วัดพุทธปัญญา

บทความ\62. ปฏิจจสมุปปบาท

62. ปฏิจจสมุปปบาท

1.

อวิชชา

ลานธรรมวัดพุทธปัญญา เปิดเสวนาทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้าก็ทำวัตรสวดมนต์แปลร่วมกันแล้วฟังธรรม ภาคบ่าย เสวนาเรื่องสุขภาพ กาย ซึ่งในวันที่ 30 กันยายน 2550 คุณหมอเทียนทอง คำพอ เป็นคุณหมอขวัญใจชาวบ้าน จะได้บรรยาย เรื่อง กินอะไรถึงสวย ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป

ฟังคุณหมอบรรยายเรื่องสุขภาพกายเสร็จแล้ว ติดตามมาด้วยเรื่องสุขภาพจิต ด้วยการนำเอาซีดีคำบรรยายของท่านอาจารย์พุทธทาสมาเปิดฟังและนั่งสมาธิกันไปหนึ่งชั่วโมง ใครมีปัญหาอะไรก็เสวนากันต่อ เพื่อให้ลานธรรมแห่งนี้เป็นสถานที่ศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง

อุบาสกท่านหนึ่งตั้งคำถามว่า ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยอธิบายคำว่า อวิชชาอย่างง่ายๆ ที่นำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันให้ฟังสักครั้ง เพื่อจะได้เป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตต่อไป

ประธานลานธรรมขยับจีวร แถลงว่า คำว่า อวิชชา แปลว่า ความไม่รู้

หากจะวิ่งเข้าสู่หัวใจพระพุทธศาสนากันตรงๆชนิดไม่อ้อมค้อมเลยก็จะหมายความถึง ความไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ทางแห่งความดับทุกข์ หรือไม่รู้ทางที่จะป้องกันมิให้ทุกข์เกิด

ความทุกข์ในที่นี้ หมายถึง ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความอึดอัดใจ ความหนักใจ ความระทมใจ ซึ่งเป็นสภาวะที่ทุกคนเคยประสบมาแล้วแต่อดีตและสัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่บางทีอาจจะเคยชินไปเสียแล้ว เวลาเกิดความทุกข์เล็กๆน้อยๆจึงมิได้สังเกต จะรู้สึกเฉพาะทุกข์หนักๆเช่น ทุกข์เกิดจาก การพลัดพรากจากบุคคล หรือวัตถุ สิ่งของ ทรัพย์สมบัติ อันเป็นที่รัก ที่ชอบใจ หรือ เวลาปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา ก็ล้วนเป็นทุกข์ที่สัมผัสได้

นอกจากนั้นความทุกข์ที่เกิดจากความไม่พอใจแม้เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นรถติดไฟแดง บ่อยๆทั้งๆที่อยากไปถึงจุดหมายเร็วๆ ก็มิค่อยได้สังเกตนัก บางทีแม้ความทุกข์หนักๆที่ตนได้รับก็ไม่รู้ตัวว่า มันเป็นทุกข์ ไม่เคยให้ความสนใจ จึงไม่รู้จักว่า ทุกข์เป็นอย่างไร

ความไม่รู้จัก ความไม่สนใจว่า ทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ เรียกว่า อวิชชา

ความไม่รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ก็เป็น อวิชชา อย่างหนึ่ง เวลาเป็นทุกข์ บางคนแสวงหาเหตุแห่งทุกข์ว่า มาจากไหน มาอย่างไร แต่บางคนนอกจากไม่แสวงหาเหตุแล้ว หรือยังเข้าใจเหตุแห่งความทุกข์ผิดที่ผิดทาง เช่นเข้าใจผิดว่า ความทุกข์เกิดจากดวงไม่ดี ไม่มีใครรู้ว่า ดวงคืออะไร อยู่ที่ไหน ให้คุณให้โทษแก่ชีวิตอย่างไร แต่คาดคะเนกันไป

บางคนเข้าใจว่า ความทุกข์มาจากพระพรหมลิขิตมาสมบูรณ์แล้ว แก้ไขไม่ได้ ก็ปล่อยเลยตามเลย ส่วนคนที่เข้าใจว่า ความทุกข์ที่เกิดจากดวงไม่ดีนั้นแก้ให้ดีได้ จึงมีคนสถาปนาตัวเองเป็นนักแก้ดวง เมื่อไม่รู้ความจริง ก็ถูกต้มถูกตุ๋นกันไป แก้ดวงเท่าไรความทุกข์ไม่ลดลง นี้คือไม่รู้ว่าเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างไร ก็นับเป็น อวิชชา อีกประเภทหนึ่ง

ความไม่รู้ถึงความไม่เกิดแห่งทุกข์ ความทุกข์นั้นแท้จริงอยู่ในกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป แต่เมื่อใจว่างจากความทุกข์ ปลอดทุกข์ ไม่มีทุกข์ สงบเย็นตามธรรมชาติก็มิได้สังเกต จึงเข้าใจผิดอยู่เสมอว่าเกิดมาชาตินี้ต้องทนทุกข์ทรมานไปทั้งชาติ ทั้งๆที่ความทุกข์มิได้จับอยู่ที่ขั้วหัวใจตลอดเวลา เมื่อไม่รู้ว่า ความว่างแห่งกิเลสเป็นอย่างไร จิตใจเบาโล่งโปร่งสบายเป็นอย่างไร นี้ ก็นับเป็น อวิชชา อีกอย่างหนึ่งคือไม่รู้ ความไม่เกิด แห่งทุกข์

เมื่อไม่เข้าใจว่า ทุกข์ คือ อะไร เหตุแห่งทุกข์คืออะไร ความไม่ทุกข์มีหรือไม่ จึงไม่ทราบถึงทางเดินไปสู่ความไม่ปรากฏแห่งทุกข์เช่นกัน

วิธีปฏิบัติเพื่อลด อวิชชา คือ การเจริญสัมมาสติ ความรู้สึกตัว ในฝ่ายมิให้ความทุกข์เกิด มองดูจิตตามที่เป็นจริงอย่าสม่ำเสมอ เวลาที่เป็นทุกข์ก็อย่าลืมมองเข้าไปสัมผัสรสชาติของมัน ว่า เป็นอย่างไร ตั้งอยู่นานแค่ไหน มองดูสาเหตุแห่งทุกข์นั้นว่า มาจากไหน และเมื่อเวลาทุกข์ผ่านพ้นไปก็อย่าลืมเฝ้าดูว่า ขณะนั้นจิตเป็นอย่างไร และจุดเริ่มต้นที่จะเดินไปสู่ความไม่มีทุกข์คือ ความเข้าใจตามความเป็นจริงชัดๆว่าอะไรเป็นอะไร ผ่านประสบการณ์ตรงที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิอันเป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งความไม่ทุกข์

สัมมาสติ สัมมาทิฎฐิ และสัมมัปปัญญา จึงเป็นธรรมะฝ่ายสว่าง อยู่ตรงกันข้ามกับความมืด เมื่อแสงสว่างปรากฏ ความมืดหายไปฉันใด เมื่อสัมมาสติ สัมมาทิฎฐิ และสัมมัปปัญญา ปรากฏ อวิชชาก็หายไปฉันนั้น

2

สังขาร

สุภาพบุรุษท่านหนึ่ง มาทำบุญที่วัดพุทธปัญญาสองครั้งแล้ว ได้เล่าให้ฟังว่า รู้จักวัดพุทธปัญญา ด้วยการแนะนำของเพื่อนๆ ผู้ใฝ่ธรรมว่า หากต้องการศึกษาธรรมะชนิดที่เจ้าอาวาสมีเวลาให้เต็มร้อยแล้วละก็ไปวัดพุทธปัญญาซิ เลยตัดสินใจมาทดลองดู เมื่อมาแล้วก็ขอถามปัญหาธรรมะสักข้อว่า สังขาร แปลว่าอะไร หมายความว่า อย่างไรครับ

ท่านเจ้าอาวาสจึงตอบว่า คำว่า สังขาร แปลว่า การผสม การปรุงแต่ง การสร้าง ความนึกคิดต่างๆ ทั้งดี ไม่ดี หรือ เป็นกลางๆ ก็เรียกว่า สังขาร

ร่างกายของเราทุกคนก็เรียกว่า สังขาร ปรุงแต่ขึ้นมาจาก ธาตุสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม

หากสังเกตกว้างๆก็จะเห็นได้เลยว่า ธาตุดิน คือ สิ่งที่มีลักษณะแค่นแข็ง จับต้องได้ตามที่ปรากฏชัดออกมาทาง ผม ขน เล็บ ฟัน และหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ลำไส้ ตับ ปอด หัวใจ พังผืด ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หรือสิ่งอื่นๆที่เห็นหรือจับต้องได้

ธาตุน้ำ มีลักษณะเอิบอาบ ซึมซาบแสดงตนออกมาชัดๆทาง น้ำลาย น้ำมูก น้ำตา เลือด น้ำเหลือง เป็นต้น

ธาตุไฟ ปรากฏออกมาเป็นความอบอุ่นของร่างกาย ที่เราสามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นนี้ได้ทางผิวหนัง หรือหากต้องการจะสัมผัสความอุ่นกันชัดๆก็ใช้ฝ่ามือแตะแถวซอกคอ ก็จะได้สัมผัสกับธาตุไฟที่เข้าไปทำหน้าที่ร่วมกันกับธาตุอื่นๆปรุงแต่งร่างกายตามกฎของธรรมชาติ

ธาตุลม ปรากฏได้ ทางลมหายใจออกเข้า ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญชนิดที่ว่า ขาดลมหายใจเมื่อไรก็สิ้นใจเมื่อนั้น

การแยกแยะอย่างนี้เป็นการแยกแยะให้เห็นแบบหยาบๆ ความจริงแล้วในอวัยวะทุกส่วนของร่างกายแม้ชิ้นเล็กๆเช่น ผมหรือขนหนึ่งเส้น ล้วนมีธาตุสี่ประกอบกันเข้าอย่างครบถ้วน

ชีวิตของคนและสัตว์ตลอดถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมเรียกว่า อุปาทินกสังขาร แปลว่า สังขารที่มีใจครอบครอง

บ้านเรือน สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ยวดยานพาหนะ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว แม่น้ำลำคลอง ทะเล มหาสมุทร ล้วนเป็นสังขาร ที่เรียกว่า อนุปาทินกสังขาร แปว่า สังขารที่ไม่มีใจครอง

สาเหตุที่เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า สังขาร เพราะปรากฏขึ้นมาจากการวมตัวของธาตุหรือสิ่งต่างๆที่นำมาประกอบกันเข้า หรือ ประกอบขึ้นมาตามกฎของธรรมชาติทั้งสิ้น

คำว่า ธรรมชาติ แปลตรงตัวว่า เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย กล่าวคือ สิ่งต่างๆล้วนเกิดขึ้นมาเพราะมีเหตุให้เกิด จะเสื่อมสลายหรือดับไปก็เพราะมีเหตุให้เสื่อมสลายหรือดับไป

สังขาร ทั้งที่มีใจครอง และสังขารที่ไม่มีใจครองที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ เป็นสังขารฝ่ายรูปธรรม

ส่วนสังขารฝ่ายนามธรรมคือ ความคิด แบ่งเป็นสามกลุ่มคือ คิดดี คิดชั่ว คิด กลางๆระหว่างดีกับชั่ว เช่น เดินเข้าไปเที่ยวในสวนสาธารณะเห็นกระรอกวิ่งผ่าน คนที่ชอบกระรอกก็จะคิดว่า แหมกระรอกตัวนี้น่ารักจริงๆ มาเที่ยววันหลังจะเอาผลไม้มาฝาก

ความคิดที่ว่า จะเอาผลไม้มากฝาก เป็นสังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากกุศล หรือ เป็นสังขารฝ่ายดี เพราะ เป็นความคิดที่ดี

อีกคนหนึ่ง เดินทางไปเที่ยวในสวนสาธารณะแห่งเดียวกัน พอเห็นกระรอกวิ่งผ่าน ก็คิดไปว่า แหมกระรอกตัวนี้อ้วนดี น่าจะนำไปทำกระรอกย่าง วันหลังจะนำหนังสติ๊กมาด้วย

ความคิดที่ว่า น่าจะนำไปย่าง และวันหลังจะนำหนังสติ๊กมาด้วยนั้น เป็นสังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากอกุศล อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย นับเป็นสังขารฝ่ายชั่ว

อีกคนหนึ่งเดินเข้าไปเที่ยวในสวนเดียวกันเห็นกระรอกตัวเดียวกัน แต่ไม่ให้ความสนใจเลยเดินผ่านไปเฉยๆไม่คิดดีหรือไม่คิดชั่วกับกระรอกตัวนั้น เพียงรู้ชัดเจนว่า กระรอกตัวนั้นมีรูปพรรณสันฐานอย่างไรครบถ้วน นี้จัดเข้าในสังขารที่เป็นกลางๆ ไม่ถูกความชั่วปรุงแต่งไปในทางชั่ว ไม่ถูกความดีปรุงแต่งไปทางดี รู้แล้วผ่านไปไม่ติดใจ ไม่ประทับใจ ไม่มีความชอบหรือชังแต่ประการใด

ความเห็นอย่างนี้แหละเข้ากับกฎธรรมชาติว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเกิดขึ้นแล้วดับไป ตามสำนวนชาววัดว่า เห็นสักว่าเห็น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งหรือแบกยึด ทุกอย่างก็ไหลเรื่อยไปไม่ถ่วงใจให้หนัก หรือยุ่งยากเกะกะแต่ประการใดเลย

3

วิญญาณ

ลานธรรมวัดพุทธปัญญา เปิดทุกวันอาทิตย์ เพื่อเสวนาเรื่องพระพุทธศาสนาในแง่มุมต่างๆอย่างทั่วถึงแบบเจาะลึก การได้สนทนาธรรมตามกาลเวลาที่เหมาะสมเป็นการอบรมจิตให้ได้ประจักษ์ชัดสัจธรรมอีกทางหนึ่ง

อุบาสิกาท่านหนึ่งได้กรุณาตั้งคำถามว่า วิญญาณ มีจริงหรือไม่ อยู่ที่ไหน

ประธานลานธรรมได้ขยับจีวรแล้วตอบคำถามแรกว่า วิญญาณ มีจริง และอธิบายเพิ่มเติมว่า คำว่า วิญญาณ แปลว่า การรับรู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ

เมื่อตาเห็นรูป หู ฟังเสียง จมูก ดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส กาย ถูกต้องสัมผัส จิตใจ รับธรรมารมณ์ แล้วรับรู้ได้ ว่า เป็นอะไร สิ่งที่ตาเห็นนั้นเป็นอะไร หูได้ยินนั้นเป็นเสียงอะไร สิ่งที่จมูกดมนั้น เป็นกลิ่นอะไร สิ่งที่ลิ้นได้ลิ้มนั้นเป็น รสอะไร สิ่งที่กายได้ถูกต้องสัมผัสนั้นเป็นสัมผัสอย่างไร หนาวหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง สิ่งที่จิตใจกำลังนำมาคิดนั้นเรื่องอะไร การรับรู้ในแต่ละช่องทาง ที่เรียกภาษาธรรมะว่า ทวารนั้น ล้วนเป็นวิญญาณ

วิญญาณ จะเกิดขึ้นทุกครั้ง ที่อายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ทำปฏิกิริยากับอายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส การสัมผัสทางกาย และธัมมารมณ์)

หากเข้าใจกระบวนการนี้ได้อย่างแจ่มแจ้งก็สามารถตอบคำถามแรกที่ถามว่า วิญญาณมีจริงหรือไม่ ได้ว่า วิญญาณมีจริง ทุกคนสามารถสัมผัสและรับรู้ได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

วิญญาณอยู่ที่ไหน ก็สามารถตอบได้ว่า อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

ตามหลักพระพุทธศาสนา วิญญาณ เป็น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป อยู่ตลอดเวลา จึงมิได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นการแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ อายตนะภายใน( ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ)ทำหน้าที่ปฏิสัมพันธ์กับอายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธัมมารมณ์)

พระพุทธเจ้าตรัสว่า วิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นแล้วดับไป วิญญาณต้องอิงอาศัยสิ่งอื่นเกิดขึ้น มิได้ตั้งอยู่อย่างอิสระ พระองค์ทรงเปรียบวิญญาณคล้ายไฟ เช่นเวลาไฟไหม้หญ้า ก็เรียกว่า ไฟหญ้า ไฟไหม้ไม้ฟืนก็เรียกว่าไฟฟืน ไฟไหม้ถ่านก็เรียกว่า ไฟถ่าน วิญญาณ มิได้สถิตอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเป็นการถาวร เมื่อเกิดที่ตา เรียกว่า จักขุวิญญาณ เกิดที่หูเรียกว่า โสตวิญญาณ เกิดที่จมูกเรียกว่า ฆานวิญญาณ เกิดที่ลิ้นเรียกว่า ชิวหาวิญญาณ เกิดที่ ผิวหนังเรียกว่า กายวิญญาณ เกิดที่ใจเรียกว่า มโนวิญญาณ วิญญาณที่เกิดที่ใจนี้คือ เวลาที่อายตนะส่วนอื่นมิได้ทำหน้าที่ เช่นเวลาที่เราเข้านอนแล้ว หลับตาลงไปไม่ได้เห็นไม่ได้ยินอะไร แต่ก็นำเอาเรื่องในอดีตมาบ้าง ปรุงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตขึ้นมาบ้าง บางครั้งคิดมากจนนอนไม่หลับ เรื่องที่นำมานั้นเป็นมโนภาพที่ปรากฏแจ่มชัด มีรูปนามอยู่ในมโนภาพนั้นอีกชั้นหนึ่งอย่างครบถ้วน

วิญญาณเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทำงานทางจิต อันเป็นปัจจัยสำคัญแห่งการดำรงอยู่แห่งชีวิต ซึ่งประกอบไปด้วย เวทนา ความรู้สึก สัญญาความรู้จำ และสังขารการปรุงแต่ง ที่ทำงานเชื่อมโยงกันตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปปบาท ซึ่งแปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้น

ความเข้าใจกระบวนการเกิดขึ้นของนามธรรมเหล่านี้ เป็นการเข้าใจแก่นแท้ของชีวิตและแก่นธรรมพร้อมๆกันไป เพราะเข้าใจกระบวนการเกิดและไม่เกิดแห่งทุกข์มีความยิ่งใหญ่จนพระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปปบาทผู้นั้นเห็นตถาคตทีเดียว

 

4

นามรูป

อุบาสกและอุบาสิกาคู่หนึ่ง เดินทางมาเยี่ยมลานธรรมวัดพุทธปัญญา เนื่องจากได้อ่านข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ โดยเฉพาะได้ติดตามการตอบปัญหาธรรมะที่ลานธรรมแล้วอยากจะมาสนทนาอย่างใกล้ชิดสักครั้ง เมื่อมาถึงแล้วบรรยากาศดีมากอากาศไม่ร้อนไม่หนาวนัก จึงเริ่มสนทนาธรรมด้วยการตั้งปัญหาเรื่อง นามรูป ว่า ท่านอาจารย์ครับ กระผมศึกษาธรรมะมาไม่นานนัก ยังแยกรูปและนามไม่ออก ขอความกรุณา ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

ท่านประธานลานธรรมจึงเริ่มต้นว่า ความจริง นาม กับ รูป จะทำงานสัมพันธ์กันชนิดแยกจากกันไม่ได้เลย เช่น ตาเห็นรูป ตาเป็นรูป รูปเป็นรูป แต่การรับ รู้ว่า สิ่งที่เห็นนั้น เป็นอะไร เป็นการทำหน้าที่ของวิญญาณ เป็นนาม หรือพูดสั้นๆในวงการธรรมะว่า เห็นเป็นรูป รู้เป็นนาม หูกับเสียงเป็นรูป การรับ รู้ว่า เป็นเสียงอะไร เป็นนาม นี้คือตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างรูปและนามที่แสนจะใกล้ชิด ชนิดไม่มีอะไรจะมาแยกให้จากกันได้นอกจากความตายเท่านั้น

อุบาสกถามต่อไปว่า ถ้าจะให้คำจำกัดความกันชัดๆละครับว่า รูปคืออะไร นามคืออะไร จะทำให้การศึกษาธรรมะชัดเจนขึ้นหรือไม่ครับ

ท่านประธานลานธรรมตอบว่า จริงอย่างคุณโยมแนะนำนั่นแหละ ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะลองจำกัดความดูนะว่า ชัดดีไหม

สิ่งที่รับรู้สัมผัสได้ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกว่า รูป เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก โต๊ะ เก้าอี้ หม้อ กระทะ ตะหลิว รถยนต์ รถจักรยาน ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ท้องฟ้า ทะเล แม่น้ำ ฟ้าร้องฟ้าแลบ เสียงดนตรี เสียงด่า ล้วนเป็นรูปทั้งสิ้น

สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ เช่น รัก โลภ โกรธ เกลียด ชัง อิจฉา ริษยา ระทม หนักใจ อึกอัดใจ เรียกว่า นาม

หรืออาจจะเรียกสั้นๆว่า กายกับจิต

การศึกษาธรรมะในทางพระพุทธศาสนาก็เริ่มต้นที่การทำความเข้าใจเรื่องนามรูป ความเคลื่อนไหวของนามรูป นามเคลื่อนที่ไปได้เร็วกว่า รูป เช่น นามคิดว่าจะไปวัด นั่นหมายความว่า นามได้ไปถึงวัดแล้ว แต่รูปยังอยู่ที่บ้าน บางคนอ้วนถ้วนสมบูรณ์สุขภาพฝ่ายรูปอยู่ในขั้นดี แต่สุขภาพฝ่ายนาม กำลังแย่ เช่น เวลารถติดบนถนน รูปนั่งอยู่บนรถแต่นามออกมาวิ่งรอบๆรถ หรือล่วงหน้าไปบ้าน ไปโน้นไปนี้ กลับมาดูอีกที ร้องอ้าวรูปไม่ไปไหนสักที นามก็เลยรับทุกข์แทนใหญ่เลย

ความต้องการของรูปมีจำกัด เช่นการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ กระเพาะเป็นรูป บรรจุได้ไม่มากนัก แล้วปล่อยให้ย่อยไปตามกฎธรรมชาติ แต่ความต้องการของนามไม่มีที่สิ้นสุด แม้รูปจะต้องการอาหารวันละสามมื้อ แต่ความต้องการของนามไม่จำกัด อยากได้เงินมาเก็บไว้สักสี่ห้าพันล้าน เมื่อได้เงินมาสี่ห้าพันล้านก็ยังไม่พอ ต้องการเป็นหมื่นล้าน ต้องการสิ่งนั้น สิ่งนี้ที่เป็นเหตุให้เป็นทุกข์ วิตกกังวล เป็นความทุกข์ที่ตั้งต้นจากนาม แล้วแสดงออกมาทางรูป

เช่นเวลาที่ใครคนใดคนหนึ่งตะโกนด่าใครคนใดคนหนึ่ง ไฟโกรธไหม้ที่นามแล้วลามมาทางรูป เช่น แสดงความโกรธออกทางสีหน้าท่าทาง เข้าใจง่ายๆว่า นามเป็นผู้สั่งการสั่ง รูปสนองงาน หรือใจเป็นนาย กาย เป็นบ่าวนั่นเอง

การฝึกฝนเพื่อให้กายกับจิตมีความสมบูรณ์เพื่อการเข้าถึงความเป็นมนุษย์ที่แท้จึงต้องฝึกกันทั้งสองทางคือ ฝึกทั้งกาย คือรูป และ นาม ควบคู่กันไป เพราะเมื่อใดสุขภาพกายดีและสุขภาพจิตดี ชีวีก็เป็นสุขจริงไหม

อุบาสกและอุบาสิกาต่างพนมมือขึ้นแล้วรับพร้อมกันว่า เข้าใจแจ่มแจ้งเสียที มืดมานานแล้ว คราวนี้ต้องสว่างไปแน่ๆ

การสนทนาก็ต้องจบลงเพราะผู้ใฝ่ธรรมเข้าใจ เรื่องที่ต้องการเรียนรู้แล้ว นับเป็นการเดินเข้าวัดอย่างมีเป้าหมาย พระสงฆ์ก็แสนจะขอบใจเพราะเมื่อมีคนเข้าวัดฟังธรรมพระสงฆ์ได้ทำหน้าที่สอนธรรมะ การสอนธรรมะก็เป็นการทำบุญที่สำคัญในบุญกิริยาวัตถุสิบ ที่เรียกว่า ธัมมัสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม หรือ ในมงคลสูตรพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า การสนทนาธรรม ตามเวลาที่เหมาะสม เป็นมงคลอันสูงสุด ผู้ใดต้องการมงคลแบบพุทธศาสนาไม่ต้องตะลอนไปทำพิธีที่ไหนไกล ให้เสียเงินเสียทองอีกมากมาย แค่มาสนทนาธรรมอย่างเดียวก็ได้บุญและมงคลชีวิตในตัวทันที

 

5

อายตนะ รอยต่อ หรือบ่อเกิด

สมาชิกลานธรรมแห่งวัดพุทธปัญญา ได้ประชุมกันตามปกติที่ลานธรรมใต้ต้นโอ๊คใหญ่ ที่ใครๆก็ชื่นชมว่า เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาได้กว้างขวาง ร่มเย็นทุกฤดูกาล พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนได้อาศัยร่มเงาแห่งนี้ฟังธรรม สนทนาธรรมมาเป็นเวลาหลายปี และจะต้องขออาศัยพึ่งพาต้นโอ๊คแห่งนี้ต่อไป ทุกครั้งที่นั่งใต้ต้นไม้ใจจะได้เข้าถึงพุทธานุสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าทรงใกล้ชิดธรรมชาติที่สุดตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ ประสูติใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ และเสด็จดับขันธปรินิพพานใต้ต้นไม้ การนั่งใต้ต้นไม้ คือ การนั่งใกล้อาสนะของพระพุทธเจ้า

เมื่อสมาชิกลานธรรมได้ประชุมกันแล้ว อุบาสกท่านหนึ่งรายงานตัวว่า เพิ่งมาวัดเป็นครั้งแรก เดินทางมาจากทาง นอร์ทฮอลลิวูด ตั้งคำถามว่า คำว่าอายตนะหมายความว่าอย่างไร เวลาศึกษาธรรมะจากหนังสือก็ดี จากคำบรรยายธรรมก็ดี พระสงฆ์มักจะใช้คำว่า อายตนะภายนอก อายตนะภายในมาประกอบคำบรรยายอยู่เสมอ

ประธานลานธรรมได้ตอบว่า คำว่า อายตนะ อ่านว่า อา-ยะ-ตะ-นะ- แปลว่า รอยต่อหรือบ่อเกิด

อายตนะแบ่งเป็นสองอย่างคือ อายตนะภายในประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

อายตนะภายนอกประกอบด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์

อายตนะภายในและอายตนะภายนอกมีฝ่ายละหกประการเรียกว่า สฬายตนะ มาจากรากศัพท์ว่า ฉ อ่านว่า ฉะ แปลว่า หก

อายตนะ แปลว่ารอยต่อหรือบ่อเกิด

เมื่อนำมาสนธิกันตามหลักไวยากรณ์ สำเร็จเป็นรูปศัพท์ว่า สฬายตนะ เปลี่ยน ส เป็นฉ เวลาอ่านภาษาบาลีจะไม่มีรูปสระอะ แต่เวลาอ่านต้องออกเสียงเป็นสระ อะเช่น ฉ อ่านว่า ฉะ ส อ่านว่า สะ

อายตนะ ที่แปลว่า รอยต่อ เพราะเป็นที่พบปะหรือจุดเชื่อมระหว่างอายตนะภายในและอายตนะภายนอก คือ ตา เห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสิ่งที่มากระทบ จิตใจรับธรรมารมณ์

อายตนะที่แปลว่า บ่อเกิด หรือแหล่งกำเนิด คือเกิดกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปปบาทคือ วิณญาณ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศกา อาดูร

วิญญาณ หนึ่งในกระบวนการปฏิจจสมุปปบาท เกิด ณ ที่นี้ ผัสสะอันเป็นประตูสู่ทุกข์หรือไม่ทุกข์ก็เกิดตรงนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ผัสสะนั้นประกอบด้วยอะไร ถ้าผัสสะประกอบด้วย สติ จะนำตัวรู้เข้าสู่องค์มรรคที่นำไปสู่ความไม่ทุกข์ แต่ถ้าเผลอสติ มีอวิชชานำหน้า กิเลสต่างๆก็จะเกิดตามมา เป็นที่มาแห่งความทุกข์

พุทธศาสนิกชนที่ได้สดับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า ความทุกข์จะเกิด ก็เกิดที่อายตนะตรงนี้ จะไม่เกิด ก็ไม่เกิดตรงนี้ จึงพากันเจริญสติ เพื่อให้การกระทบทุกครั้งเปี่ยมด้วยพลังแห่งสติอันจะนำไปสู่ความถูกต้องทั้งปวงอันประกอบไปด้วย ความเห็นถูกต้อง ความดำริถูกต้อง การพูดจาถูกต้อง การทำงานถูกต้อง การประกอบอาชีพที่ถูกต้อง ความพากเพียรที่ถูกต้อง การวางสติไว้อย่างถูกต้อง ความตั้งใจไว้อย่างถูกต้อง อันเป็นเส้นทางปลอดทุกข์ ที่พระบรมศาสดา ทรงประทานแก่ผู้ปรารถนาที่จะเดินออกไปจากความทุกข์ทั้งปวง

อายตนะจึงเป็นรากฐานสำคัญในการศึกษาพระพุทธศาสนาเพราะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการรับรู้ที่จะเปิดประตูสู่ความทุกข์หรือความไม่ทุกข์ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสรุปหลักพุทธธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนตลอดเวลาว่า ในอดีตก็ตาม ปัจจุบันก็ตาม อนาคตก็ตาม ตถาคตจะตรัสเฉพาะเรื่อง ทุกข์กับเรื่องไม่ทุกข์เท่านั้น ผู้ใดสนใจเรื่องทุกข์กับเรื่องไม่ทุกข์จึงได้ชื่อว่าสนใจหัวใจของพระพุทธศาสนาทีเดียว

6

ผัสสะ ประตูสู่ ทุกข์ หรือไม่ทุกข์

ลานธรรมวัดพุทธปัญญา มีประชาชนมาร่วมชุมนุมสนทนาธรรมกันไม่ได้ขาด อุบาสกท่านหนึ่งตั้งปัญหาถามว่า คำว่า ผัสสะ หมายความว่าอย่างไร มีความสัมพันธ์กับชีวิตอย่างไร เวลาศึกษาธรรมะจากพระเถรานุเถระจะได้ยินท่านพูดถึงกันบ่อยๆ เสมือนเป็นกุญแจไขธรรมเลยทีเดียว

ประธานลานธรรม ได้ตอบให้อุบาสกฟังว่า ผัสสะ คือ การรับรู้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ในกระบวนการ อิทัปปัจจยตา ที่ทำปฏิกิริยา สำเร็จลงแล้ว

อุบาสกยกมือขึ้นขอให้หยุดก่อน เพราะมีประเด็นใหม่ที่แทรกเข้ามา หากปล่อยไว้จะยิ่งพากันงงเป็นการใหญ่ต่อไปอีกนาน ขอถามว่า อิทัปปัจยตา นั้น คืออะไรก่อน แล้วค่อยอธิบาย ผัสสะ ต่อไป

คำว่า อิทัปปัจยตา แปลตรงตัวว่า อาศัยกันและกัน กล่าวคือ การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆทั้งรูปธรรมที่สัมผัสได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น และ กาย แหละนามธรรมที่สัมผัสได้ด้วยใจ ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆจึงปรากฏหรือเกิดขึ้นได้

คราวนี้กลับมาหาผัสสะต่อ ผัสสะ คือการรับรู้ ที่สำเร็จมาจากผลรวมแห่ง อายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์) กับอายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ทำปฏิกิริยากัน เกิดผลเป็น วิญญาณ คือ การรับรู้

เมื่ออายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณทำปฏิกิริยาต่อกันอีก จึงเกิดผลเป็นผัสสะ คือ การรับรู้ที่สำเร็จ

ตัวอย่างเช่น ตา เป็นอายตนะภายใน เห็นดอกไม้ ซึ่งเป็นรูป และเป็นอายตนะภายนอก ก็รับรู้ว่า เป็นดอกไม้ การมองเห็นแล้วรับรู้ชัดๆว่า อะไร เป็นอะไร นั่นแหละเรียกว่า ผัสสะ

จุดนี้แหละ เป็นจุดเริ่มต้นของการรับรู้ และตามมา ด้วยความชอบ ชัง และเฉยๆ

อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น ได้ยินเสียงด่า เมื่อ เสียงด่ามากระทบหู เกิดวิญญาณ รับรู้ชัดว่า เป็นเสียงด่า ความไม่พอใจ หรือความชังตามมา เพราะมั่นหมายว่า เป็นเสียงด่า เกิดตัวกู มารองรับเสียงด่านั้นว่า มึงด่ากู ตัวกูเกิดมาแล้ว เกิดมาเพื่อรับความทุกข์อันเกิดจากความชังนั้น เกิดตัวกูทันที ทุกข์เกิดทันที

ในทางตรงกันข้าม หากเสียงที่มากระทบหูนั้น เป็นเสียงชื่นชม ตามกระบวนการที่ว่า หูเป็นอายตนะภายใน เสียงเป็นอายตนะภายนอก มากระทบกันเกิดวิญญาณการรับรู้ เมื่อรับรู้ว่า เป็นเสียงชม สำคัญมั่นหมายว่า เขาชม ก็เกิดตัวกูขึ้นมารับคำชมนั้น การเกิดตัวกูครั้งนี้ เป็นการเกิดตัวกูด้วยความปลาบปลื้ม

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ผัสสายตนิกานรก คือ ความเร้าร้อนที่เกิดจากผัสสะ และผัสสายตนิกาสวรรค์ คือ ความปลาบปลื้มยินดี อันตถาคตเห็นแล้ว

จากตัวอย่างนี้ การเกิดตัวกูขึ้นมารองรับ ความไม่พอใจ คือ การเกิดในนรก จิตใจจะเร่าร้อนอึดอัดขัดเคือง อยากทำร้าย ทำลายเจ้าของเสียงด่า ความเร่าร้อนที่จะทำลาย ผลักใสไล่ส่ง มีอยู่ตราบใด นรก ก็มีอยู่ตราบนั้น นี้แหละที่โบราณสอนต่อๆกันมาว่า นรกในใจ มันมีกระบวนการเกิดและเผาลนจิตใจอย่างนี้

ในทางตรงกันข้าม หากเสียงที่มากระทบหูนั้นเป็นเสียงสรรเสริญ วิญญาณรับรู้ว่า เป็นเสียงสรรเสริญ เกิดผัสสะ มีความพอใจว่า เขาสรรเสริญ ตัวกูก็เกิดมารับเสียงสรรเสริญนั้น เป็นตัวกูที่เกิดมาด้วยความปลาบปลื้ม การเกิดคราวนั้น คือ การเกิดในสวรรค์ เป็นสวรรค์ที่นี่เดี๋ยวนี้ ที่โบราณสอนต่อๆกันมาว่า สวรรค์อยู่ในอก เพราะปลาบปลื้มเต็มอกเสมือนหน้าอกพองโตขึ้นกว่า ปกติเมื่อได้รับเสียงสรรเสริญเยินยอ

หากยึดติดอยู่กับความปลาบปลื้มจากเสียงสรรเสริญ นานๆเข้า ก็อยากได้ฟังเสียงสรรเสริญนั้นอีกเพราะฟังแล้วปลื้มดี ก็แสวงหาเสียงสรรเสริญทุกวิถีทาง หากเสียงสรรเสริญนั้นหายไป ใจที่เคยปลาบปลื้มเป็นสวรรค์ ก็ห่อเหี่ยวเป็นนรกไปในบัดดล

สวรรค์กับนรกจึงอยู่ใกล้กันชั่วลัดนิ้วมือเดียว มีสะพานเชื่อมต่อถึงกันอย่างเหนียวแน่นที่ชื่อว่า สะพานแห่งความชอบชัง

ในกรณีเดียวกันนี้ หากผู้ที่รับเสียงด่านั้น ได้ฝึกสติมาอย่างดีด้วยอานาปานสติ หรือสติปัฏฐานที่ละเอียดลออพอเพียง เมื่อรับรู้เสียงด่า จากกระบวนการแห่งอายตนะภายนอก อายตนะภายในและวิญญาณทำงานร่วมกัน แล้วเกิดผัสสะ รู้ดีว่า เป็นเสียงด่า วางสติดักไว้ได้ทัน จิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหว เป็นสมาธิ เกิดปัญญาว่า เสียงที่มากระทบนั้น เป็นสักว่า ธาตุ ที่ทำปฏิกิริยากันตามธรรมชาติ ตกอยู่ภายใต้กฎแห่ง อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ผ่านมาแล้วผ่านไป

พิจารณาต่อไปว่า เสียงสรรเสริญ ก็ผ่านมาแล้วผ่านไป เสียงนินทาเสียงด่าว่า ก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เกิดปัญญาสว่างไสวขึ้นมาทดแทน ตัวกู ที่เกิดขึ้นมาจากอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน

การผัสสะที่มีปัญญามากำกับคราวนั้นก็ เป็นผัสสะโดยธรรม ใจอยู่ในธรรมจึงปลอดทุกข์

นี่คืออำนาจของผัสสะที่จะทำให้มนุษย์อยู่อย่างมีความทุกข์หรือไม่ทุกข์ได้ หลวงพ่อพุทธทาสได้ให้คติธรรมไว้ว่า ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เรื่องผัสสะ ความทุกข์เกิดไม่ได้ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ คือ มีสติเฝ้าระวังเปลี่ยนทางจากกิเลสเป็นธรรมให้ทันท่วงที เป็นธรรมชีวี มีธรรมะเป็นที่พึ่งดังคำปฏิญญาณที่ว่า ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ นั่นเอง

ผัสสะ จึงเป็นประตูสู่ความทุกข์หรือความไม่ทุกข์ก็ได้ ทั้งนี้อยู่ที่ว่าจะจับเส้นทางแห่ง สัญชาตญาณ หรือโพธิญาณ อันเป็นทางที่พระพุทธเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ ด้วยพระมหากรุณาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณนั่นเอง

7

เวทนา : ดี ไม่ดี ชอบ เฉย ชัง

ลานธรรมวัดพุทธปัญญา ยังคงเดินหน้าเปิดสนทนาเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ในทุกฤดูกาล แม้ว่าฤดูหนาว ที่แสนจะหนาวเหน็บมาเยือนอีกครั้ง ชาววัดพุทธปัญญาที่มีจิตใฝ่ธรรมก็ยังคงปักหลัก ฟังธรรมสนทนาธรรมกันไม่ถอย นับเป็นที่น่าอนุโมทนายิ่งนัก

อุบาสกขาประจำท่านหนึ่งตั้งคำถามว่า ท่านอาจารย์ครับ คำว่า เวทนาในในภาษาธรรมะหมายความว่าอย่างไร

ประธานลานธรรมขยับจีวรให้เข้าที่แล้วตอบว่า คำว่า เวทนา หมายถึง ความรู้สึก ที่มนุษย์เรารู้สึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปมาคือ ดี ไม่ดี ชอบ ชัง และเฉย

เวทนา เป็นความรู้สึกที่สืบเนื่องมาจากผัสสะ อันประกอบไปด้วย อายตนะภายใน อายตนะภายนอกและวิญญาณมาทำงานร่วมกัน

ความรู้สึกชอบใจเกิดขึ้น เมื่อ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส จิตใจรับธรรมารมณ์

ความรู้สึกชังเกิดขึ้น เมื่อ ตา เห็นรูป หู ฟังเสียง จมูก ดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส จิตใจ รับธรรมารมณ์

ความรู้สึกเฉยก็เกิดขึ้น เมื่อ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส จิตใจรับธรรมารมณ์

ความรู้สึกเฉย แตกต่างจากความรู้สึกชอบชังอย่างไร

ความรู้สึกเฉยแต่ต่างกันก็ คือ เวลาตา เห็นรูป หู ฟังเสีย จมูก ดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส จิตใจรับธรรมารมณ์นั้น ไม่รู้สึกประทับใจ เพียงแต่รู้แล้วผ่านไป เช่นเวลาที่ไปเที่ยวงานสนุกต่างๆหรือไปซื้อของในงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ เห็นคนเป็นร้อยๆพันๆ หรือเห็นสินค้าเป็นร้อยๆพันๆชนิด แต่ไม่คิดจะซื้อสักอย่าง เหตุที่ไม่ซื้อมิใช่เพราะเกลียดชังหรือไม่ชอบ แต่เห็นแล้วเฉยๆ

เวลาเดินเที่ยวพบคนไปเที่ยวเป็นร้อยเป็นพัน ไม่นึกชอบใครสักคนที่จะผูกมิตรหรือผูกสัมพันธ์เป็นเพื่อนหญิงหรือเพื่อนชาย เห็นก็เพียงแต่รู้ว่า เป็นคน สูงต่ำดำขาว ยาวสั้น อ้วนผอม ตาสีฟ้าหรือสีดำ ผมบลอนหรือ ผมดำหรือ สีน้ำตาล รู้หมด แต่ไม่รู้สึกเกลียดใครจนหยากจะชกหน้าสักที หรือ ไม่รู้สึกรักจนอยากจะเข้าไปทักทายหรือกอดจูบ แต่เห็นแล้วเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาบวกหรือลบแต่อย่างใด

ความรู้สึกเฉยๆมีสองนัยยะคือ เฉยเพราะถูกโมหะครอบงำ เฉยแบบนี้ เป็นการเตรียมพร้อมที่จะเอนเอียงไปทางชอบหรือชังได้ทันที ถ้ามีแรงกระตุ้นหรือเร้าใจมากพอ

ความรู้สึกเฉยอีกอย่างหนึ่ง คือ เฉยเพราะมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิและสัมมัปปัญญา รู้เท่าทัน ไม่หวั่นไหวๆเฉยๆ ไม่บวก ไม่ลบ ตั้งอยู่ในทางสายกลาง ที่เปี่ยมไปด้วย สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และสัมมัปปัญญา คอยดูแลมิให้หวั่นไหวเอนเอียง

คำว่า สายกลาง คือ จุดกลางที่ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และสัมมัปปัญญา คอยนำทาง

ส่วนการทำอะไรครึ่งๆกลางๆแต่ประกอบด้วยโมหะ เช่น มีคนมักกล่าวว่า ดื่มสุราให้ยึดทางสายกลาง คือ ดื่มเพียงครึ่งขวด พอจำนวนเหล้าเข้ากึ่งกลางก็หยุด หรือดื่มพอเมา มิให้เมามากนัก อย่างนี้ไม่เรียกว่า ทางสายกลาง

ทางสายกลางตามความหมายในทางพระพุทธศาสนาต้อง มีสติ สมาธิและปัญญา อันจะนำไปสู่สัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำทางเสมอ มิใช่สายกลางที่ทำไปตามสัญชาตญาณ

หากมนุษย์มีความรู้สึกเฉยๆอันประกอบไปด้วยโมหะ พร้อมที่จะเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่า ชอบหรือชังได้ การโฆษณาสินค้า การโฆษณาทางศาสนา การเมือง และเรื่องอื่นๆ จึงต้องมีสิ่งจูงใจให้มนุษย์เอนไปข้างใดข้างหนึ่ง จนจิตใจถูสะกดให้อยู่กับความชอบหรือชังนั้น จากนั้น ผู้โฆษณาก็จะเข้าไปเก็บผลประโยชน์จากการหลงเข้าไปสู่ทางแห่งความชอบชังนั้น

การโฆษณาสินค้า ผู้โฆษณาจะนำเสนอ สิ่งที่ประชาชนพอใจ สิ่งที่นำมาเป็นเครื่องมือโฆษณาก็จะนำเอาสิ่งจูงใจหรือกระตุ้นเร้าจนผู้ชมผู้ฟังติดใจ คิดตามแต่เรื่องนั้น เวลาจะตัดสินใจซื้อสินค้าสักชิ้นหนึ่ง ก็จะเลือกสินค้านั้นอย่างว่าง่าย เพราะใจเข้าไปติดกับอยู่กับความชอบนั้นเสียแล้ว

การณรงค์ทางการเมือง ผู้รณรงค์ต้องทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่างคือ ให้ผู้ฟังผู้ชมเอนเอียงไปทั้งความชอบและความชัง ส่วนมากจะเสนอ สิ่งที่น่าชังขึ้นมาก่อน โดยผู้ต้องการจะโฆษณาชวนชื่อจะชี้โทษของฝ่ายตรงกันข้ามเสียก่อน มีสิ่งใดที่จะจูงใจให้คนเกลียดฝ่ายตรงกันข้ามได้ก็จะต้องขุดคุ้ยนำมาตีแผ่ ตีไข่ใส่สีเพิ่มเติมจนน่าเกลียดน่าชังจนได้ที่แล้วก็เสนอสิ่งที่น่าชอบใจเข้ามาแทนที่ เข้าทำนองที่ว่า เอาความดีใส่ตัว เอาความชั่วใส่คนอื่น หรือใส่ฝ่ายตรงกันข้าม

หากมองนักการเมืองจากเวทีรณรงค์ทางการเมืองที่โยนความชั่วใส่คนอื่นจะพบว่า นักการเมืองทุกคนเลวพอๆกัน เพราะต่างฝ่ายต่างบอกว่าฝ่ายตรงกันข้ามกับตนเลวทั้งนั้น

แต่หากมองหรือฟังการรณรงค์จากฝ่ายที่เสนอทางดีเข้าตัว ก็จะพบว่า นักการเมืองทุกคนดีเหมือนกันหมดเช่นกัน

ชีวิตมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของเวทนา ย่อมจะต้องหวั่นไหววุ่นวายไปตามแรงจูงใจต่างๆที่หลั่งไหลมารอบทิศ ย่อมมีชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์ทรมานเพราะพิษภัยแห่งความชอบชัง ส่วนมนุษย์ใดเข้าใจเวทนาตามความเป็นจริงว่า เวทนาที่บ่าไหลมาจากทั่วทิศกี่หมื่นกี่พันกี่แสนกี่ล้านรูปแบบ สรุปแล้วเหลือเพียงสิ่งที่ ดี ไม่ดี น่าพอใจและไม่น่าพอใจ หรือชอบชังเท่านั้น

ทุกครั้งที่เวทนาไหลเข้ามาสู่ชีวิตก็ไหลออกไปตามกาลเวลา ผู้ใดเข้าใจเวทนาว่าเป็นเพียงมายาแห่งความชอบชังแล้วตั้งอยู่ในสติ สมาธิ และปัญญาอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าที่เป็นเหตุเกิดเวทนาทั้งหลาย ดำรงอยู่คล้ายภูเขาศิลาแท่งทึบที่ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมที่พัดมาจากทั่วทุกทิศ ผู้นั้นได้ชื่อว่ายึดโลกทั้งใบอาไว้ในเมืออย่างเบ็ดเสร็จ

8.

ตัณหา เหตุแห่งทุกข์

แม้อากาศต้นฤดูหนาวแห่งเดือนธันวาคม จะหนาวเหน็บเย็นยะเยือกถึงกระดูก พอถึงวันอาทิตย์สมาชิกลานธรรมจะมาประชุมใต้ต้นโอ๊คอย่างพร้อมเพรียงไม่เคยขาด เพราะลานธรรมแห่งนี้ มีทั้งธรรมสาระ และสาระอื่นๆมาสนทนากันอย่างครบถ้วน

สมาชิกท่านหนึ่งยกมือขึ้นถามด้วยความสนใจว่า ตัณหา หมายความว่าอย่างไร

ตัณหา แปลตรงตัวว่า ความอยาก แบ่งออกเป็นสามอย่างคือ อยากได้ อยากมี และไม่อยากได้ ไม่อยากมี

หรือหากจะกำกับด้วยภาษาบาลีก็จะได้ความว่า กามตัณหา แปลว่า ความอยากได้ อยากมี

ภวตัณหา แปลว่า ความอยากเป็น

วิภวตัณหา ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น อย่างที่ได้ ที่มี และเป็นเช่นเดิมๆหรืออื่นๆที่ไม่สมปรารถนา ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ

ท่านที่เคยศึกษาเรื่องเวทนามาแล้วจะนำมาเชื่อมโยงกับตัณหาได้อย่างชัดเจนทีเดียว

สุขเวทนา ความรู้สึกชอบ หากชอบมากในปริมาณที่เข้มข้นพอจะนำไปสู่ กามตัณหาคือ อยากได้ และอยากมี รวมทั้งภวตัณหา อยากเป็น

ทุกขเวทนา ความรู้สึกชัง หากความชังมีปริมาณมากถูกตอกย้ำลงในใจครั้งแล้วครั้งเล่า จะนำไปสู่ วิภวตัณหา คือ ไม่อยากได้ ไม่อยากมี และไม่อยากเป็น

ส่วนอทุกขมาสุขเวทนาที่ประกอบด้วยโมหะ ก็จะนำไปสู่ตัณหาทั้งสามประการได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นแห่งเวทนา

ส่วนคำว่า ตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้น เป็นอย่างไร

เนื่องจากตัณหา เป็นเรื่องทางใจ เป็นนามธรรม จึงต้องสัมผัสความรู้สึกนั้นด้วยนามธรรม ต้องลองสังเกตความรู้สึกของตนเองอย่างตรงไปตรงมาว่า เวลาอยากได้อะไรแล้ว รู้สึกอย่างไร โดยพิจารณาขณะที่กำลังอยากได้นั้นแหละ จะพบว่า ความอยากเป็นทุกข์จริงๆ

แต่ความอยากมักจะถูกปิดบังไว้ด้วยความสมอยาก หรือสมปรารถนา ซึ่งดูเหมือนว่า เมื่อสมปรารถนาแล้ว ความอยากนั้นจะหยุดไปชั่วขณะ เมื่อหยุดอยากแล้วจะเห็นว่าหายเหนื่อย แต่แท้จริงแล้วยังมีความอยากซ่อนเร้นอยู่ ต่อไปว่า สิ่งที่สมปรารถนาอันได้มาแล้วนั้น จงอยู่กับเราตลอดไป ไม่เสื่อม ไม่สลาย ไม่สูญหายไป ความอยากแบบใหม่ในอาการเก่าเริ่มต้นที่นี่อีกครั้ง หากความเข้มข้นมากพอ ได้สิ่งที่รักและพอใจมาแล้ว แทนที่จะนั่งเป็นสุขนานๆ กลับต้องมารับทุกข์แบบใหม่อันมีสาเหตุมาจากความวิตกกังวล เป็นอันว่าหากใส่ตัณหาเข้าไปแล้ว แม้สิ่งนั้นมีอยู่ก็วิตกกังวล จึงเป็นทุกข์ เมื่อสิ่งนั้นต้องเสื่อมสลายหายไปตามกาลเวลา ก็ต้องเป็นทุกข์เพราะความเสียดาย ห่วงหาอาลัย

มีคำถามเข้ามาว่า เมื่อมีสิ่งใด ครอบครองสิ่งใด หากใส่ตัณหาผสมลงไปด้วยต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้นใช่ไหม

ตอบว่า ใช่เลย เพราะตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตัณหาผสมเข้าไปในเรื่องใด โอกาสที่จะเกิดทุกข์ก็มีขึ้นมาทันที แต่เรื่องใดเป็นไปตามหน้าที่ ตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัณหาเข้าไปผสมเรื่องนั้ก็จะความทุกข์จากเรื่องนั้นก็มิได้มี

มีคำถามต่อไปว่า หากมีหรือครอบครองสิ่งต่างๆด้วยสติปัญญา ไม่ต้องมีตัณหามาคอยควบคุมละจะเป็นอย่างไร

ตอบว่า ก็ไม่เป็นทุกข์ สงบสบาย ใช้สอยสิ่งต่างๆอย่างสะดวกด้วยจิตใจที่สงบ ลองสังเกตดูในชีวิตประจำวัน แต่ละบ้านมีสิ่งของเครื่องใช้มากมาย ทุกอย่างก็คงวางอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ แต่เมื่อไปดำริประกอบด้วยตัณหา ความทุกข์ก็เกิด

ชีวิตจึงมีทางเลือกว่า จะมีจะเป็นอย่างมีทุกข์หรือไม่ต้องมีทุกข์

เมื่อสิ่งอำนวยความสะดวกและความสงบไปด้วยกันได้ ผลลัพทธ์ออกมาเป็นความเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ชาวโลกเรียกด้วยภาษาสมมติว่า ความสุขนั้นเอง

ตัณหาทั้งสามประการย่อลงเหลือเพียงสองจำง่ายๆคือ ดึงเข้า กับผลักออก

ดึงเข้าก็เหนื่อยตามประสาดึงเข้า

ผลักออกก็เหนื่อยตามประสาผลักออก

เมื่อไรไม่ต้องผลักออกและไม่ต้องดึงเข้าก็ไม่เหนื่อย

สภาวะอย่างนั้นอาจจะเรียกว่าปกติ หรือทางสายกลาง เพราะอยู่ตรงกลางระหว่างผลักออกไปและดึงเข้ามา

หากมองดีๆจะพบว่า ทางสายกลางมีอยู่จริง คือ ความปกติ สงบ ไม่บวก ไม่ลบ นั่นเอง

มีคำถามเข้ามาอีกว่า หากจำเป็นต้องดึงเข้าและผลักอยู่จะทำอย่างไร เช่นจำเป็นต้องเข้าต้องออกทางประตู ต้องดึงเข้ามาหาตัวหรือต้องผลักออกไป

ก็ตอบว่า ดึงเข้าและผลักออก เท่าที่จำเป็น ข้อสำคัญอย่าไปเพลินเล่นประตูดึงเข้าแล้วผลักออกจนเหน็ดเหนื่อย เมื่อยหล้า หลับคาประตูไปก็แล้วกัน

พอพูดมาถึงตรงนี้ก็มีเสียงเล็ดลอดเข้ามาว่า ถ้าอย่างนั้นมีสิ่งใดควรมีตามความจำเป็น แต่ไม่ต้องยึดถือหน่วงเหนื่อยหรือกอดรัดไว้ใช่ไหม

จึงตอบสนับสนุนเจ้าของเสียงนั้นไปว่า ใช่เลย หิ้วหรือแบบกหนัก ปล่อยวางเบา

เป็นอันว่าธรรมะทั้งหลายพบได้ในชีวิตประจำวัน มิใช่ความฝัน มิใช่ความเชื่อ แต่เป็นความจริง ที่สัมผัสได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

9.

อุปาทาน ความยึดมั่น ถือมั่น

ลานธรรมวัดพุทธปัญญา เปิดขึ้นมาท่ามกลางคลื่นอากาศหนาวเหน็บที่พัดผ่าน สมาชิกต้องทนหนาวฟังธรรมกันไปอีกหนึ่งฤดูกาล เพราะอุโบสถธรรมศาลาพุทธปัญญา ยังไม่แล้วเสร็จพอที่จะใช้งานได้ แต่สมาชิกลานธรรมแห่งวัดพุทธปัญญา ก็มีความสุขใจที่ได้นั่งฟังธรรมกันใต้ต้นโอ๊คใหญ่ แม้จะหนาวเหน็บเพียงใดก็ไม่ถอย เรียกภาษาปัจจุบันให้ทันสมัยหน่อยว่า แฟนพันธุ์แท้ ก็คงจะไม่ผิดนัก

เจ้าอาวาสตรากตรำงานหนักมาตลอดทั้งปีไม่ว่าร้อน ฝนหรือหนาวไม่เคยย่อท้อถอย แต่เจอหนาวปีนี้ก็ต้องยอมแพ้แก่ กฎอนัตตา ที่แปลว่า ห้ามไม่ได้ เพราะธรรมดาก็บอกตัวเองเสมอว่า ต้องเข้มแข็ง ทำงานหนักและห้ามป่วย จึงจะเป็นพระธรรมทูตที่ดีในประเทศอเมริกาได้ แต่มาวันนี้สภาพที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา คือ ความเปลี่ยนแปลง ทนอยู่ไม่ได้ ห้ามปรามไม่ได้ ก็ทำงานประสานกัน ผลก็คือ เจ้าอาวาสต้องล้มหมอนนอนเสื่ออย่างไม่มีทางต่อสู้

นอนป่วยไปมองกฎไตรลักษณ์ไป ยิ่งมองยิ่งชัด ไม่นอนป่วยให้เสียเสียเวลาเปล่า นำพระไตรลักษณ์มาพิจารณา นำหนังสือธรรมะที่ไม่เคยอ่านหลายเล่มมานั่งอ่าน นอนอ่าน ทำให้คิดถึงท่านอาจารย์พุทธทาสตอนที่ท่านป่วยหนักแล้ว หายกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ท่านเล่าว่า ป่วยทุกครั้งฉลาดทุกครั้ง แม้ว่าจะไม่ฉลาดขนาดท่านอาจารย์พุทธทาสแต่ถ้าหมั่นตรึกตรองในพระธรรมสม่ำเสมอนับว่า เป็นการรักษาใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสในยามป่วยไข้ได้ไม่น้อยทีเดียว

แม้จะอยู่ระหว่างอาการป่วย แต่พอถึงเวลาเขียนบทความก็ทำเสมือนว่า ขออนุญาตความป่วยไข้มาเขียนบทความสักครู่หนึ่งแล้วค่อยกลับไปป่วยใหม่ จะอนุญาตตามที่ขอหรือไม่ก็ต้องขออนุญาตไว้ก่อนตามมารยาทนั่นแหละ

สมาชิกลานธรรมได้มาเยี่ยมไข้ แล้วถามหัวข้อธรรมะว่า คำว่าอุปาทาน นั้นหมายความว่าอย่างไร อาการของมันเป็นอย่างไร

ประธานลานธรรมนั่งหลังชนฝาในท่าที่สะดวกที่สุดยามนี้ ค่อยๆบรรจงตอบอย่างช้าๆด้วยเสียงแผ่วเบา เพราะเกรงอาการไข้จะกำเริบว่า คำว่า อุปาทาน ที่แปลกันโดยทั่วไปว่า ความยึดมั่นถือมั่นนั้น หมายถึง สภาพที่จิตใจ ไปย้ำคิด ครุ่นคิด คิดแล้วคิดอีก คิดอย่างกัดติด คิดอย่างกระชั้นชิด คิดอย่างไม่ยอมปล่อยปละละเลย ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน กลางวัน กลางคืน เวลากิน เวลาทำงาน หรือ แม้เวลานอนซึ่งถือว่า เป็นวลาพักผ่อนก็นำมาคิดด้วย เอนหลังลงนอนราบกับพื้น คลุมโปงด้วยผ้าห่มหนาๆ จิตก็ยังแหวกผ้าห่มตามไปจับเรื่องนั้นมาคิดอยู่อย่างไม่ลดละ อาการแบบนี้แหละ เรียกว่าอุปาทาน

ท่านผู้อ่านลองๆทบทวนดูซิว่า เคยนำเรื่องใดมากอด มาเก็บไว้ในใจ มาคิดแล้วคิดอีก คิดซ้ำคิดซาก คิดวนเวียนไปวยเวียนมา ที่เรียกว่า สังสารวัฎฎ์นั่นแหละ หรือที่เรียกันว่าเวียนว่าย ตายเกิดนั้นแหละ เห็นไหม พอคิดจบไปครั้งหนึ่ง เท่ากับตายไปครั้งหนึ่ง แล้วเริ่มเกิดใหม่อีก พอคิดจบแทนที่จะจบกันไป ก็นำมาคิดอีก เช่น เวลาเจอความทุกข์ที่คนอื่นเขาไม่เคยเจอ ก็มักจะเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา ทำไมถึงต้องเป็นเรา เป็นร้อยเป็นพันครั้ง ยิ่งคิดมากยิ่งเสียใจมาก ยิ่งทุกข์มาก

คนที่แปล อุปทาน ว่า ยึดมั่นถือมั่น นับว่าแปลได้ถูกต้องสอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริงๆ คือ ยึดความคิดนั้นไว้อย่างมั่นคง ถือความคิดนั้นไว้อย่างมั่นคง

ความยึดมั่นถือมั่น ในที่นี้หมายถึง จิตเข้าไปยึดถือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ด้วยอำนาจของความชอบและชัง

ความชอบชังที่อยู่ในสิ่งนั้น เป็นพลังดึงดูด มิให้จิตหลุดออกมาได้ง่ายๆ

ลองพิจารณาดูลึกๆ สิ่งที่จิตเข้าไปผูกพันเกาะเกี่ยว หน่วงเหนี่ยวยึดติดนั้น ต้องมีความชอบชังในปริมาณที่เข้มข้นมาก ยิ่งความชอบชังในเรื่องนั้นๆมีมากเท่าไร ความยึดมั่นถือมั่นจะมีมากเท่านั้น

สังเกตง่ายๆ เวลาชอบใครมากเป็นพิเศษ ก็มักจะคิดถึงคนนั้นๆครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาทำอะไรที่ไหน ความคิดนั้นก็ตามไปทุกหนทุกแห่ง จนทนไม่ไหวต้องไปอยู่ใกล้ๆหรือ หาวิธีการนำคนนั้นมาอยู่ใกล้ๆ

ในทางตรงกันข้าม หากเกลียดใครมากเป็นพิเศษ ความคิดเกลียดชังนั้นก็จะติดตามไปทุกหนทุกแห่ง เมื่อความเกลียดเข้มข้นถึงที่สุดจะลงท้ายด้วยการทำลายสิ่งของของคนนั้น ทำลายบริวารของคนนั้น หรือสุดท้าย ลงมือทำลายคนที่เกลียดนั้นให้ตายหรือหายนะอย่างถึงที่สุด

เรื่องของวัตถุสิ่งของต่างๆที่ซื้อหามาวางไว้ตามบ้านเรือนจำนวนมากมายหลายเท่ากว่าสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ก็นำมาไว้ด้วยแรงแห่งอุปาทานที่ผ่านมาแต่ละครั้งๆ ในฤดูกาลหรือเทศกาลต่างๆ ร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าขายของต่างๆ มักจะปลุกเร้าลูกค้าด้วยการ ยั่วยุให้อยากได้สินค้าที่ตนต้องการขาย และเน้นย้ำบ่อยๆด้วยการทุ่มโฆษณาตามสื่อต่างๆอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งใจของผู้ดู ผู้ชม เริ่มความสนใจ ชอบมากๆ และคิดตามบ่อยๆ คิดแล้วคิดอีกจนติดใจ ในที่สุด ก็ออกจากบ้านเดินทางไปซื้อสินค้าชิ้นนั้น มาอย่างมากมายเกินความจำเป็นที่จะต้องกินต้องใช้เสียอีก

กล่าวกันว่า เทศกาลใหญ่ๆเช่นคริสต์มาสแต่ละปี ประชาชนจะพากันไปจับจ่ายใช้สอยเงินซื้อสิ่งของที่ตัวเองชอบหรือแม้แต่อาหารมาเก็บไว้ โดยมิได้บริโภคใช้สอยให้หมดไป ปีหนึ่งๆเหลือทิ้งรวมกันหลายๆประเทศหลายหมื่นหลายพันตัน เพียงพอต่อการเลี้ยงดูเด็กคนยากจนได้หลายล้านคนทีเดียว

ใครจะรักใครจนสละชีวิตให้กันได้ ก็ต้องรักด้วยอำนาจอุปาทาน จะเกลียดใครจนต้องล้างผลาญกันให้ถึงที่สุดโดยไม่ต้องห่วงว่าชีวิตหรือทรัพย์สินเงินทองจะสูญเสียไปเท่าไร ก็ทำไปด้วยอำนาจอุปาทานนี่แหละ

อุปาทานก็เหมือนกับกุศลหรืออกุศลธรรมทั้งหลาย ที่เป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป พลังแห่งอุปาทานจะค่อยเสื่อมไปตามกาลเวลาช้าบ้างเร็วบ้าง ตามความเข้มเข้นหรือเจือจางแห่งความชอบชัง แต่สุดท้ายอุปาทานในแต่ละอย่างต้องจางคลายหายไป

เช่นซื้อเสื้อมาตัวหนึ่ง ด้วยอำนาจอุปาทานแห่งความชอบอย่างเต็มเปี่ยมในเทศกาลคริสต์มาสครั้งนี้ เมื่อซื้อมาแล้วก็ชื่นชอบ หวงแหน สวมใส่เป็นประจำ เก็บรักษาอย่างดี บางทีเพียงเทศกาลนี้ผ่านพ้น ไม่มีใครพูดถึง ไม่แรงกระตุ้นอุปาทานในเรื่องของขวัญวันคริสต์มาสอีกแล้ว อุปาทานจะค่อยๆลด ผ่อนคลายและหายไปในเวลาอันรวดเร็ว เสื้อตัวโปรดตัวนั้นก็จะถูกแขวนไว้อย่างธรรมดาปะปนไปกับเสื้อตัวอื่น เวลาผ่านไปหนึ่งปี เสื้อตัวนี้อาจจะถูกลืมสนิท อุปาทานในเสื้อตัวนี้จึงดับไปสนิท ไม่มีความหวงแหนเป็นห่วงหาอาลัยแต่อย่างใดอีก

ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ผู้คนเคยถูกกระตุ้นให้เกลียดนักการเมืองคนหนึ่ง ย้ำแล้วย้ำอีกจนความเกลียดนั้นเข้าครองใจ ติดใจ พอความเกลียดนั้นเข้มเข้นมากพอ ก็ย้ำเองคิดเอง ปรุงแต่งหาข้อมูลแห่งความน่าชังต่างๆมาผสมผสานเพิ่มเติมจนกระทั่งอุณหภูมิแห่งความเกลียดขึ้นถึงขีดสุด ระดับที่พบตรงไหนฆ่าทิ้งตรงนั้นได้เลย ช่วงที่ยังไม่พบ ก็ขอขับไล่ทางสื่ออยู่เป็นประจำ

เวลาผ่านไป การกระตุ้นความเกลียดชังนั้นเบาบางลงไป การปรุงแต่งให้เกลียดชังลดน้อยลง ไม่ช้าความเกลียดชังนั้นก็จางคลายหายไปจากใจ ใครชวนไปขับไล่ตอนนี้ก็คงจะไม่ไปอีกแล้ว เพราะความรู้สึกเกลียดชังที่ฝังใจไม่มีเหลือ หรือเหลือบ้างก็น้อยเต็มทีไม่เข้มข้นพอที่จะไปขับไล่แล้ว ในไม่ช้า อุปาทานเรื่องนั้นก็ดับไป

เรื่องของอุปาทาน เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นตามกระบวนการแห่ง ปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่ความเชื่อ ไม่ใช่คำสั่งว่า ให้ละอุปาทาน แล้วจะขึ้นสวรรค์ หรือไม่ละแล้วจะลงนรก แต่เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะมองเห็น อุปาทานว่า เป็นคุณหรือเป็นโทษ หากใครเห็นว่าอุปาทานเป็นคุณไม่ให้โทษอะไร ก็ไม่สนใจที่จะละ แต่ผู้ใดที่เห็นโทษมหันต์แห่งอุปาทานว่า เป็นเครื่องบีบรัด มัดใจให้อึดอัด ตึงเครียด เป็นเครื่องถ่วงใจให้หนัก อย่างแจ่มแจ้งประจักษ์ เขาหรือเธอก็จะระวังใจมิให้เกี่ยวเกาะยึดติดด้วยตัวเองด้วยความเต็มใจ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดจะระวังจิต ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงแห่งมาร ระวังจิตในที่นี้หมายถึงระวัง มิให้ไปยึดเหนี่ยวเกี่ยว เกาะ กอดรัดไว้ ทั้งสิ่งที่ชอบและชัง จิตก็จะพบกับความปล่อยวาง ว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย และผ่อนคลายยิ่งนัก

อุปาทานมิได้จางคลายหายไปด้วย ความเชื่อ ความกลัว คำขู่หรือแรงจูงใจ ให้ปล่อยวาง แต่จะจางคลายหายไปด้วย ความรู้ และกฎธรรมชาติแห่งไตรลักษณ์ ไม่ต้องโกรธ เกลียด ชัง หรือ ชอบอุปาทานแต่อย่างใด เพียงแต่เฝ้าดูว่า อุปาทานเกิดขึ้น เมื่อไร ตั้งอยู่นานแค่ไหน และดับไปเมื่อไร โดยมิต้องลงมือปฏิบัติการใดๆตามอำนาจอุปาทาน ทั้งกายและใจก็จะปลอดภัย สงบเย็น เป็นปกติ

อุปาทาน 4 ประการ

อุปาทาน แปลว่า ความยึดมั่นถือมั่น หมายถึงการที่จิตใจเข้าไปสำคัญมั่นหมายว่า เป็นเรา เป็นของเรา ปักใจ คิดแล้ว คิดอีก คิดเน้น คิดย้ำ ซ้ำๆวนเวียน อย่างไม่ยอมปลดปล่อยถอยถอน ด้วยอำนาจตัณหาและกิเลส เป็นเหตุให้หนักใจ อึดอัด ขัดเคือง กดดัน อันเป็นสาเหตุแห่งความเครียด

พระพุทธเจ้าทรงจำแนกอุปาทานไว้สี่ประการคือ

  • อัตตวาทุปาทาน ความสำคัญมั่นหมายว่า ชีวิต เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นเขา สำคัญมั่นหมายชีวิต ทรัพย์สิน ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขว่า เป็นของเรา เป็นของเขา ความสำคัญมั่นหมายว่า เป็นเรา ปรากฏขึ้นมาในใจเมื่อไร ความรู้สึกว่า เราได้ เราเสีย เราเป็นสุข เราเป็นทุกข์ เราได้รับการสรรเสริญ เราได้รับการกดขี่หรือดูหมิ่น จะเป็นเหตุให้เกิดความ พอใจ ไม่พอใจ สมหวัง ผิดหวัง ได้รับสิ่งที่ปรารถนา เสียของรักไป ผู้ที่ทำหน้าที่แปลสัญญาณให้ออกมาเป็นสุขหรือทุกข์ล้วนมาจากความสำคัญมั่นหมายว่า เรา ว่า ของเรานี้เอง

ในทางตรงกันข้ามขณะใดจิตบริสุทธิ์ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่า เรา ว่าเขา ว่าตัวเรา ว่า ของเรา จิตปกติ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ เป็นกลาง ไม่บวกไม่ลบ ขณะจิตนั้นเรียกว่าจิตว่าง ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่รก ไม่หนัก ไม่อึดอัด ไม่เครียด

  • กามุปาทาน แปลว่า ความยึดมั่นถือมั่นในกาม ได้แก่สภาพที่จิตคิดหน่วงเหนี่ยว วนเวียน ตอกย้ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก หมกมุ่นอยู่แต่ในสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เพราะคำว่า กาม หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์อันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความพอใจ เพราะเคยชินอยู่กับสิ่งที่น่าพอใจ แม้ขณะที่เสวยอารมณ์ที่น่าพอใจนั้น จะมีความตื่นเต้นเร้าใจกดดันหรือเครียดอย่างไรก็ทนได้ง่าย เรียกว่า เป็นสุขเพราะคำว่า สุข แปลตามรากศัพท์ว่า ทนได้ง่าย ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ อันเป็นเหตุให้ตื่นเต้นเร้าใจเครียดง่าย แต่ไม่น่าพอใจไม่น่าชอบใจ เมื่อประสบกับสิ่งนั้นก็ทนได้ยาก หรือ เรียกว่าทุกข์ เพราะคำว่าทุกข์ แปลตามรูปศัพท์ว่า ทนได้ยาก ความยึดมั่นถือมั่นในกามจึงเป็นสิ่งที่ต้องทนกันไป ทนง่ายก็เป็นสุข ทนยากก็เป็นทุกข์ วันใดใครก็ตามมองเห็นความจริงจากประสบการณ์ว่า ทนยากก็ต้องทน ทนง่ายก็ต้องทน ความไม่ต้องทนทั้งยากและง่ายเป็นความเบาที่แท้จริง ก็จะแสวงหาสภาวะที่อยู่เหนือ สุข เหนือทุกข์คือไม่ต้องแบกรับทั้งทนง่ายและทนยากอีกต่อไปแล้ว จึงตกลงปลงใจปล่อยวางด้วยความสมัครใจ ไม่ต้องเชื่อใคร ทำไปด้วยปัญญาล้วนๆ
  • ทิฏฐุปาทาน แปลว่า ความยึดมั่นถือมั่นในความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่ยอมถอดถอนด้วยเหตุผลหรือแรงจูงใจใดๆได้ เช่นบางคนมีทิฏฐิว่า การดื่มสุรา เป็นเหตุแห่งความสุข เมื่อเขาหรือเธอต้องการความสุข ก็จะพากันไปดื่มสุรา นักเลงสุราที่ตั้งวงดื่มสุรากันได้เป็นวันเป็นคืน ก็เพราะบุคคลเหล่านั้นมีทิฏฐิว่า ดื่มสุราแล้วมีความสุข บางคนเชื่อว่า การเล่นการพนัน เป็นการผ่อนคลายที่ดีและมีความสุข ไม่ว่าจะได้หรือเสีย ล้วนเป็นสิ่งที่ให้ความสุขได้ ก็จะใช้เวลาว่าง เข้าสู่วงการพนันทันที ไม่ว่าจะเป็นวงเล็ก เช่นเล่นกันในบ้าน วงใหญ่ไปเล่นในบ่อนมาตรฐาน ฉะนั้นพอถึงวันหยุดสำคัญๆจะมีขบวนรถเดินทางไปบ่อนการพนันกันอย่างเนืองแน่น บางคนเชื่อมั่นว่า ความสุขแท้อยู่ที่จิตสงบ ซบอยู่กับความดีหรือความว่าง ก็ใช้เวลาว่างหรือเวลาทุกนาทีในการทำจิตให้สงบหรือจิตว่าง กลุ่มคนที่เชื่ออย่างนี้ก็จะพากันเดินทางไปวัดวาอารามหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมเพื่อร่วมกันหาความสุขตามทิฏฐิของตน หากมองโลกบนพื้นฐานแห่งทิฏฐิก็จะพบความแตกต่างของมนุษย์หลากหลายมากมาย และปัจจัยสำคัญที่จัดสรรมนุษย์ให้ใช้ชีวิตอย่างไร ทุกข์หรือไม่ทุกข์ ก็คือตัวทิฏฐินี่เอง

การเปลี่ยนทิฏฐิจากมิติหนึ่งไปสู่มิติหนึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยความสมัครใจของตนเองโดยไม่มีใครจะมาจูงใจให้ไปสู่ทิฏฐิตามที่คนอื่นปรารถนาได้ง่ายๆเช่นคนดื่มสุราจะหยุดดื่มสุราเพราะฟังธรรมเทศนาเรื่องสุราครั้งเดียวไม่ได้ แต่หากวันหนึ่งเขาหรือเธอเข้าใจโทษของสุราอย่างแจ่มชัดก็จะเปลี่ยนวิธีหาความสุขจากการดื่มสุราไปสู่วิธีอื่นที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสมทันที

  • สีลพัตตุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในศีลพรต หมายถึงการสมาทานศีลหรือการปฏิบัติกิจวัตรพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความขลัง ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดช มีสัมผัสพิเศษ เช่น คนที่นับถือเจ้าแม่หรือเทพเจ้าบางตน ต้องรับประทานผักและผลไม้ ไม่รับประทานเนื้อ ด้วยเหตุผลว่า เจ้าแม่หรือเทพเจ้าองค์นั้นไม่โปรดปราน หรือการสมาทานศีลห้า หรือศีลแปดเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้แล้วจะได้รับสิ่งที่ตนปรารถนาเช่นการถือศีลสะเดาะเคราะห์ หรือบวชแก้บน ล้วนอยู่ในสีลพัตตปรามาสทั้งสิ้น แต่หากปฏิบัติตรงกันข้ามกับสิ่งนี้อย่างมีเหตุผลเช่นการสมาทานศีลเพื่อให้ชีวิตเป็นระเบียบ เพื่อความสงบเย็นทั้งกาย วาจาและใจ เพื่อให้สังคมสงบด้วย หรือจิตใจเปี่ยมด้วยความกรุณาจนรู้สึกเองว่า นอกจากไม่ฆ่าสัตว์ ไม่รังแกสัตว์แล้ว แม้เต่เนื้อสัตว์ก็แตะไม่ได้อีกแล้ว ปฏิบัติไปด้วยอำนาจของความกรุณาโดยมิต้องการสิ่งใดในทางลึกลับมาประสิทธิ์ประสาทสิ่งใดให้ นับเป็นการปฏิบัติศีลที่ถูกต้อง และได้รับผลเป็นความสงบร่มเย็น

กล่าวโดยสรุป อุปาทาน ยึดมั่นในสิ่งใด ก็เป็นทุกข์ หนักพอๆกัน ปล่อยวางได้เท่าไร ก็เบาเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ใช่คำสั่งไม่ใช่คำสอน แต่เป็นความจริง ถ้ารู้สึกว่าหิ้วหอบอะไรไว้นานแล้วหนักเหลือเกินจะปลดปลงปล่อยวางลงก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด เมื่อปล่อยวางลงได้แล้วรับผลแห่งความเบานั้นทันที ชอบแบกหอบหิ้วหรือชอบปล่อยวางก็ต้องเลือกเอาเองนะ

10

ภพ

อุบาสกผู้ติดตามศึกษาวงจรชีวิตเรื่อง ปฏิจจสมุปปบาท มาเป็นเวลานาน ได้ตั้งคำถามว่า คำว่า ภพ นั้นหมายความว่าอย่างไร

จึงตอบอุบาสกไปว่า คำว่า ภพ เป็นภาษาบาลี แปลตรงตัว ว่า ความมี ความเป็น

ภพ เป็นความรู้สึกชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นกับจิต โดยมีเหตุปัจจัยสืบเนื่องต่อมาจาก เวทนา ความรู้สึก ชอบ ชัง ตัณหา หากชอบก็ดึงเข้ามา หากเกลียดก็ผลักออกไป อุปาทาน เน้นย้ำ ความรู้สึกชอบชัง ที่จะต้องดึงและผลักนั้น วนไปเวียนมาครั้งแล้วครั้งเล่า และต่อจากนั้น ก็เป็นความรู้สึกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็จะดี หรือจะไม่ดี น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ คิดแล้วคิดอีกจนใจจมอยู่กับความรู้สึกอย่างนั้นไม่ถอนไปไหน

ความรู้สึกที่ปักดิ่งจมแน่นอยู่ในเรื่องนั้นๆอย่างไม่ถอนออก มีสามลักษณะ

  • กามภพ ความชอบใจหรือติดใจในกาม อันหมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิดฝันรัญจวนจินตนาการ หากจิตใจฝักใฝ่ วนเวียน จมดิ่งอยู่กับสิ่งเหล่านี้เรียกว่า ตกอยู่ในกามภพ จะสังเกตได้ตรงจุดใดๆก็ตามอันเป็นที่ตั้งแห่งความติดอกติดใจ ก็จัดเข้าในกามทั้งหมด ไม่ว่าหยาบหรือละเอียด เช่นบางคนดื่มสุราจนติดฝังแน่นหยุดไม่ได้ จนตายจาก เพราะติดใจในรสชาติ ในบรรยากาศ หรือบรรดายาเสพติดทั้งหลาย ก็จัดอยู่ในกามภพด้วย บางคนติดการพนันเสียจนหยุดไม่ได้เพลิดเพลิน โหยหา ก็จัดเป็นกามภพอย่างหนึ่ง
  • รูปภพ สนใจเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่สามารถ รับรู้ได้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและส่งผลเป็นความพอใจ ก็มีทั้งหยาบทั้งละเอียด เช่น คนที่ชอบเลี้ยงปลา เลี้ยงนกเขา สะสมถ้วยชาม แก้ว ไม้กอล์ฟ นาฬิกาเก่าๆ พระเครื่อง รถเก่า ตู้ไม้สัก ลายต่างๆ ที่ทำให้ติดอกติดใจ เสียเงินเสียเวลาให้กับสิ่งนั้นๆเป็นคืนเป็นวันเป็นปี ไม่รู้สึกเบื่อ ยิ่งมีมากยิ่งเพลิน จัดเข้าในรูปภพ
  • อรูปภพ มีทั้งหยาบและละเอียด ชนิดหยาบ เช่นชื่อเสียง เกียรติยศ ความมีหน้ามีตา คนที่ตกอยู่ในภพอย่างนี้ จะเสียเงินเสียทองเท่าไรไม่เสียดาย พร้อมเสมอ เพียงแต่ให้ได้รับเสียงสรรเสริญกลับมาเป็นอันพอ คนแบบนี้แม้จะแสดงให้สังคมได้พบเห็นว่าเป็นคนเสียสละ แต่มีเงื่อนไขอยู่ที่ว่า สิ่งที่ทำไปนั้นต้องเป็นที่ถูกใจด้วย หากไม่ถูกใจก็ไม่เล่นด้วย ส่วนอรูปภพที่ละเอียด เช่นความสงบจากการทำบุญหรือภาวนาวิธีต่างๆได้รับความสงบตามลำดับตั้งแต่ขั้นต้นสู่ขั้นลึกซึ้ง โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งใดมาเป็นเครื่องกระตุ้น หรือเร้าใจให้ตื่นเต้น แต่เป็นการจมอยู่กับความสงบได้นานๆเช่นผู้ใฝ่ธรรมหลายๆท่าน เมื่อว่างงานแทนที่จะดื่มกินเที่ยวเล่น ก็มุ่งหน้าไปหาวัดวาอารามหรือป่าเขาลำเนาไพร ที่สงบสงัดเพื่อพักใจ และทำอยู่อย่างนั้นจนกลายเป็นความเคยชินไปในที่สุด

เมื่อเข้าใจเรื่องลักษณะของภพอย่างกว้างๆอย่างนี้แล้ว หากมีเวลาก็เฝ้าสังเกดูใจตนเองว่าจะเอนไปทางไหนในสามทางนี้ หากเอนเอียงไปครั้งหนึ่งก็เรียกว่า อยู่ในภพหนึ่ง เมื่อเหตุปัจจัยจากการกระทบครั้งหนึ่ง โน้มเอียงไปทางใด ก็เรียกว่าไปสู่ภพนั้น

ภาวะที่เกิดขึ้นทางใจนั้น หากเข้มข้นพอก็แสดงออกมาทางกายได้ด้วย เช่นเวลาโกรธ หน้าแดง ปากสั่น หูร้อน จัดเป็นภาวะแห่งความโกรธที่เกิดขึ้นทางใจแล้วลามไปหากาย

คำว่าไปสู่ที่ชอบๆนั้นจริงๆแล้วมิใช่คำแช่งชักหักกระดูกกันแต่อย่างใด แต่เป็นภาษาธรรมะว่าใจจะไหลไปสู่สิ่งที่เคยชิน จะไหลไปจมอยู่นานหรือเปลี่ยนเร็วก็ขึ้นอยู่กับความประทับใจในเรื่องนั้นๆ ดังที่คนสวดมนต์แปลเคยได้ยินกันบ่อยๆว่า ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่นั้นแหละ

ใจจมดิ่งกับสิ่งใดนานก็เรียกว่าภพใหญ่ สนใจเรื่องอะไรเล็กน้อยพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วผ่านไปไม่ถึงกับจมอยู่ ก็เรียกว่า เป็นภพเล็กๆ สังเกตดูเถอะ ไม่ว่าจะท่องเที่ยวไปในภพน้อยหรือภพใหญ่ล้วนแต่ทำให้ใจเหน็ดเหนื่อยได้ทั้งนั้น แล้วสังเกตดูต่อไปว่า ขณะใดที่ใจสงบไม่เล่นไปเกาะติดสิ่งนั้นสิ่งนี้ กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับปัจจุบันขณะ จะไม่เหนื่อยใจ เพราะใจได้พักไม่ได้แล่นท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่นั้นเอง

11

ชาติ : การเกิด

การเกิด ตามนัยแห่งปฏิจจสมุปปบาท คือ การเกิดความรู้สึก ตัวกู ของกู ที่มีเหตุมาจากปัจจัยปรุงแต่ง ตามกระบวนการ แห่งผัสสะ ที่มีอวิชชาเข้ามาผสมผสาน นำไปสู่เวทนา ความรู้สึก ชอบ ชัง เฉย

ตัณหา ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น(กามตัณหาและภวตัณหา) และความไม่อยากได้ ไม่อยากมี และไม่อยากเป็นด้วยอำนาจความชัง(วิภวตัณหา)

เมื่อความอยากเหล่านี้ เกิดแล้ว เกิดอีก วนเวียนไปมาซ้ำแล้ว ซ้ำอีกไม่หมดไม่สิ้น กลายเป็น อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น อันก่อให้เกิด ภพ คือ สภาวะที่จิตใจแล่นไปสู่สิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อปรากฏชัดที่จิตและลามไปที่กาย เช่น เมื่อความโกรธเกิดขึ้นที่จิตและปรากฏออกมาทางกาย หน้าแดง หูแดง ปากสั่น อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นชาติ คือ เกิดความรู้สึกว่า ตัวกู ของกู

หลวงพ่อพุทธทาสเปรียบเทียบจิตช่วงที่เป็นภพว่า เหมือนกำลังตั้งครรภ์ เปรียบช่วงที่เป็น ชาติเหมือนกับช่วงที่เกิด สองช่วงนี้ใกล้ชิดกันมาก

ภพ คือ ภาวะ เวลาโกรธ ภาวะของจิตก็เร่าร้อน ภาวะที่กายก็เร่าร้อนเชื่อมโยงสัมพันธ์กับจิต

ชาติ คือ ความเกิด เมื่อความโกรธแสดงภาวะเต็มที่แล้ว ก็เกิดมี ตัวกู ผู้โกรธขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ นับเป็นการเกิดชาติหนึ่ง เมื่อเกลียดครั้งหนึ่ง ก็เกิดมีตัวกูผู้เกลียดชาติหนึ่ง เมื่อมีความรักครั้งหนึ่ง ก็เกิดมีตัวกูผู้รักชาติหนึ่ง เมื่อมีความใคร่ครั้งหนึ่งก็เกิดตัวกูผู้ใคร่ชาติหนึ่ง

การเกิดตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งจนกลายเป็นความรู้สึก ตัวกู ของกูนั้น จะแปรผันเป็นนั่น เป็นนี่ หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามคลื่นแห่งผัสสะที่ทยอยเข้ามาไม่ขาดสายเหมือนคลื่นถาโถมเข้าหาฝั่งหนักบ้างเบาบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง หรืออาจจะว่างบ้างในบางคราว

พอเกิดความรู้สึกว่า ตัวกู ของกู มีเหตุปัจจัยเข้ามาปรุงแต่ง การเกิดแต่ละครั้งเป็นไปตามเหตุปัจจัยจะปรุงแต่งนั้น ไม่ว่าจะหยาบหรือ ละเอียด เช่นเวลาที่จิตใจเร่าร้อนกระวนกระวาย จากการกระทำชั่ว พูดชั่ว หรือ คิดชั่ว ขณะนั้นเท่ากับว่า ได้เกิดเป็นสัตว์นรกไปทันที นรก ที่กล่าวกันว่าอยู่ในใจนี้ เกิดขึ้นได้ทุกสถานที่ แก่ทุกคน ไม่จำกัดด้วยสถานะ อาชีพ บุคลิกภาพแต่อย่างใด ความร้อนใจเกิดขึ้นเมื่อไร ขุมนรกก็ปรากฏตรงนั้น

เวลาใดรู้สึกหวาดกลัว อย่างไม่มีเหตุผล สับสนด้วยโมหะ ขณะนั้นได้เกิดเป็นอสุรกาย คือ ความไม่กล้า

เวลาใดจิตใจไถลไปหาความชั่ว แต่มีสติห้ามไว้ทันทีทันใด ไม่ยอมทำความชั่ว เพราะละอายว่า ตนเองสร้างความดีมานานต้องไปกระทำชั่ว พลังแห่งความละอายชั่วคอยฉุดไว้มิให้ถลำเข้าไปหาความชั่ว ความกลัวบาปก็จะตามมาว่า หากทำบาปแล้ว ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทันที ตกนรกทันที ทุกครั้งที่ตกนรก จะเร่าร้อนมาก เคยตกนรกมาหลายหมื่นหลายพันชาติจากผลของบาป จึงกลัวบาปหลาบจำ ไม่กล้าจะทำบาปให้ตกนรกอีก มีหิริโอตตัปปะที่จิต รู้สึกปลาบปลื้มอิ่มเอิบที่สามารถยุติความชั่วได้ทันท่วงที ความปลาบปลื้มปีติก็แผ่ไปทั่วกาย ขณะนั้นได้เกิดเป็นเทวดาขึ้นมาชาติหนึ่ง

เมื่อมีหิริโอตตัปปไม่กล้าทำชั่ว และรู้สึกกลัวบาป ก็เกิดเป็นเทวดา ทั้งๆที่ยังไม่ตายเน่าเข้าโลง เมื่อใจไม่มีชั่ว ไม่มีบาป เดินไปที่ไหน ก็อิ่มอกอิ่มใจที่ได้ทำดี พูดดี คิดดี ทุกย่างก้าว ที่ก้าวไปด้วยสติ สัมปชัญญะและหิริโอตตัปปะ ณ สถานที่ใด สถานที่นั้น จะกลายเป็นสวรรค์บนดินไปทันที

ขณะใดจิตใจมีศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างเต็มเปี่ยม มีความสำรวมระวัง ไม่ประกอบกรรมชั่ว ทางกาย ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ประกอบกรรมชั่วทางวาจา ประกอบด้วย ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่ประกอบกรรมชั่วทางใจคือ ไม่โลภ อยากได้ของคนอื่น ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น ไม่เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม ตั้งมั่นอยู่ในศีลห้า อันได้แก่เว้นจากการฆ่าพรากลมหายใจให้หลุดออกไปจากชีวิต เว้นจากการลักขโมยทุกรูปแบบ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการดื่มสุราและสิ่งเสพติดมึนเมาทุกชนิด

พึงตั้งมั่นสมาทานธรรมห้าประการเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและผู้อื่นคือ มีความเมตตา กรุณา ประกอบสัมมาอาชีวะ สำรวมในกาม พูดจาไพเราะ ถูกกาล เวลา บุคคล พูดเพื่อแก้ปัญหาไม่ใช่พูดเพื่อสร้างปัญหา เจริญสติสัมปชัญญะตลอดเวลา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สติ สัพพัตถะ ปัตถิยา สติ จำปรารถนาในที่ทั้งปวง

เวลานั้นกายจิตของผู้นั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ทันที เป็นมนุษย์ที่มีใจสูง ไม่ได้เป็นแค่คนธรรมดาตามที่กล่าวกันว่า มีแค่คอหยักๆสักว่า เป็นคน แต่ไม่มีสาระภายในใดๆเลย

ขณะใดจิตใจถูกแผดเผาไปด้วยไฟคือ ตัณหาและโลภะ รู้สึก อยากได้ อยากครอบครอง ทั้งทรัพย์สินสิ่งของ หรือบุคคล มาเป็นของตน เมื่อยังไม่ได้ก็ดิ้นรนขวนขวายแสวงหาด้วยคิดว่าได้แล้วจะเป็นสุข แต่เมื่อมีแล้ว ครอบครองแล้ว ยังไม่รู้สึกเป็นสุข ยังอยากได้เรื่อยไปไม่หยุดยั้ง ขณะนั้นกายจิตของผู้นั้น เกิดเป็นเปรต คือ อยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด

ขณะใดที่จิตใจถูกครอบคลุมไปด้วยโมหะ คือ ความหลง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฎฐัพพะ ในธรรมารมณ์ จนถอนตัวไม่ขึ้น ขณะนั้นกายจิตนั้น ได้เกิดเป็นเดรัจฉาน หากโมหะครองใจหนามาก และเป็นเวลายาวนานก็จะกลายเป็นอนุสัยนอนเนื่องจนจมดิ่งลงไปในเรื่องนั้น เช่น เกิดเป็นคนที่ติด สุรา ติดบุหรี่ ติดการพนัน ติดยาเสพติด หรือติดสิ่งอื่นๆจนขาดไม่ได้ ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ไม่ชอบใช้ความคิดหรือปัญญา ก็อยู่ในสภาพที่ภายนอกใครๆเห็นว่าเป็นคน แต่ภายในเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือครึ่งคนครึ่งสัตว์

มีพุทธภาษิตตรัสว่า การเกิดทุกคราว เป็นทุกข์ร่ำไป หมายความว่า มีความรู้สึกว่า เกิดเป็นอะไร ก็ทุกข์ตามแบบสิ่งนั้น เช่นเกิดเป็นพ่อ ก็ทุกข์ประสาพ่อ เกิดเป็นแม่ ก็ทุกข์ประสาแม่ เกิดเป็นครู ก็ทุกข์ตามประสาครู เกิดเป็นเจ้าอาวาส ก็ทุกข์ตามประสาเจ้าอาวาส เกิดเป็นผู้นำประเทศ ก็ทุกข์ประสาผู้นำประเทศ เกิดเป็นประชาชน ก็ทุกข์ตามประสาประชาชน เกิดเป็นคนสมหวัง ก็ทุกข์ตามประสาคนที่สมหวังเกิดเป็นคนผิดหวังก็ทุกข์ประสาคนผิดหวัง เกิดเป็นคนจน ก็ทุกข์ตามประสาคนจน เกิดเป็นคนรวยก็ทุกข์ ตามประสาคนรวย

เพราะการเกิดความรู้สึกว่า ตัวกูที่ประกอบด้วยตัณหา ล้วนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ติดตามมาเสมอ ไม่ว่าอยู่ที่ใด แต่เนื่องจากมิได้มองใจอย่างละเอียดลึกซึ้งด้วยสติปัญญาที่มากพอ จึงมองไม่เห็นและบางครั้งกลับเห็นไปในทางตรงกันข้ามกับอริยสัจจ์ว่า ตัณหาเป็นเหตุให้มีความสุข เป็นเหตุให้มีความหวัง และเป็นเหตุให้มีชีวิต

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มองให้ชัดๆแล้วจะพบว่า ตัณหาเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไร ในก้าวย่างใดของชีวิตล้วนมีสิทธิ์เป็นทุกข์ได้เท่าๆกันอย่างไม่มีข้อจำกัดใดๆขวางกั้น

พ่อแม่เลี้ยงลูกตามปกติไม่มีตัณหาเข้าไปปรุงแต่งก็ยังไม่เป็นทุกข์ แต่พอเกิดตัวกูขึ้นมาว่า นี่ลูกกู ต้องเรียนสูง ต้องเรียนเก่ง ต้องเรียนวิชาดีๆ ต้องมีอาชีพดีๆ ต้องมีเงินเดือนสูงๆขณะนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่แสนดีและรับผิดชอบ ต้องเป็นทุกข์ เพราะมีตัณหา คือ ความอยากแทรกเข้ามาอย่างแรง พอความรู้สึกว่าลูกกูดับไป ตัณหาที่เกิดแล้วไม่มีที่ตั้งไม่มีที่อยู่ จึงดับตามไป ความไม่ทุกข์ก็ปรากฏ จิตว่าง จิตได้พักจากการปรุงแต่ง

เป็นอันว่า เมื่อใดตัวกูปรากฏขึ้นในจิต ตามกระบวนการปฏิจจสมุปบาทที่เริ่มต้นด้วยอวิชชา คือ ความลืมตัวและลุ่มหลง หวั่นไหว ตามอารมณ์ที่มากระทบปล่อยให้ปรุงแต่งเต็มๆ ความทุกข์ก็เกิด

ในทางตรงข้าม หากเวลากระทบแล้วรับรู้ทุกสิ่ง ที่เป็นการรับรู้ด้วยสติอย่างเต็มเปี่ยม รับรู้ เข้าใจปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามากระทบอย่างถูกต้องเหมาะสม ด้วยสติปัญญาแล้วกลับไปสู่ความว่าง จากกการเกิดเป็นนั่น เป็นนี่ ก็กลับไปสู่ความไม่ทุกข์

สรุปได้ว่า การเกิดตามกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปปบาท เป็นการเกิดดับตามเหตุปัจจัยที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะและดับไป เหลือแต่ความว่าง เมื่อมีการกระทบ ก็เกิดอีก ตั้งอยู่ชั่วขณะอีก แล้วดับไปอีก ว่างอีก ตามที่เรียกกันว่า เวียนว่ายตายเกิด

เมื่อเข้าใจหลักการเกิด ตามเหตุปัจจัย ตามกฎธรรมชาติ และจัดการการเกิดนั้นตามความถนัด ถ้าปล่อยให้วิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นผู้นำให้เกิด การเกิดทุกข์คราวล้วนเป็นทุกข์ แต่หากฝึกฝน สัมมาสติให้ตื่นตัวตื่นใจอยู่ตลอดเวลา ฝึกสัมมาสมาธิให้ใจมั่นคง บริสุทธิ์ และพรั่งพร้อมที่จะน้อมรับพระธรรม มีสัมมัปปัญญา ที่เลือกสรรแยกแยะแล้วเลือกทางเลี่ยงจากกิเลสไปสู่โพธิ เมื่อกระบวนการเกิดไม่มี การเกิดไม่มี ความว่างและการทำหน้าที่ที่เปี่ยมด้วยความรับผิดชอบประกอบด้วยประโยชน์ก็ยังคงดำเนินต่อไป อย่างเช่นพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าทั้งแล้ว ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วเปล่งวาจาไปในทางเดียวกันว่า นัตถิทานิ ปุนัพภะโว บัดนี้การเกิดไม่มีอีกแล้ว ล้วนเปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์ กรุณาและปัญญา นำพาสัตว์โลกออกจากเหตุแห่งทุกข์ เข้าถึงความไม่ทุกข์จนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพและชีวิตที่บรสุทธิ์

ขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ทรงประทานยอดวิชาที่จะคอยปัดกวาดกิเลสเป็นเหตุแห่งความทุกข์ออกไปจากชีวิตและมอบสิทธิ์ให้แก่คนทุกคนที่ปรารถนาความปลอดทุกข์ จะขึ้นสวรรค์จะลงนรก จะหนักจะเบา จะร้อนจะเย็น จะอึดอัดหรือโล่งโปร่งสบาย เลือกสรรปฏิบัติเอาตามความพอใจโดยไม่ต้องมีใครมาอวยพรหรือดลบันดาลประการใด

12

ชรา ความแก่

คำว่า ชรา แปลว่า ความแก่ เมื่อพูดถึงความแก่ ทุกคนฟังแล้ว นึกเห็นหน้าคนแก่ เห็นสภาพต่างๆของคนแก่ได้ชัด ความเคลื่อนไหวทุกส่วนเป็นไปอย่างเชื่องช้า ยิ่งแก่ยิ่งช้า ความหย่อนยานตามส่วนต่างๆของร่างกาย เป็นสัญลักษณ์แห่งความแก่อย่างหนึ่ง มีการพูดล้อเล่นกันบ่อยๆว่า คนแก่จะมีสภาพที่ไม่แตกต่างกันทุกอย่างที่เคยตึงจะหย่อนยานหมด แต่มีสิ่งที่ตึงอยู่อย่างเดียว และยิ่งตึงมากขึ้นทุกวัน คือ หูตึง

เริ่มแก่ตั้งแต่เมื่อไร คำถามนี้หาคนตอบได้ยากเหลือเกิน เพราะจะต้องชี้ลงไปอีกว่า เป็นความแก่ในมิติไหน ถ้าพูดถึงความแก่ตามตัวเลขอายุก็แบ่งว่า เมื่ออายุย่างเข้าห้าสิบปี ก็เริ่มย่างเข้าสู่วัยชรา หรือแก่อย่างเป็นทางการแน่นอนแล้ว เพราะห้าสิบปี คือครึ่งร้อย หรือเรียกให้หรูหน่อยว่า กึ่งศตวรรษนั่นเอง

หากถือเอา สุขภาพเป็นประมาณ บางคนอายุแปดสิบปี อาจจะปราดเปรียวกว่าคนมีอายุ ห้าสิบปี ก็มี หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องพูดว่า คนอายุ แปดสิบปีหนุ่มกว่า คนอายุ 80 ปีก็ได้ เพราะคนอายุ แปดสิบปี แข็งแรงกว่า ก็ครองความหนุ่มต่อไป

หากถือเอาความแก่ในมิติทางธรรม ความแก่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั้นแล้ว เพราะถ้าหากไม่แก่ได้ที่ ก็เกิดไม่ได้ ทารกทุกคนที่เกิดมาได้ต้องมีความแก่เต็มที่ เช่นแก่ เก้าเดือน หรือแก่สิบเดือน ทารกที่อยู่ในครรภ์แปดเดือน ย่อมแก่กว่าทารกที่อยู่ในครรภ์เพียงสามเดือน นี้คือ ความแก่ที่ติดมากับความเกิด

ความจริง สังขารร่างกายแก่ลงทุกวันตามกฎของธรรมชาติ แต่เมื่อเจ้าของสังขารนั้น เกิดความรู้สึกสำคัญมั่นหมายว่า กูแก่ ครั้งหนึ่ง ก็ยึดมั่นถือมั่นครั้งหนึ่ง ความทุกข์ก็เกิดตามมาครั้งหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม หากไม่มีความรู้สึกสำคัญมั่นหมายว่า ตัวกู หรือของกูขึ้นมา แม้สังขารร่างกายจะชราภาพไปแค่ไหนก็ปล่อยให้เป็นไป ไม่ใช่เรื่องของกู ไม่มีความวิตกกังวล สะทกสะท้านเป็นทุกข์แต่อย่างใด

แม้ความเจ็บและความตายก็เช่นกัน จะทำให้เกิดทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อ รู้สึกว่า กูเจ็บ หรือรู้สึกว่า กูจะต้องตาย จึงพากันกลัวแก่ กลัวเจ็บ และกลัวตาย แต่พอจิตว่างจากความรู้สึกตัวกูหรือของกูที่จะมาเป็นฐานรองรับ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ความทุกข์ก็ไม่ปรากฏ

แก่อย่างไรไม่เป็นทุกข์ แก่อย่างไม่มีอะไรจะแก่ ทุกอย่างที่ปรากฏให้ใครต่อใครได้เห็นเป็นเพียงสมมติเท่านั้น ไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอน ทุกอย่างเป็นเพียงมายาภาพที่ผ่านมาแล้วผ่านไป

การรับรู้หมดทุกอย่างด้วยสติปัญญาว่า มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง ไม่มีใครห้ามได้ ไม่มีใครฉุดรั้งไว้ได้ แต่สังขารร่างกายไหลเรื่อยไปตามกฎธรรมชาติที่ถูกกำหนดด้วยเหตุปัจจัยที่เรียกว่า ธัมมนิยามตา คือสรรพสิ่งถูกกำหนดด้วยเหตุปัจจัย ตามกฎแห่งอิทัปปัจยตา คือต้องอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

เมื่อมองเห็นความจริงอย่างประจักษ์ว่า สิ่งที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติไหลเรื่อยไปนั้นไม่มีใครจะบังคับได้ก็เป็น อนิจจตา ทุกขตา อนัตตา จึงประจักษ์ชัดว่า ไม่มีอะไรน่ายึดถือเลย จับตรงไหน เจ็บตรงนั้น แบกตรงไหน หนักตรงนั้น สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยวางทุกอย่างลงดังพระพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระมหาโมคคัลานะว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า ไม่ควรไปยึดอะไรมาเป็นของกูทั้งนั้น

เมื่อมองเห็นพิษภัยของความยึดมั่นถือมั่น ด้วยสติปัญญาอย่างแจ่มแจ้งแล้วก็เข้าถึง อตัมมยตา ที่หลวงพ่อพุทธทาสให้คำแปลไว้อย่างเด็ดขาดว่า กูไม่เอากับมึงแล้วเว้ย แล้ววางสิ่งทั้งหลายลง ดำรงชีวิตแบบผู้เบาตลอดไป ดังที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้เสด็จนำไปเป็นตัวอย่างแล้ว ดังที่เราถวายพระนามว่า สุคโต ซึ่งแปลว่า ผู้ไปแล้วด้วยดี คือไปแบบผู้เบา เบากาย เบาใจ ไม่มีทุกข์ใดๆมาเกาะติดอีกต่อไป

เมื่อถึงเวลาแก่ ก็ไม่ทุกข์เพราะความแก่ เมื่อถึงเวลาเจ็บก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเจ็บ เมื่อถึงเวลาตายก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะความตาย เพราะไม่มีอะไรจะแก่ ไม่มีอะไรจะเจ็บ และไม่มีอะไรจะตาย ทุกอย่างเคลื่อนคล้อยเลื่อนไหลตามเหตุปัจจัยนั้นเอง

 

 

 

13.ความตาย

ความตาย คือ การยุติ การทำหน้าที่ของวัยวะต่างๆของร่างกายลงอย่างสิ้นเชิง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ชนิดใดจะข้มพ้น ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ไปได้

แม้ปัจจุบันนี้ วงการแพทย์มีความเจริญก้าหน้ามาก สามารถรักษา ซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อให้ทำหน้าที่ต่อไปได้ แต่ก็ทำได้เพียงช่วคราว พอไปถึงจุดหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะแก้ไขต่อไปได้ก็จำเป็นต้องยุติการแก้ไข และชีวิตก็ถึงแก่ความตาย

มองในแง่สัจธรรม ความตายเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของธรรมชาติที่เรียกว่า อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ ทนได้ยาก อนัตตา ไม่มีตัวตนแก่นสารที่เที่ยงแท้ถาวร ล้วนต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ โดยไม่มีการต้านทานให้คงทนได้

หากมองตามกระบวนการปฏิจจสมุปบาทที่ว่า การเกิดขึ้นของขันธ์ห้าครั้งหนึ่ง เป็นการเกิด ความตายก็ได้แก่ ความดับไปของของขันธ์ห้า ของแต่ละครั้ง ตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตาที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น และเมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ดับไป

ชาวพุทธที่ปฏิบัติวิปัสสนาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การเกิดดับ

การเกิดขึ้น แห่งความรู้สึกว่า ตัวเรา ครั้งหนึ่ง นับเป็น การเกิดครั้งหนึ่ง

เมื่อความรู้สึกว่า ตัวกู ดับไป นับเป็น ความตายครั้งหนึ่ง

เมื่อไม่มีความรู้สึกว่า ตัวกู เกิดขึ้น ความตายก็ไม่มีเช่นกัน

ความทุกข์จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีความสำคัญมั่นหมายว่า การเกิดเป็นของเรา เราต้องเป็นอย่างนั้น เราต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อความรู้สึกว่า ตัวเรา ของเราดับไป ความทุกข์ก็พลอยดับไปด้วย

ความทุกข์จึงมิได้เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่จะเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อเกิดความสำคัญมั่นหมายว่า เราเป็นั่นเป็นนี่

กล่าวโดยย่อ ขันธ์ห้าที่มีอุปาทาน เป็นความทุกข์ ถ้าไม่มีอุปาทานก็ไม่มีทุกข์

ขณะเดียวกันเมื่อสำคัญมั่นหมายว่า เราตาย หรือ ความตายเป็นของเรา แล้วเกิดความรู้สึกไม่อยากตายขึ้นมา ก็เป็นความทุกข์เพราะความตาย เมื่อไม่มีความรู้สึกว่า ความตาย เป็นของเราก็ไม่มีความทุกข์เพราะความตาย

จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมจึงอยู่ที่ความระมัดระวังไม่ให้มีการเกิด เมื่อไม่มีการเกิด ความตายก็จะไม่มี

ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ฝ่ายร่างกายที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่โดยทั่วไป แท้จริง มิใช่ของเรา เป็นของธรรมชาติ ที่กำลัง เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ควบคุมโดยกฎธรรมชาติเท่านั้น

หากมีเหตุปัจจัยที่จะเกิด ก็ต้องเกิด และแก่เจ็บหรือตาย อันเป็นไปตามที่กฎธรรมชาติกำหนดไว้โดยแท้

เมื่อบริหารธาตุสี่ก้อนนี้ให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยอันเหมาะสมที่จะดำรงอยู่ได้ ธาตุสี่นี้ก็จะอยู่ต่อไป แต่เมื่อไรธาตุสี่ อันเป็นพื้นฐานแห่งกลไกทั้งปวงเสื่อมคุณภาพไป แก้ไขไม่ได้แล้ว ความตายก็จะปรากฏขึ้นมาโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง

พระพุทธเจ้าตรัสสัจธรรมบทสุดท้ายว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

สังขารทั้งหลาย เกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปเป็นธรรมดา อย่าไปเผลอยึดถือเป็นของเราเข้า มันจะเป็นทุกข์ มีหน้าที่อะไรก็ทำไป เมื่อทำเสร็จแล้วก็เสร็จเลย อย่าไปมัวยึดถือว่าเป็นของใคร ยกทุกสิ่งให้ธรรมชาติไป ดั่งอาจารย์พุทธทาสประพันธ์บทธรรมไว้ว่า

จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น

กินอาหารด้วยความว่างอย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที

เมื่อทำหน้าที่ด้วยใจบริสุทธิ์ หยุดเกิดหยุดตาย ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ก็เรียกว่านิพพาน คือ ความเย็น

14. โสกะปริเทวะ

มนุษย์ทุกคน ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย ไม่จำกัดศาสนา ไม่จำกัดวัฒนธรรม ไม่จำกัดเชื้อชาติ ไม่จำกัดสถาพว่าโสดหรือชีวิตแต่งงาน ไม่จำกัดว่า มีสถานะร่ำรวย หรือยากจน ล้วนเคยประสบความเศร้าโศก อัน เป็นความรู้สึกสากล กันมามากบ้างน้อยบ้าง สุดแล้วแต่เหตุปัจจัย ที่จะอาศัยกันและกันผลักดันให้เป็นไป

อาการของความเศร้าโศก นอกจากซึมเซา เงียบเหงาแล้ว ยังแสดงออกมาด้วยความกระวนกระวาย กระซับกระซ่าย สับสนวุ่นวาย ร้องให้ คร่ำครวญ และอาการต่างๆอันแสดงถึงความเจ็บปวดทรมานทางจิตใจ

ความเศร้าโศกอาดูร นี้เป็นอาการปลายทางแห่ง วงจรทุกข์ที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้นที่ผัสสะ หากไม่เข้าใจถึงความจริง จะลุ่มหลงเพลิดเพลินดำเนินต่อไปอีก นับครั้งไม่ถ้วนที่เรียกกันว่า สังสารวัฎฏ์ที่เป็นไปอันใครๆนับไม่ได้

หากมองตามกระบวนการปฏิจจสมุปปบาท ความโศก มีสาเหตุมาจาก กามตัณหา ความอยากได้เช่นอยากได้ลาภ อยากมี เช่นอยากมียศ ตำแหน่ง ภาวตัณหา อยากเป็นเช่นอยากเป็นคนเหนือคนอื่น อยากเป็นคนมีอำนาจ และวิภวตัณหา ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เช่น ไม่อยากมีศัตรูหรือคนที่ไม่ชอบหน้ามาร่วมงานด้วยกัน ไม่อยากเป็นคนต่ำต้อยด้อยศักดิ์ศรี ไม่อยากพรากจากคนหรือสิ่งของที่รักและชอบใจ

ความโศก คร่ำคราญ ร่ำให้ ทั้งหลายทั้งปวง มีสาเหตุมาจากตัณหาทั้งสามประการนี้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง หรือตัณหาทั้งหมดมาบรรจบพร้อมๆกัน เช่น ปรารถนาจะได้สิ่งของอันเป็นที่รักที่พอใจ แต่ก็ไม่ได้สักที ปรารถนาจะมีคนรักอยู่ใกล้ๆก็ไม่มี มีคนรักแล้วปรารถนาจะอยู่กันให้นานแสนนานแต่ต้องมาด่วนพรากจากกันไปในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อได้ดำรงตำแหน่ง เป็นผู้บริหาร เป็นผู้นำประเทศ แต่ต้องจากไปด้วยเวลาหรือสถานการณ์อันจำกัด ต่างก็ร้องให้คร่ำครวญอาลัยอาวรณ์ต่อตำแหน่งแห่งที่นั้น

ความเศร้าโศก ถึงกับร้องให้คร่ำครวญส่วนมากมีสาเหตุมาจากวิภวตัณหา คือไม่อยากจะจากไป หรือไม่อยากให้บุคคลหรือสิ่งของอันเป็นสุดที่รักต้องจากไป เวลาใครไปงานศพจะพบสัจธรรมข้อนี้ได้ชัดมากเมื่อส่งศพเข้าเตาเผา หรือแค่เปิดศพดูหน้าเป็นครั้งสุดท้ายผู้สูญเสีย มักจะเป็นสามี ภรรยา บุตรธิดา หรือ แม้แต่มิตรสหายต่างก็ร้องให้คร่ำครวญต่อการจากไปของผู้ที่รักนั้น

แม้การจากลากันในเวลาปกติ หากรู้ว่า อาจจะจากลากันนานเป็นพิเศษ ทั้งผู้ส่งและผู้ต้องจากลาต่างหลั่งน้ำตาให้แก่กันและกัน

ความเศร้าโศกนี้มองให้ดีๆก็จะเห็นได้ว่า ในส่วนลึกของหัวใจ มีความปรารถนาจะให้บุคคลผู้นั้นอยู่กับตนตลอดไป ทั้งๆที่ความจริงก็เป็นไปไม่ได้ ส่วนนี้จัดเข้าในกามตัณหา

ความรู้สึกไม่อยากพบกับการพลัดพราก เป็นวิภวตัณหา

พระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า ความโศกย่อมเกิดจากของที่รัก ย่อมเป็นความจริงแท้

หรือพระพุทธดำรัสที่ว่า ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ล้วนเป็นความจริงแท้

หากมองกลับข้างกันอีกด้านหนึ่งว่า ไม่มีความรักในสิ่งใด เมื่อสิ่งนั้นจากไป ความโศกเพราะการจากไปหรือสูญเสียไปของสิ่งนั้นก็ไม่มี

หากไม่ต้องการจะเศร้าโศกเพราะสิ่งใด ไม่พึงใส่ความรักลงไปในสิ่งนั้น จะได้ไม่ก่อเชื้อแห่งความทุกข์

หากจำเป็นต้องมีสิ่งใด ก็มีไปตามหน้าที่พึงระมัดระวังมิให้เกิดความรัก อาลัยผูกพันในสิ่งนั้น เพราะวันหนึ่งเมื่อสิ่งนั้นต้องจากไปหรือสลายไปจะได้ไม่ต้องทุกข์โศกคร่ำครวญ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งของหรือบุคคลอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งของที่ไม่น่ารัก ก็เป็นทุกข์ ล้วนเป็นความจริงที่สุด เพราะเมื่อมีความหวัง เชื้อแห่งความทุกข์เริ่มก่อตัวทันที หากไม่สมหวังเมื่อใด เป็นทุกข์เมื่อนั้น หรือแม้สมหวังแล้ว แต่จะต้องพลัดพรากจากสิ่งหรือบุคคลที่สมหวังนั้นก็เป็นทุกข์อีก

หากพิจารณาถึงต้นเหตุแห่งความโศกเศร้าทั้งหลายก็จะเห็นกระบวนการชัดเจนว่า ตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์เป็นเหตุให้เกิดความโศก ความโศกเป็นเหตุแห่งความคร่ำครวญ ความคร่ำครวญเป็นเหตุแห่งความกระวนกระวาย

นี่คืออาการของทุกข์ คือ ทนได้ยาก

หากพิจารณาในทางตรงกันข้าม เมื่อไม่มีตัณหา ก็ไม่มีทุกข์ เมื่อไม่มีทุกข์ก็จะไม่มีโศก เมื่อไม่มีโศก ก็จะไม่มีการร้องให้คร่ำครวญ

หากเสาะหากันต่อไปอีกว่า ตัณหา มาจากไหน พบว่าตัณหา มาจากเวทนาและเวทนามาจากผัสสะ อันเป็นประตูสู่ความทุกข์หรือความไม่ทุกข์แล้ว ก็พึงเพิ่มพูนสัมมาสติคือความระลึกรู้สึกตัวทั่วถึงอย่างถูต้อง คอยเฝ้าระวังที่ผัสสะให้เป็นไปในทางสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้ถูต้อง สัมมัปปัญญา รู้เห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้งว่า ปล่อยใจให้ไหลไปตามเวทนา จะเดินทางเรื่อยไปสู่เส้นทางแห่งทุกข์ จึงเปลี่ยนทางไปสู่สัมมาสมาธิและสัมมัปปัญญาอันเป็นทางที่ไม่ทุกข์

เมื่อเปลี่ยนเส้นทางจากทางแห่งทุกข์ไปสู่ทางแห่งความไม่ทุกข์ ความไม่โศกไม่ท้อแท้ ไม่เหี่ยวแห้ง ไม่คร่ำครวญ ไม่กำสรวญ ไม่ร้องให้ มีแต่ความชุ่มชื่น เบิกบาน สงบเย็น เป็นปกติสุข

พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางแห่งการเกิดทุกข์และทางแห่งความไม่เกิดทุกข์ให้มวลมนุษยชาติไว้อย่างครบถ้วน พระองค์คือ พระผู้ทรงพระมหากรุณาที่เสด็จมาสู่โลกมนุษย์เพื่อส่องประทีปธรรม เติมพลังใจ บอกหนทางให้ ช่วยซับน้ำตาให้มวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง

 

ประวัติผู้เขียน

 

ชื่อ ดร. พระมหาจรรยา ฉายา สุทฺธิญาโณ นามสกุล คงจินดา
เกิด วันที่ 2 มกราคม 2502 ณ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ 13 ปี วันที่ 22 เมษายน พ ศ 2515
อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่ออายุ 21 ปี วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2523
สถานที่บรรพชาและอุปสมบท วัดขันเงิน ต วังตะกอ อ หลังสวน. จ ชุมพร
การศึกษาปริยัติธรรม นักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรม 7 ประโยค .
การศึกษาระดับอุดมศึกษา
พุทธศาสตรบัณฑิต สาขาครุศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์กรุงเทพมหานคร
รัฐศาลตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยปูนา ประเทศอินเดีย
รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยพาราณสี ประเทศอินเดีย
(
วิทยานิพนธ์ เรื่อง " ศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคมของพระพุทธเจ้า)
หน้าที่การงาน

- เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา 1157 Indian Hill Blvd. Pomona CA 91767
- ผู้อำนวยการสถาบันปัญญานันทะ ค่ายคุณธรรม วัดอุโมงค์ จ เชียงใหม่
ให้การศึกษาพระพุทธศาสนาในแนวลึกและประยุกต์แก่ประชาชนทั่วไปและ
เยาวชนมามากกว่า 500 รุ่น รุ่นละ 80 - 100 คน ตลอดเวลา 9 ปีที่ผ่านมา

- ได้รับนิมนต์เป็นครั้งคราวไปบรรยายพุทธธรรมประยุกต์ แก่นักศึกษาระดับ
ปริญญาตรี โท และเอก คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
มหาวิทยาลัยพายัพ , มหาวิทยาลัยแม่โจ้ , สถาบันราชภั เชียงใหม่ , สุราษฎร์ธานี , นครศรีธรรมราช. สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลภาคพายัพ จังหวัดเชียงใหม่
-
ได้รับนิมนต์ไปร่วมประชุมใหญ่ ศาสนาสัมพันธ์เพื่อสันติภาพโลก"
ณ ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน และ สหรัฐอเมริกา
ได้รับนิมนต์ไปร่วมประชุมใหญ่ การหยุดบุหรี่เพื่อสุ ข ภ า พ ดี
ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
-
ได้รับนิมนต์ออกรายการตามหาแก่นธรรมทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เอเอสทีวี ไทวไลท์โชว์
เขียนบทความเกี่ยวกับศาสนาและสังคมลงหนังสือพิมพ์มติชน ไทยทาวน์ยูเอส เอ เมืองไทยนิวส์ สยามมีเดีย เทคโนโลยีชาวบ้าน
งานเขียน
ได้เขียนหนังสือ พิมพ์แจกเป็นธรรมทานตามความสะดวกหลายเล่ม เช่น
บวชอย่างไรจึงจะได้บุญ. พุทธะอยู่ไหนเมื่อไทยเป็นนิกส์. ธรรมะชำระการเมือง.ธรรมะหลายมิติ. รัฐธรรม. ภูผาประชาธิปไตย. ทางสู่สันติสุข. ธรรมจักร. พุทธศาสนากับการศึกษาตลอดชีพ , ดูโลก. ดูธรรม .ดูใจ. บทธรรมอมตะ. บทธรรมนำชีวิต. พุทธวิถี. Turning Point, Buddhism and current events. The Buddha: A teacher of peace. พระธรรมนำชีวิต พัทธสีมาสาธิตฝังลูกนิมิตวัดพุทธปัญญา

 

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple