วัดพุทธปัญญา

บทความ\บันทึกไว้เมื่อวัยห้าสิบสอง

บันทึกไว้เมื่อวัยห้าสิบสอง

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2554 ฉันมีอายุครบ 52 ปี เพราะฉันเกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2502 ที่บ้านสวน หมู่ที่ 4 ตำบลวังตะกอ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เมื่อวันคล้ายวันเกิดเวียนมาบรรจบ ครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ระลึกถึง ผู้มีพระคุณสองท่านคือ พ่อและโยมแม่ ผู้ให้กำเนิด ให้ความรัก ให้ที่พักพิงอาศัย ให้การดูแลเอาใจใส่ ฟูมฟัก ทะนุถนอม ให้เติบโตขึ้นมาอย่างเพียบพร้อมทั้งกายและจิต สอดคล้องกับความหมายที่เรียกว่าชีวิต คือ การอยู่ร่วมกันของ กายกับจิต อันจะต้องเติบโตพร้อมกัน อยู่ด้วยกัน ไปไหนไปด้วยกัน กายอยู่ไหนใจอยู่นั่น

ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวขนาดกลางในชนบท มีพี่สาวสองคน มีพี่ชายสามคน ใช้ชีวิตร่วมกันภายใต้หลังคาเดียวกัน ในบ้านกลางสวนหลังน้อยที่ทำด้วยวัสดุอุปกรณ์ธรรมชาติล้วนๆเช่นไม้ไผ่ ต้นหมาก ใบจาก โดยใช้หวายเป็นเครื่องยึดโยงอุปกรณ์ออแกนิคเข้าด้วยกันไม่มีผลิตภัณฑ์ทางเคมีใดๆไม่ว่าอิฐหรือปูนเจือปนแม้แต่น้อย พี่น้องทุกคนรักใคร่กลมเกลียวสามัคคีกันดี พ่อแม่ทำงานอะไร ก็พร้อมจะช่วยทำงานทุกอย่าง ด้วยความสนุกสนาน งานหลักที่วนเวียนไปตามฤดูกาล ก็มีเก็บผักที่ขึ้นเองตามธรรมชาติที่มีอยู่อย่างดาษดื่น เช่น ผักเหลียง ผักกูด ยอดยอง ยอดภูมิ และพืชอื่นๆที่ขึ้นและเจริญเติบโตตามฤดูกาลมาปรุงอาหาร เมื่อถึงฤดูกาลปลูกผักก็ช่วยกันปลูกผักเช่น พริก มะเขือ ผักกาด กระหล่ำปลี แตงกวา ผักกาดขาว ริมแม่น้ำหลังสวน เพื่อนำไปจำหน่าย เป็นรายได้ ไว้ซื้อหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น กะปิ น้ำปลา ปลาทะเล ผงซักฟอกสบู่ ตามความจำเป็น

นอกจากนี้ ยังมีการทำนา เพื่อเก็บข้าวเปลือกไว้ตำหรือสีเป็นข้าวสารหุงได้ตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องซื้อหาจากตลาด หากพบที่ทางเหมาะๆก็จะทำไร่ เก็บข้าวไร่ ไว้อีกส่วนหนึ่ง คุณลักษณะพิเศษ ของข้าวไร่คือ เวลานำมาตำให้เป็นข้าวสารเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แล้วนำมาหุงจะส่งกลิ่นหอมล่องลอยไปทั่วบริเวณบ้านหรือเพื่อนบ้านอาจจะได้กลิ่มหอมของข้าวไร่ด้วย การหุงข้าวของชาวบ้าน จะหุงโดยวิธีรินน้ำข้าวออกเสียส่วนหนึ่งเมื่อเห็นว่าเม็ดข้าวสารสุกทั่วทั้งเม็ด ชาวบ้านมีวิธีทดสอบโดยการน้ำมาลองเคี้ยวดูหากเห็นว่าสุกดีแล้ว ก็รินน้ำข้าวให้แห้งแล้วนำหม้อข้าวขึ้นไปตั้งบนเตาต่อไปจนน้ำแห้งและข้าวสุก น้ำข้าวที่รินออกมา เป็นประโยชน์มาก ภาษาท้องถิ่นเรียก น้ำข้าวที่รินออกมาว่า น้ำหม้อ นำมาดื่มเปล่าๆ หรือ อาจจะเติมน้ำตาลลงไปบ้างก็อร่อยน่าดื่ม บางคนไม่ชอบดื่มก็นำไปเลี้ยงสุนัข มีการพูดกันล้อเล่นกันว่า คนกินกากข้าว ส่วนไวตามิน ให้หมากิน

การทำสวนก็เป็นอาชีพหลักที่นำผลไม้ไปจำหน่ายเพื่อนำรายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัว เป็นรายได้ตามฤดูกาลที่ชาวสวนจะได้เก็บไว้ใช้จ่ายในฤดูกาลทำนา ที่จะต้องอุทิศเวลาให้การทำนาอย่างเต็มที่ โดยไม่มีเวลาหารายได้พิเศษใดๆมาจุนเจือ ชีวิตชาวสวนในชนบท จึงเป็นต้นแบบของการดำรงชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงมาแต่ดั้งเดิม พื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ ความพอใจในการบริโภคใช้สอยปัจจัยสี่ตามความจำเป็นต่อร่างกาย ด้วยจิตใจสงบเย็น ไม่ดิ้นรนเพื่อตอบสนองตัณหา ความอยากได้ที่ไม่มีสิ้นสุด เชื่อมั่นว่า หากมนุษย์ในโลกนี้ใช้สอยทรัพยากรธรรมชาติเพื่อตอบสนองความจำเป็นของชีวิต จะมีทรัพยากรเหลือเฟือแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์จากทุกมุมโลกให้ได้บริโภคอย่างไม่อดอยากขาดแคลน

แต่ความหายนะแห่งทรัพยากรโลกที่อาจจะนำไปสู่ภาวะโลกร้อนทุกวันนี้มีสาเหตุมาจาก การที่มนุษย์ดิ้นรนขวนแขวายทำลายทรัพยากรธรรมชาติมาแลกเงินตรา เพื่อซื้อหาสิ่งต่างๆที่เกินความจำเป็นมาตอบสนองตัณหา ความอยากอันไม่มีข้อจำกัดทั้งสิ้น

หัวใจเศรษฐกิจพอเพียงที่จะช่วยหล่อเลี้ยงทรัพยากรโลกและเลี้ยงมนุษย์ให้รอดคือ พอมี พอกิน พออยู่ พอใช้ พอใจ ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสนองตัณหา รักษาใจให้สงบ พบความสุขแท้ๆ ที่ไม่มีมลพิษใดๆแทรกซ้อนทั้งกายและใจ

การอยู่ร่วมกัน การกินร่วมกันด้วยการแบ่งปัน การทำงานร่วมกันอย่างเอื้อเฟื้อ ภายใต้รัศมีแห่งความเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา ของพ่อและแม่ เป็นบ่อเกิดแห่ง แรงบันดาลใจ ความตั้งใจ อุตสาหะพยายาม บากบั่นฝ่าฟัน สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับชีวิตและสังคมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่ท้อแท้แต่ประการใด

ข้อคิดที่ผุดขึ้นมาในวันคล้ายวันเกิดปีนี้คือ ชีวิต คือ การเดินทาง ความเคลื่อนไหว ไหลเรื่อย หาตัวตนที่เที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้แต่ประการใด

มองการเดินทางโดยวัยแห่งชีวิต เริ่มเดินทางจากวัยทารก สู่วัยเด็ก สู่วัยก่อนวัยรุ่น สู่วัยรุ่น สู่วัยทำงาน สู่วัยกลางคน สู่ชีวิตกึ่งศตวรรษ แม้จะมีคำพูดที่พูดกันอย่างดาษดื่นว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข เพื่อจะปลอบใจตัวเองว่า อายุเท่าไร ก็ไม่มีผลอะไร แต่ความจริง อายุ เป็นตัวเลขที่บอกความแก่ที่สะสมไว้อย่างมากมายนับครั้งแห่งความทรุดโทรมเสื่อมสลายของเซลล์แห่งชีวิตไม่ได้

หากพิจารณาตามพุทธทรรศน์ ความแก่ และความตายปรากฏกับชีวิตหนึ่งๆได้ทุกขณะ โดยเฉพาะความแก่ เป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่า อนิจจัง เป็นพลังขับเคลื่อนกระบวนการชีวิต ให้เคลื่อนไหว ไหลเรื่อย โดยไม่มีการหยุดแม้แต่ขณะเดียว จนกว่าจะถึงวาระสำคัญแห่งความเปลี่ยนแปลงในเชิงปริมาณที่ชัดเจนที่เรียกกันว่า ความตาย อันได้แก่ การกระจายธาตุที่เคยกระจุกตัวกันอยู่เป็นมวล เป็นก้อน ออกไปเป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ที่เรียกว่า ธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ และลม อันสมมติเรียกตามลักษณะที่ปรากฏให้เห็นและสัมผัสได้ชัดเจน กระจายกลับไปตามแรงแห่งกฎอนิจจัง อันเป็นพลังสำคัญที่ก่อให้เกิดรูปร่างต่างๆ บนเส้นทางของความเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่า เด็กชาย เด็กหญิง รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างหนึ่ง วัยรุ่น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างหนึ่ง วัยกลางคน รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างหนึ่ง วัยชรารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างหนึ่ง และเมื่อความตาย มาถึง ธาตุต่างๆจะกระจายตามแรงเหวี่ยงแห่งกฎอนิจจัง ทุกขังและอนัตตา เมื่อถึงเวลานั้น จะไม่ปรากฏรูปร่างที่แสดงลักษณะใดๆให้เห็นอีก จะเหลือแต่ธาตุเท่านั้น

การทำหน้าที่อย่างสอดคล้องกันของกฎ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา ต่อธาตุต่างๆเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อ ความเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้น เรียกว่า อนิจจัง ตามมาด้วยสภาวะที่เรียกว่า ทุกขัง คือรูปร่างอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดมาจากพลังของความเปลี่ยนแปลงจะทนต่อไปไม่ได้ ถ้าว่า กันตามสภาวะธรรมแห่งไตรลักษณ์นี้ คำว่า ทุกขัง จึงไม่ใช่ความเจ็บปวด หรือ ทรมาน แต่จะเข้าใจได้ชัดว่า ทนอยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ เมื่อทนอยู่ต่อไปไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไป แบบค่อยๆเป็นค่อยไปจนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยไม่มีเอกลักษณ์ใดๆแห่งสภาวะเดิมหลงเหลือ เรียกกันว่า อนัตตา ซึ่งแปลตรงตัวว่า ไม่ใช่ตัวตน หากนั่งพิจารณาอย่างลึกซึ้งก็จะเห็นประจักษ์ได้ว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ

การยอมรับความจริงแท้เพราะเห็นประจักษ์ชัดนี้เอง เรียกว่า ตถาตา ซึ่งแปลว่า เป็นเช่นนั้นเอง

หากจะมีคำถามต่อไปอีกว่า เป็นเช่นนั้นเอง นั้นเป็นอย่างไร คำตอบใสๆออกมาก็คือ เป็น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา

บนเส้นทางเดินชีวิต ที่ต้องเคลื่อนไหว ไหลเรื่อยไป ที่ขับเคลื่อนด้วย กฎอนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตานั้น ธาตุสี่เปลี่ยนรูปร่างให้มีลักษณะแปลกๆแตกต่างกันไปตามวัย ด้วยสภาวะธรรมที่เรียกว่า ธัมมนิยามตา อันเป็นกฎธรรมชาติที่คอยออกแบบผลิตภัณฑ์อันเป็นมนุษย์ สัตว์และพืชนิดต่างๆให้แก่กฎอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ที่ทำหน้าที่ผสมธาตุสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม หรือ ธาตุหก อันประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุให้ผสมผสานเชื่อมโยงอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ในแต่ละขณะ ตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา คือ การอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ให้ปรากฏเป็นรูป เป็นร่าง เป็นเนื้อ เป็นหนัง เป็นก้อน ที่สมมติเรียกกันว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มีสีสรรสะท้อนออกมาเป็นสีเหลือง สีขาว สีชมพู สีดำ สีแดง ในจุดต่างๆ ดั่งรูปปั้นหรือ ภาพวาด แต่สิ่งนั้นก็ตั้งอยู่เพีงชั่วขณะแล้วเปลี่ยนแปลงหรือสลายไป

เมื่อสิ่งที่ถูกเรียกว่า ร่างกาย เกิดขึ้นมาจากของผสมทั้งหลาย จึงเรียกขานว่า สังขาร แปลว่า ของผสม ไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสาร สิ่งทั้งหลายที่ผสมกันอยู่นั้น พร้อมจะสลายจากกันไปได้ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาอันสมควร ด้วยเหตุนี้เอง ชีวิตหนึ่งๆก็มีสภาพเป็นสุญญตา คือ ว่างจากสาระที่เป็นตัวยืนโรงที่มีอยู่ตลอดเวลา ชีวิตจึงเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว การที่ชีวิตเคลื่อนไหว ไหลเรื่อย แต่ละขณะๆ เมื่อสะสมกันเข้า เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน หรือ เป็นปี ก็เรียกกันว่า อายุ แปลว่า สิ่งที่เสื่อมไปตามลำดับ

เมื่อมองความเป็นไปแห่งชีวิตอย่างใกล้ชิดละเอียดจริงๆ ก็จะเห็นว่า ชีวิต เป็นเพียงขบวนการเดินทางแห่งธาตุต่างๆที่แปรขบวนไปตามเหตุปัจจัยที่หนุนเนื่องไป ตามพลังแห่งกฎธรรมชาติที่ไหลไปไม่หยุด ชีวิตจึงเป็นเพียงปรากฏการณ์แห่งความไหลเรื่อยๆช้าบ้างเร็วบ้าง ไม่เคยหยุดอยู่กับที่ โดยมีความเปลี่ยนแปงลเป็นหัวขบวน นำความไหลเรื่อย ผ่านรูปแบบต่างๆมากมาย ดูไปคล้ายๆว่า ขบวนการแห่งธาตุที่ผสมผสานกันนี้จะมีอยู่จริง แต่ในความเป็นจริงมิได้มีอยู่จริง

พระพุทธเจ้าจึงได้อุปมาชีวิตเหมือนพยับแดด ที่ใครมองไปไกลๆจะเห็นภาพคล้าย คนบ้าง สัตว์บ้าง ต้นไม้บ้าง  แต่พอเข้าไปมองใกล้ๆ ภาพนั้นก็หายปี ปรากฏการณ์แห่งชีวิตแสนสั้น ประหนึ่งฟองน้ำที่เกิดจากน้ำตกหรือการกระทบของน้ำที่ไหลแรง เกิดฟองน้อยใหญ่ ปรากฏให้เห็นเพียงชั่วขณะเวลาสั้นๆแล้วสลายไป ระยะกาลแห่งชีวิตก็น้อยนิดเช่นนั้น

หากมองชีวิตอย่างใกล้ชิด มองใกล้ๆ มองแบบวิปัสนา ก็จะหาสาระใดๆที่ควรยึดมั่น สำคัญมั่นหมาย ว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา มิได้ จึงเป็นสภาวะที่เรียกว่า อตัมมยตา อันได้แก่ ความไม่น่ายึด ไม่น่าถือ ไม่น่าเอา ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น ถูกต้องสอดคล้อง ตามพระพุทธวจนะที่ว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า สิ่งทั้งปวง อันรวมถึงสิ่งที่เรียกกันว่า ชีวิตนี้ ไม่ควรเพื่อการเข้าไปยึดมั่นอย่างแท้จริง

การรำลึกถึงวันคล้ายวันเกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2554 ที่ผ่านมาได้ทำกิจกรรมต่างๆเหมือนที่เคยทำมาทุกปีคือ ตื่นนอนแต่เช้าตรู่ภาพแห่งพ่อแม่ผู้มีพระคุณปรากฏเจิดจ้าในใจ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้ระลึกถึง ผู้ให้ชีวิต ให้เสื้อผ้า ให้อาหาร ให้ที่อยู่อาศัย ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด ให้ความรัก ให้ความเป็นห่วง เอื้ออาทร ตั้งแต่น้อยจนเติบใหญ่ แล้วจึงมอบให้แก่พระรัตนตรัยเพื่อดำเนินชีวิตที่คิดว่า ลูกปลอดภัย แล้วพ่อแม่ก็จากไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์

กิจกรรมที่จัดในวันคล้ายวันเกิด คือ งดฉันอาหารหนึ่งวัน งดรับปัจจัยหรือของขวัญใดๆที่เป็นวัตถุสิ่งของ รับเพียงคำอวยพรที่หลั่งไหลออกมาจากใจที่ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ที่ไม่ต้องลงทุนด้วยทรัพย์สินใดๆ ธรรมดา การให้สิ่งของทำให้ผู้รับชื่นใจ แต่เมื่อผู้รับบอกว่า การไม่ต้องรับสิ่งใดๆจะชื่นใจและสุขใจมากกว่า เมื่อผู้ที่มีความรักมีศรัทธา ให้ความเมตตากรุณามาแทน วัตถุสิ่งของ จึงเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ ดังพระพุทธวจนะที่ว่า การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง ฉันจึงรับของขวัญที่เป็นธรรมะไว้อย่างมากมาย จากผู้ที่มีความรักและศรัทธาที่เดินทางมาร่วมกันจนล้นวัดพุทธปัญญา

แม้ฉันจะจากวัดพุทธปัญญาไปทำหน้าที่พระธรรมจาริกที่สัญจรไปเพื่อเผยแผ่ธรรมะยังที่ต่างๆหลายที่หลายแห่ง ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป เป็นเวลาหลายเดือน เป็นการจากวัดพุทธปัญญาไปด้วยรัก แต่เมื่อกลับมาเยือนวัดพุทธปัญญาและมลรัฐแคลิฟอร์เนียอีกครั้งตามเสียงนิมนต์เรียกร้องของญาติโยมผู้ร่วมธรรม ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทั้งที่ไทยแลนด์พลาซ่า วัดพุทธปัญญา และกริฟฟิตพาร์ค อันเป็นสถานที่ที่เคยแสดงธรรมมาหลายปี เป็นการยืนยันข้อความหนึ่งที่ได้ยินกันจนคุ้นชินว่า กลับบ้านเรา รักรอยู่ อย่างชัดเจน สัมผัสได้ ด้วยสายตาและจิตใจที่อิ่มเอิบอบอุ่นปีติยินดียิ่งนัก

ปีนี้มีญาติโยมที่คุ้นเคยกัน เข้าข่ายแฟน(ฟังธรรม)พันธุ์แท้ ร่วมสิบคน ได้มาสมาทานศีลแปดเพื่อร่วมกิจกรรมวันคล้ายวันเกิดนี้ด้วยการกระทำความดีอย่างสูงส่งตามแบบของพุทธบริษัท และมีญาติโยมอีกสี่ท่านร่วมงดอาหารหนึ่งวันด้วย นับเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่ได้รับจากสหายร่วมธรรม เพื่อรำลึกถึงวันที่แม่ผู้ให้กำเนิด ต้องเจ็บปวดและเหน็ดเหนื่อย จนไม่เป็นอันรับประทานอะไรได้ และช่วยกันประหยัดทรัพยากรของโลก แม้จะเป็นกิจกรรมเล็กๆของคนกลุ่มเล็กๆ แต่สะท้อนความรักความกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิด และโลกที่ได้อยู่อาศัย อย่างเห็นคุณค่า

เนื่องจากมีผู้มาร่วมงานทั้งที่นอนที่วัดและมาทำบุญในวันอาทิตย์ มากมาย ทุกคนล้วนต้องการฟังธรรม วันนี้จึงต้องแสดงธรรมวันเดียวหกรอบ หกครั้ง เพื่อตอบสนองกุศลเจตนาปรารถนาที่จะฟังธรรมของทุกท่านอย่างทั่วถึง กว่าจะได้เข้านอนก็เป็นเวลา ห้าทุ่มกว่า อาจจะเหนื่อยกายแต่ทว่า ใจเปี่ยมด้วยปีติและสุขยิ่งนัก

การระลึกถึงวันคล้ายวันเกิดปีนี้ยังมีเรื่องราวพิเศษเกิดขึ้นคือ บรรดาญาติโยมชาววัดลอยฟ้าจากประเทศไทยและทั่วโลก ที่เคยสนทนาธรรม หรือ รับธรรมะทูโก ทาง Facebook ได้ส่งคำอวยพรกำลังใจและแรงบันดาลใจในการจาริกประกาศธรรมต่อไปมาอย่างคับคั่งเนืองแน่น

ขอขอบคุณและอนุโมทนามิตรสหายผู้ใคร่ธรรมทั้งหลายที่ได้ส่งคำอวยพรและร่วมปฎิบัติธรรมและเผยแผ่ธรรมเป็นพิเศษในโอกาสอันพิเศษนี้ ขอมวลความดีทั้งหลายที่ได้ร่วมกันกระทำจงนำชีวิตของทุกท่านสู่ความรู้แจ้งเข้าใจในไตรลักษณ์และความจริงของชีวิตจนได้พบความสงบพบความสุขแท้ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อเทอญ

วัดพุทธปัญญา  1157 Indian Hill Blvd. Pomona Ca 91767

4 มกราคม 2554

เวลา 5.44 น.เช้าตรู่

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple