอนศาสนาที่เคร่งครัดจารีตยิ่งนัก รู้จักอาจารย์วรศักดิ์มานาน เมื่อฉันเสร็จอาจารย์วรศักดิ์จึง กล่าวขอบคุณในทานที่ถวายพระสงฆ์ครั้งนี้ พระสงฆ์รูปอื่นๆ ก็กล่าวคำขอบคุณเช่นกัน คุณเดนิสรับพรเป็นภาษาอังกฤษแล้วแสดงสีหน้าปลาบปลื้มอย่างเห็นได้ชัด ความปลาบปลื้มอันเป็นอานิสงส์ของการให้ทานสะท้อนจากใจสู่ใบหน้าของบาทหลวงนักสอนศาสนาผู้เคร่งครัด แม้จารีตบางอย่างจะมีพรหมแดนขวางกั้นต่อประเพณีที่แตกต่างกัน แต่ความรู้สึกอิ่มเอิบปลาบปลื้มอันเป็นผลจากการให้ทาน เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ไร้พรมแดนขวางกั้น
ลมเริ่มพัดแรงขึ้น หิมะตกลงอย่างหนาแน่นมากขึ้นตามลำดับ พวกเรายุติการสนทนาธรรมยามบ่าย รีบกลับกุฎิเพื่อเตรียมตัวรับพายุหิมะครั้งใหญ่ในมิดเวสต์ที่ทางพยากรณ์อากาศได้พยากรณ์ไว้ว่า จะพัดแรงมากในวันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 อาตมากับท่านพระครูสิทธิธรรมวิเทศก์นั่งฟังวิทยุรายงานอากาศจากสถานีวิทยุเอ็นพี อาร์ภาคท้องถิ่นและข่าวต่างประเทศ นอกจากจะได้ฟังรายงานอากาศอย่างถี่ยิบทันท่วงทีแล้วยังมีรายงานข่าวการประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีอียิปต์ตลอดเวลาอีกด้วย ยิ่งบ่ายลมเริ่มแปรสภาพเป็นพายุจากเบาไปหาหนัก สนามบินนานาชาติโอแฮปิดทำการในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2554 จะเปิดบริการผู้เดินทางอีกครั้งในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554
ท่านพระครูสิทธิธรรมวิเทศก์ตามแผนเดิมจะเดินทางกลับซีแอต
เติ้ลในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 แต่เมื่อมาเจอพายุใหญ่อย่างนี้จึงต้องประสานงานเลื่อนตั๋วเดินทางกลับซีแอตเติ้ลในวันรุ่งขึ้น ซึ่งประสานงานได้สำเร็จด้วยดี ยิ่งบ่ายค่ำพายุยิ่งทวีความแรงมากขึ้นประมาณยี่สิบถึงสามสิบไมล์ต่อชั่วโมง บางชั่วโมงก็พัดแรงสุดประมาณหกสิบไมล์ต่อชั่วโมง เสียงพายุพัดดังคึกๆๆๆๆ อึกทึกครึกโครม มองที่กลุ่มหิมะจับตัวเป็นเกลียว เป็นกลุ่ม เป็นลำขนาดใหญ่ประมาณเท่าต้นตาลพัดไปตามแรงพายุ ซึ่งบางครั้งพัดไปตรงๆ บ้าง หมุนบ้าง หากปะทะต้นไม้หิมะก็กระจายตัวตกลงพื้น จุดนั้นหิมะจะไม่หนามากนัก แต่ถ้าพายุพัดพาหิมะไปปะทะบ้านหรือกำแพงที่มีแนวต้านหนาๆ เช่น กำแพงบ้าน กำแพงสถานที่ราชการหรือกำแพงกั้นเสียงบนทางด่วน หิมะจะตกลงกองสูงท่วมหูดูคล้ายๆ ภูเขาหิมะลูกย่อมๆ กองอยู่โดยทั่วไป นั่นก็หมายความว่าไม่สามารถจะวัดความสูงกันเป็นนิ้วได้แต่อาจจะต้องวัดกันเป็นเมตรหรือเป็นฟุต
เวลาประมาณสามทุ่มจึงหยุดฟังข่าว รู้สึกว่าบรรยากาศหนาวๆแบบนี้น่าจะนั่งสมาธิดีกว่า จึงปิดไฟเข้าห้องนั่งสมาธิ จิตเป็นสมาธิเร็วไม่วอกแวกหวั่นไหว รู้สึกเย็นกาย เย็นใจยิ่งนัก นั่งสงบอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆ จึงเข้านอน ตื่นเช้าขึ้นมาล้างหน้าล้างตาทำภาระส่วนตัวแล้วนั่งสมาธิต่อจนถึงหกโมงเช้า พายุเริ่มอ่อนลงเป็นลมหนาวธรรมดา หิมะยังคงโปรยปราย พวกเราสองรูปพยายามจะเปิดประตูออกมา ปรากฏว่าต้องช่วยกันผลักประตูอย่างแรง แต่เนื่องจากหิมะยังไม่ทันจับตัวเป็นน้ำแข็งจึงช่วยกันผลักประตูออกมาได้ หิมะบริเวณกุฎิระดับสูงขึ้นมากกว่าตอนเย็นก่อนเข้านอน วัดคร่าวๆ ว่าหิมะสูงไม่ต่ำกว่าสะเอว โต๊ะเก้าอี้ที่วางอยู่หน้ากุฎิถูกหิมะปกคลุมท่วมทับฝังอยู่ในหิมะ ถนนที่เดินมาตอนเย็นปกคลุมไปด้วยหิมะสูงเหนือเข่าบ้างแค่เข่าบ้าง แม้จะเคยผ่านแฟร์แบงค์อลาสก้าที่ใครๆ ก็จินตนาการว่าเป็นเมืองหิมะมาแล้ว แต่ยอมรับว่าไม่เคยเจอหิมะสูงมากขนาดนี้เพราะที่แฟร์แบงค์อลาสก้าเจอแต่หิมะที่ตกตามปกติ ไม่มีพายุ แต่คราวนี้เจอพายุหิมะกึ่งศตวรรษเข้าต้องยอมรับว่าเป็นหิมะที่มีระดับสูงมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ
แม้จะสวมรองเท้าบุกหิมะที่ญาติโยมเตรียมไว้ให้แล้ว แต่ถ้าหิมะถึงเข่าอย่างนี้ก็ช่วยได้แค่ไม่ลื่นไหลไปเท่านั้น แม้จะมีชุดกันหนาวด้านบนพรั่งพร้อม แต่พระสงฆ์นุ่งสบงตัวเดียวเจอหิมะสูงแบบนี้ ส่วนที่สูงกว่ารองเท้าและถุงเท้าก็หนาวเหน็บเอาการเหมือนกัน จึงรีบก้าวแบบย่างสามขุมหวังหนีหิมะให้พ้นเร็วๆ จะได้เข้าตัวตึก
เมื่อเข้าไปถึงตัวตึกแล้ว ได้รับความอบอุ่นเพียงพอ กว่าจะเคลื่อนไหวไปไหนได้ต้องนั่งหอบแฮกๆ อย่างเป็นทางการอีกครู่ใหญ่ เคยฟังคำบรรยายอานาปานสติของหลวงพ่อพุทธทาสมาว่า ลมหายใจหยาบจะเกิดขึ้นตอนที่เหนื่อยหอบจากการวิ่งหรือเดินเร็วๆ เมื่อระลึกถึงบทธรรมนี้ขึ้นมาได้ก็ถือโอกาสนั่งดูลมหายใจหยาบอันเกิดจากการบุกหิมะได้เห็นประจักษ์แจ้งชัดเจน ค่อยๆ ตามดูไปเรื่อยๆ ไม่นานนักลมหายใจก็ผ่อนคลายเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อลมหายใจสงบ กายก็สงบลงตามลำดับ ความเคลื่อนไหวของลมหายใจจึงมีความเชื่อมโยงมีอิทธิพลต่อความกระสับกระส่ายหรือความเคลื่อนไหวของกายดังที่ได้ประจักษ์นี้ นับเป็นแสงสว่างกลางพายุหิมะครั้งใหญ่ทีเดียว
ท่านพระครูสิทธิธรรมวิเทศก์ มีประสบการณ์สูงในการเดินผ่านหิมะ เนื่องจากเคยบุกหิมะที่นี่มานานถึงห้าปี หลบกองหิมะสูงๆออกทางหลังกุฎิ เดินไปตามโคนต้นไม้ที่ปลูกไว้เป็นแถวผ่านหิมะที่สูงประมาณสี่ห้านิ้วไม่ท่วมรองเท้าที่เหยียบลงไป เพราะหิมะปะทะต้นไม้แล้วก็ผ่านไป บริเวณต้นไม้หิมะจึงไม่หนาเหมือนบริเวณฝาผนังซึ่งบางแห่งหิมะสูงท่วมหัว ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้เห็นคุณค่าของต้นไม้ที่ปลูกไว้อย่างหนาแน่นจะช่วยปะทะและป้องกันลม น้ำหรือหิมะให้หย่อนกำลังและบรรเทาความเสียหายอย่างรุนแรงลงได้ การปลูกต้นไม้ให้หนาแน่นจึงเป็นประโยชน์กับมนุษย์ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นพื้นที่น้ำท่วม ลมแรงหรือหิมะตกจัด การช่วยกันปลูกต้นไม้มากๆ หรือไม่ตัดไม้ทำลายป่าเป็นการสร้างปราการธรรมชาติที่จะคอยปะทะหรือป้องกันภัยธรรมชาติได้เป็นอย่างดี
ท่านธรรมวัฒน์เดินทางไปรับอาจารย์วรศักดิ์มาฉันอาหารเช้า
เพราะกุฏิท่านอยู่ด้านหลังเหมือนกัน ท่านธรรมวัฒน์หายไปสักครู่ กลับมาหน้าตาแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด นั่งหอบสักครู่หนึ่งจึงพูดว่า หายใจแทบไม่ทัน เพราะต้องรีบเดินไปและรีบเดินกลับ ทั้งหนีหนาว ทั้งเดินบุกหิมะที่มีระดับสูง เมื่อนั่งหอบจนลมหายใจผ่อนคลายเข้าสู่สภาวะปกติดีแล้ว จึงกลับไปใหม่คราวนี้ใส่ชุดกันหนาวเต็มพิกัดใช้ถุงมือที่หนากว่าเดิมทำให้เดินแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบ ก้าวไปด้วยความมั่นใจนำอาจารย์วรศักดิ์ฝ่าหิมะที่มีระดับสูงตลอดทางเดินมาฉันอาหารเช้าด้วยความปลอดภัย
พระสงฆ์ฉันอาหารเช้าแล้ว พวกเราได้ขอนิมนต์อาจารย์วรศักดิ์ได้อธิบายภาพปฏิจจสมุปบาทให้ฟังเป็นพิเศษ เป็นที่ทราบกันว่าอาจารย์วรศักดิ์มีความชำนาญในการบรรยายภาพปฏิจจสมุปบาทแบบธิเบตชนิดไร้เทียมทาน เพราะท่านบรรยายที่สวนโมกข์มาเป็นเวลานานประกอบกับมีความเข้าใจทั้งภาพและธรรมะอย่างลึกซึ้ง
บรรยากาศที่เย็นยะเยือก มองทางไหนก็เห็นแต่หิมะขาวโพลน
เช่นนี้ นั่งฟังธรรมะลึกๆ ซึ้งๆ ดีๆ เช่นนี้ ย่อมดีกว่าทำกิจกรรมอื่นใด
ทั้งสิ้น
ขอความปกติทางกายและปกติทางใจจงบังเกิดมีแก่ท่านผู้อ่านทุกท่านทั่วหน้ากันเถิด
7 กุมภาพันธ์ 2554
เวลา 16.00 น.
วัดพุทธธรรม วิลโลบรูค
มลรัฐอิลินอยส์
ดร. พระมหาจรรยาสุทธิญาโณ
เจ้าอาวาสวัดลอยฟ้า ( Sky temple no boundary)
www. skytemple.org
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple