7.ทำบุญ
ั้ ในบรรดาการศึกษาและการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ชาวพุทธมีความคุ้นเคยกับการทำบุญมากที่สุด และในบรรดาการทำบุญ ซึ่งมีอยู่ถึง 10 วิธี การให้ทานเป็นวิธีการทำบุญที่ชาวพุทธถนัดที่สุดและทำกันมากที่สุด ในบรรดาการให้ทานซึ่งมีอยู่ถึงสามวิธีคือ อามิสสทาน การให้สิ่งของ ธรรมทานการให้ธรรม และอภัยทานการให้อภัย แต่การให้อามิสสทาน คือการให้วัตถุสิ่งของ เป็นวิธีการให้ที่ชาวพุทธปฏิบัติกันถนัดที่สุด
เมื่อทำบุญแล้ว ชาวพุทธจำนวนมากเข้าใจต่อไปว่า ผลบุญจะกลายเป็นสมบัติที่จะนำไปใช้จ่ายต่อไปในโลกหน้า ผู้ที่มีความเชื่อและเข้าใจอย่างนี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญโดยวิธีการให้ทานกันอย่างเต็มที่หรืออาจจะใช้สำนวนเจ้าสำนักบางสำนักว่า ทำบุญกันแบบสุดฤทธิ์สุดเดชก็มีอยู่มากมาย
แต่หากพิจารณาถึงเรื่องของบุญตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆแล้วจะพบว่า คำว่า บุญเองก็ดี คำว่า บุญกิริยาวัตถุ หรือวิธีการทำบุญก็ดี ล้วนเป็นคำที่สื่อถึงการปฏิบัติขัดเกลา ทั้งกาย วาจาและใจให้มีความสงบสะอาด พบความโปร่งเบาสบาย คลายทุกข์โศกทั้งปัจจุบันและอนาคต
คำว่า บุญ เมื่อมองให้เป็นเหตุ ก็เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อขจัดความเห็นแก่ตัวออกไปจากกาย วาจาและใจ
เมื่อมองบุญในแง่ของผลจากการปฏิบัติเพื่อขจัดความเห็นแก่ตัว ก็คือ ความ ภาคภูมิใจ ความอิ่มใจ ความสุขใจ ที่เกิดจากการชำระสะสาง ขูดเกลาความเห็นแก่ตัวที่ตนทำไปด้วยความอดทนและเสียสละ
คำว่า ทำบุญ แล้วได้ไปสวรรค์ ก็เป็นคำที่สื่อถึงความสุขที่สัมผัสได้ ทั้งก่อนที่จะตัดสินใจทำบุญ ขณะที่ลงมือทำบุญ และเมื่อทำบุญเสร็จสิ้นไปแล้ว เพราะคำว่าสวรรค์ หมายถึงความอิ่มเอิบทางใจ อันมีผลมาจากความดีที่ตนได้กระทำด้วยความเต็มใจ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ทำบุญแล้ว ย่อมบันเทิง ทั้งในโลกนี้ เมื่อละโลกนี้ไปแล้วก็ยังบันเทิงต่อไป
พระพุทธภาษิตนี้ก็บ่งชี้ว่า การทำบุญนั้นมีผลเป็นความบันเทิงรื่นเริงใจในโลกนี้ก่อน และเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะบันเทิงอีก จุดเน้นของผลบุญจะอยู่ที่ ความบันเทิงใจ หรือความอิ่มใจ ความสบายใจเป็นหลัก
ความอิ่มใจ ความบันเทิงใจ และความสบายใจนี้ เป็นคุณภาพของจิต ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า ชีวิตและทรัพย์สินเงินทองต่างๆจะมีความหมายหรือไม่ หากมีชีวิตอยู่บนกองเงินกองทอง แต่จิตใจห่อเหี่ยวท้อแท้ วิตกกังวล สับสนวุ่นวาย ชีวิตก็ยังหาความสุขไม่พบ
แต่ตรงกันข้ามจะรวยหรือจน ล้วนเป็นสถานะที่สมมติกันภายนอก หากเมื่อใดใจสงบดี กายอยู่ไหนใจอยู่ที่นั้น ไม่สับสน วิตกกังวล และวุ่นวาย แต่สงบเย็น ก็จะพบความสุขได้
จุดนี้แหละที่ต้องการจะสื่อว่า สวรรค์ อยู่ที่จิตอิ่มเอิบ เบิกบาน สงบเย็น เป็นสุขในทุกอิริยาบถ ใจที่มีลักษณะอย่างนี้ อยู่ในโลกนี้ก็เป็นสุข แม้จะไปสู่โลกหน้าก็เป็นสุข คนมีบุญที่แท้ ก็คือคนที่จิตใจสงบเยือกเย็น อิ่มเอิบภูมิใจอยู่กับการกระทำความดีเป็นนิตย์ ไม่ว่าความดีที่กระทำนั้นจะน้อยหรือใหญ่ก็เก็บความภูมิใจได้เท่าๆกัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การสะสมบุญนำความสุขมาให้ หมายความว่า การทำบุญนั้นคือการฝึกฝนกาย วาจา และใจให้สงบเย็นไปทีละนิดทีละหน่อยตามสติกำลัง สะสมความคุ้นเคยด้านนี้ไปเรื่อยๆ ผลที่ตามมาก็คือเป็นคนมีความสุขง่ายๆโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือบำรุงบำเรอความสุขที่มีราคาค่างวดแต่อย่างใด
เมื่อใจหยุดวิ่ง ได้พัก ได้สงบ ก็พบความสุข ทุกครั้งไป จึงไม่จำเป็นต้องวิ่งล่าหาความสุขไปที่ไหน เพราะความสุขแท้อยู่ที่ใจ ที่ติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง เพียงเปิดใจให้พบความสุขเท่านั้น
วิธีการทำบุญที่เป็นการขูดเกลา ขจัดปัดเป่าความเห็นแก่ตัวให้เบาบางจางหายถึงกับหมดไปในที่สุดมี 10ประการคือ
พุทธศาสนิกชนได้ทราบวิธีการทำบุญทั้งสิบประการแล้ว มีความพร้อมหรือสะดวกแบบไหนก็ทำไปแบบนั้น การทำบุญอย่างไหน ถ้าทำด้วยความจริงใจ ตั้งใจเต็มใจก็ล้วนเป็นบุญทั้งนั้น ทำบุญมากเท่าไรความสุขก็เกิดขึ้นมากเท่านั้น ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสะสมบุญนำสุขมาให้
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple