วัดพุทธปัญญา

บทความ\60. 5 ปีที่วัดพุทธปัญญา

60. 5 ปีที่วัดพุทธปัญญา

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2545 ฉันได้เดินทางมาลงเครื่องบินที่สนามบินออนตาริโอและเข้าสู่วัดพุทธปัญญาในตอนบ่ายๆ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่วัดพุทธปัญญากำลังอยู่ในระหว่างการมีปัญหาครั้งใหญ่ วัดไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำ คนที่เคยมาทำบุญที่วัดก็เหลืออยู่ไม่กี่คน เพราะเมื่อวัดไหนก็ตามมีความขัดแย้งสูงประชาชนที่มาทำบุญก็มักจะหลบลี้หนีหายไปทันที เพราะทุกคนตระหนักเสมอว่า ไปวัดทำบุญต้องสบายใจ ไม่ควรไปขัดแย้งหรือไปทะเลาะกับใคร

พอวันที่ 22 เมษายน 2550 ฉันก็อยู่ที่วัดพุทธปัญญาครบห้าปี วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากมองถึงสถิติของเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญาก่อนหน้าที่ฉันจะมาอยู่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวัดช่วงห้าปีแรกเจ้าอาวาสผ่านมาแล้วจากไปถึงสามรูป แต่ฉันเองมาอยู่ที่วัดพุทธปัญญารูปเดียว 5ปีก็นับว่าอยู่ได้นานทีเดียว แต่วันหนึ่งในอนาคตก็จะต้องจากไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าจะจากไปในวันใดด้วยสาเหตุอะไรเท่านั้น แต่วันนี้เป็นวันครบรอบห้าปีจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่านั้น

ขณะนั้นมีคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการอำนวยการและผู้ที่ช่วยเหลืองานอยู่ประมาณ 7 คน วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่ 22 เมษยน 2545 จำได้ว่า มีเพียงคณะกรรมการและอุบาสิกาอีกคนหนึ่ง นอกนั้นไม่มีใคร เพราะเมื่อบรรยากาศปกคลุมไปด้วยความขัดแย้งจึงไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาสู่แวดวงแห่งความขัดแย้งนั้น ผู้ที่ยังอยู่ก็อยู่ด้วยความหวาดหวั่นไม่มั่นคง

เมื่อมีการประชุมกรรมการเรื่องที่พูดก็เป็นเรื่องความขัดแย้งที่กำลังเผชิญอยู่นั่นเอง สิ่งที่ฉันบอกกรรมการในขณะนั้นก็คือ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป หากติดอกติดใจเรื่องที่กระทบกระทั่งกันก็พยายามให้อภัย ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กและทำเรื่องเล็กให้หมดไป เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ถ้ามีความตั้งใจ

เมื่อคณะกรรมการมีมติให้ฉันเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นเอกฉันท์ ก็ประกาศนโยบายสั้นๆว่า ฉันจะอยู่ที่นี้เพื่อ การศึกษา ปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นแก่นสารมากกว่า การทำงานด้านอื่น แม้ว่าจะต้องรับภาระหนี้สินค่าที่ดินที่หนักหน่วง แต่จะต้องตั้งอยู่บนหลักการแห่งธรรมวินัยและความเหมาะสมของพระสงฆ์อย่างเคร่งครัด หากการปฏิบัติอย่างนี้ไม่มีใครเข้าวัดให้การอุปถัมภ์ ที่ดินและบ้านที่ใช้สร้างวัดถูกยึดไป ก็พร้อมที่จะให้ถูกยึดและเดินทางกลับเมืองไทย จะได้พิสูจน์ให้ทราบกันว่า การเผยแผ่ธรรมะโดยไม่มุ่งหน้าหาเงินอย่างผิดทางต้องทำให้วัดถูกยึด พระธรรมทูตอื่นๆที่จะมาทีหลังจะได้ทราบกันไว้

เมื่อตั้งใจแน่วแน่ที่จะนำพาวัดพุทธปัญญาเดินบนเส้นทางสายใหม่ที่ยังไม่มีใครกล้าทำกันมาก่อน ก็มีเสียงทักท้วงพอสมควร เมื่อใครทราบนโยบายนี้บางรายถึงกับโทรฯมาถามว่า พ่อเป็นเศรษฐีหรือที่ไม่ต้องหาเงินเข้าวัดอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน ก็ตอบเขาไปว่า พ่อแม่ยากจน และเสียไปหมดแล้วด้วย เพียงแต่ฉันอยากจะสร้างวัดให้เป็นวัดที่ถูกติฉินนินทาว่า เป็นวัดพุทธพานิชให้น้อยที่สุดเท่านั้น

จุดเริ่มต้นนำเอาตู้บริจาคที่มีอยู่ไปเก็บพายหลังนำไปทิ้งลงถังขยะไป การทำอย่างนี้ทำให้พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่รักใคร่นับถือกันถามว่า ได้ข่าวว่า ถึงกับไม่ตั้งตู้บริจาคเชียวหรือ จะอยู่ได้อย่างไร ก็ตอบไปว่า ลองทำดู หากอยู่ไม่ได้ก็กลับเมืองไทย ยังมีวัดร้างที่ไม่ต้องลงทุนด้วยเงิน พอที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ไปได้อีก 3000 วัด หากอยู่วัดละหนึ่งปียังเร่ร่อนอยู่ได้ถึง 3000 ปี ตอบท่านทีเล่นทีจริง แต่มีความจริงมากกว่า

เคยมีร่องรอยแห่งการนำสายสิญจน์วงน้ำบริสุทธิ์ที่ยังอยู่ในกล่อง เพื่อเสกเป็นน้ำมนต์ให้คนบูชาได้อย่างสะดวก ภายหลังได้นำสายสิญจน์ไปทิ้งเสีย ไม่ต้องเสกน้ำมนต์ หากใครต้องการก็เอาเนื้อมนต์ไปล้วนๆ เนื้อมนต์คือธรรมะที่มีอยู่แท้ๆปฏิบัติได้ จึงกลายเป็นวัดที่ไม่ต้องมีน้ำมนต์ ไม่ว่าในกรณีย์ใด

ในศาลาน้อยที่ทำขึ้นมาจากโรงรถ ยังมีสังฆทานชุดที่ห่อไว้ให้พุทธศาสนิกชนเช่าถวายเป็นทางหาเงินเข้าวัดอีกทางหนึ่งที่นิยมกันมากในประเทศอเมริกาเพราะเป็นทางหาเงินที่ต้นทุนต่ำอย่างมาก บางวัดเล่ากันว่า สังฆทานเพียง 20 ชุดขายวนไปเวียนมาถึง ห้าหมื่นเหรียญ ก็บอกกับกรรมการว่า วัดพุทธปัญญาจะถวายอาหารเป็นสังฆทานตามคำกล่าวถวายสังฆทาน แต่จจะยกเลิกสังฆทานเวียนเทียนนั้นอย่างเด็ดขาด ใครจะทำก็ทำกันไปแต่เราจะลองไม่ทำดู

การยกเลิกสังฆทานเวียนเทียน ทำให้กรรมการบางท่านคิดหนักแต่พูดไม่ออก เพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรในเมื่อบอกว่าต้องการสร้างวัดให้ปลอดจากพุทธพานิชก็ว่ากันแบบสุดๆไปเลย ไม่ต้องมีเยื่อใยนอกรีดใดๆ อะไรเหลืออยู่ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เจ้งเป็นเจ้ง ให้ธรรมะและพุทธวิถีที่ถูกต้องดำรงอยู่เป็นพอ พระสงฆ์ตายได้ ลาสิกขาได้ วัดล้มได้ แต่พระพุทธศาสนาที่แท้ต้องอยู่ต่อไปอีกยาวนาน

เมื่อแรกเดินทางมาอเมริกา เห็นพระสงฆ์วัดต่างๆขับรถกันเป็นทิวแถว ด้วยข้ออ้างที่ควรค่าแก่การขับรถที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทยว่า มีความจำเป็นเพราะพระสงฆ์มาอยู่ที่อเมริกาต้องพึ่งตนเอง ไม่มีใครมาขับรถให้ไปไหนมาไหนลำบาก

ประชาชนชาวไทยที่ไม่เคยชินกับการขับรถของพระสงฆ์มาก่อน เห็นแล้วทำใจลำบาก พูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ท่านอ้างมานั้นเป็นความจริง แต่ละวัดพอถึงวันธรรมดาญาติโยมก็จะพากันไปทำงาน ปล่อยพระสงฆ์ให้อยู่วัดจะไปไหนก็ไม่ได้ มีธุระอะไรก็ต้องรอให้ญาติโยมเข้ามานั้นแหละจึงจะได้ไปทำธุระ

แต่ฉันก็คิดว่า แม้พระสงฆ์จะต้องเผชิญกับความจำเป็นที่จะต้องขับรถถึงขนาดนั้น ก็จะต้องทดลองดูเพื่อพิสูจน์ว่า หากพระสงฆ์ไม่ขับรถจะทำหน้าที่พระธรรมทูตได้หรือไม่ จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ไหม จะพึ่งรถของญาติโยมได้แค่ไหน และเพื่อเป็นการส่งเสริมชีวิตของพระสงฆ์ที่เรียบง่ายไม่ทิ้งรากฐานเดิม หรือใช้ภาษาอาจารย์สุลักษณ์ว่า ไม่เป็นวัวลืมตีน จึงเสนอว่า แม้รถวัดก็ไม่ต้องมี จะเป็นการประหยัดอีกทางหนึ่งด้วย

ฉันได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วห้าปีว่า แม้พระสงฆ์ไม่ขับรถเอง รักษาประเพณีของพระสงฆ์ไทย ก็สามารถทำหน้าที่พระธรรมทูตได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และยังทำให้ประชาชนไทยที่ยังไม่คุ้นชินได้มีความชื่นใจและไม่ตกใจอีกด้วย

ฉันสามารถเดินทางไปลงอุโบสถในวันปาฏิโมกข์ที่วัดไทยแอลเอด้วยรถเมล์ 480 แล้วต่อรถใต้ดินไปขึ้นนอร์ถฮอลิวูด ต่อรถเมล์สาย 52 ไปถึงหน้าวัดไทย ด้วยราคาเพียง 4 เหรียญ 25 เซ็นต์ รวมทั้งไปทั้งกลับไม่เกิน 10เหรียญ หนึ่งเดือนจ่ายเพียง ไม่ถึง 10 เหรียญ แม้จะต้องไปเรียนหนังสือด้วยทุกวันก็ไม่เกิน 30 เหรียญต่อเดือน คิดอย่างไรก็ยังถูกกว่ารถยนต์ ถูกกว่าการไปรถส่วนตัวที่จะต้องติมน้ำมันครั้งละ 20 เหรียญเป็นอย่างต่ำ

ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาฉันสามารถกล่าวได้ว่า ฉันสามารถทำหน้าที่พระธรรมทูตได้อย่างไม่บกพร่อง โดยไม่ต้องขับรถส่วนตัวหรือมีรถยนต์ไว้ในวัดได้เลย ตามคติที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยพร่ำสอนเสมอว่า ชาวพุทธต้องอยู่อย่างต่ำกระทำอย่างสูง โดยเฉพาะพระสงฆ์ซึ่งชาวพุทธมอบให้เป็นผู้นำของพุทธบริษัท ที่จะต้องดำเนินชีวิตที่เป็นตัวอย่างของผู้ไม่หลงใหลในวัตถุนิยมด้วยแล้วต้องตระหนักอย่างมากทีเดียว

ชาวพุทธส่วนใหญ่และพระสงฆ์โดยทั่วไปมักจะเข้าใจกันไปในทิศทางเดียวกันว่า ศาสนาพุทธ พราหมณ์ ไสยศาสตร์อยู่ในวัดเดียวกันได้ ทำพร้อมกันได้ ดังศาสนสถานทั้งหลายที่เห็นอยู่โยทั่วไป แทนที่จะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งพระมหากรุณาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณ กลับเป็นที่สิงสถิตแห่งลัทธิไสยศาตร์และเชนอยู่โดยทั่วไปดังเห็นได้จากการบนบานศาลกล่าวอ้อนวอนพระพุทธรูป ทำพระพุทธรูปและรูปเจ้าแม่เจ้าพ่อต่างๆให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาเชนหรือฮินดูที่ว่าในธาตุทุกชนิดมีชีวะสิงสถิตอยู่ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการเอาความเชื่อของศาสนาอื่นเข้ามาครอบพุทธศาสนาจนหาร่องรอยแห่งพุทธศาสนาไม่เจอ

ในวัดหรือพุทธศาสนสถานจึงเต็มไปด้วยลัทธิไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ เพื่อตอบสนองความพอใจของประชาชนที่ยังไม่มีความรู้ว่าอะไร เป็นพุทธ อะไร เป็นไสยศาสตร์ อะไรเป็นพราหมณ์ อะไรเป็น เชน ยิ่งปี พ.ศ. 2550 ด้วยแล้วเป็นปีแห่งไสยศาสตร์จริงๆ วัตถุไสยศาสตร์ทุกชนิดที่ผ่านการทำพิธีปลุกเสกด้วยลัทธิพราหณ์ ออกมาล้วนมีราคาแพงลิ่ว

ฉันมีความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า ถึงเวลาที่จะต้องแยกกันชัดๆว่า อะไรเป็นไสยศาสตร์ อะไรเป็นพุทธศาสตร์ไม่ควรปนเปหรือครอบงำกันจนสับสนอย่างนี้ ผลออกมาพระพุทธศาสนาที่แท้จริงถูกบิดเบือนให้เข้าใจผิดไปว่าเป็นศาสนาที่งมงาย ไร้สาระ ไม่มีเหตุผล ปฎิบัติไม่ได้ ขัดขวางการพัฒนา เป็นการทำลายศาสนาที่คนทำลายไม่เคยรู้ตัวว่ากำลังทำลายแต่เข้าใจผิดว่าเป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป

ฉันจึงมีความตั้งใจว่า จะสร้างวัดพุทธปัญญา ให้เป็นวัดที่มีการศึกษา พระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มุ่งไปสู่การใช้พระธรรมมานำชีวิต มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตามหลักของชาวพุทธแต่ครั้งพุทธกาลโดยไม่พึ่งสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้

เมื่อมีความทุกข์ก็พิจารณานำเอาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณและพระสังฆคุณมาเป็นแนวทางแห่งการแก้ไข ไม่ใช้วิธีการอื่นเพราะมั่นใจว่า พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ มีพลานุภาพเพียงพอต่อการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ได้ ซึ่งทุกสิ่งต้องทำเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้ทางส่วนการเดินทางไปสู่ความดับทุกข์เป็นเรื่องของเธอ

ห้าปีที่ผ่านมาวัดพุทธปัญญาจึงดำเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยอาศัยพระคุณของพระรัตนตรัยโดยไม่ใช้สิ่งอื่นนอกเหนือไปจากพระพุทธศาสนาเข้ามาปะปนให้สับสน แต่ทั้งนี้ก็พร้อมที่จะเป็นมิตรกับผู้ที่ถือสิ่งอื่นเป็นทางแห่งความดับทุกข์อย่างไม่มีข้อรังเกียจแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการให้ทราบว่า วัดพุทธปัญญาจะ พึ่งพระรัตนตรัยเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตเท่านั้น

เมื่อถึงเทศกาลต่างๆเช่นสงกรานต์ กฐิน เข้าพรรษา ออกพรรษา วิสาขบูชา มาฆบูชา ลอยกระทง วัดต่างๆมักจะถือโอกาสนี้ จัดงานรื่นเริงเพื่อดึงดูดใจของประชาชนให้ไปดูมหรสพและซื้อสิ่งของต่างๆที่ทางวัดจัดขึ้น เพื่อ หาเงินเข้าวัดด้วยวิธีการ ต่างๆสารพัดเป็นที่ทราบกันว่า หลายวัดจัดงานแต่ละครั้งได้เงินเข้าวัดเป็นเรือนแสนเหรียญขึ้นไป

ฉันคิดว่า การจัดงานรื่นเริงในวัดไม่ว่าวิธีใดย่อมเป็นการกระทำที่ผิด วัตถุประสงค์ของศาสนสถาน เพราะวัดเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งเน้นความสงบเป็นจุดหมายปลายทาง ยิ่งสงบเท่าไร ยิ่งส่งเสริมการศึกษาธรรมะให้แจ่มแจ้งได้เท่านั้น แต่การจัดมหรสพหรือการละเล่นต่างๆ เป็นเรื่องที่ทำให้วัดมีเสียงดังอึกทึกครึกโครม ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อความสงบ อันเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของวัดในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า อาราม ซึ่งแปลว่า สถานที่ที่น่ารื่นมย์ ซึ่งตรงกันข้ามกับสถานเริงรมย์อยางสิ้นเชิง

วัดพุทธปัญญา จึงไม่จัดงานการละเล่นสนุกสนานเรื่นเริงทุกชนิด เพื่อดึงดูดคนให้เข้าวัด แต่ยินดีต้อนรับ ผู้ที่มีความสนใจใคร่จะศึกษาธรรมะ ด้วยความเต็มใจและตั้งใจ เพื่อความรู้ ความเข้าใจแจ่มแจ้งแห่งธรรมอย่างแท้จริง การไปวัดคือการแสวงหาความรู้ทางธรรมอย่างตรงประเด็นไม่เปลี่ยนแปลงจุดประสงค์อย่างอื่นนอกจากเรื่องธรรมะ เพราะวัดมีความเหมาะสมที่จะจัดการเรื่องธรรมะได้มากกว่าเรื่องอื่น

ห้าปีที่ผ่านมาจึงได้จัดวัดเพื่อการเผยแผ่ธรรมะมากกว่าเรื่องอื่นใด เพราะหน้าที่หลักของพระธรรมทูต คือการเดินทางมาประกาศธรรมะให้แก่ผู้ที่ต้องการธรรมะเท่านั้น

วัดพุทธปัญญาได้จัดสื่อธรรมะทั้งหนังสือ ซีดี ดีวีดี วีซีดีและทีวีเพื่อส่งธรรมะไปถึงผู้สนใจอย่างมิได้ขาด

ส่วนกระบวนการสร้างวัดก็ได้วางไว้เป็นลำดับแห่งพัฒนาการไว้ว่า สร้างใจ สร้างคน สร้างชุมชน และสร้างวัด

จากวันแรกที่เดินเข้ามาวัดพุทธปัญญามีคนเข้ามวัดไม่ถึงสิบคน วันนี้ปีที่ห้า วัดพุทธปัญญาได้มีโอกาสพบปะผู้ใฝ่ธรรมไม่ต่ำกว่า ห้าหรือหกสิบคนต่ออาทิตย์อย่างต่อเนื่องมิได้ขาด โดยไม่ต้องจัดการละเล่นหรือมหรสพที่จะมาชัดจูงใจคนเข้าวัดแต่อย่างใด เพราะเมื่อทุกคนได้ศึกษาธรรมะกันอย่างตรงๆไม่อ้อมค้อม นำสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างตรงประเด็นย่อมจะได้รับผลเป็นความสุขสงบเย็น กายดี จิตสงบ พบความสุขง่ายๆ ก็คิดถึงผู้อื่นจึงช่วยกันบอกต่อๆกันไปว่า มาฟังธรรมกันเถิด ธรรมะมีคุณค่ามากสำหรับชีวิต

เมื่อได้ลองปฏิบัติธรรมดูก็พบว่า มีเพื่อนๆจำนวนมากที่สนใจใฝ่ธรรมอย่างจริงจัง ช่วยกันเป็นกำลังใจ ช่วยงานต่างๆอย่างไม่เห็นแก่ตัว กลายเป็นชุมชนคนรักธรรม เพราะมารวมตัวกันด้วยธรรมไม่ปรารถนาจะรับสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากธรรม

ชุมชนได้ขยายตัวใหญ่ขึ้นมาตามลำดับ ทุกคนล้วนมีจิตใจเปี่ยมด้วยความกรุณา เวลามีภัยพิบัติ เช่นภัยสึนามิ หรือพบเยาวชนได้รับความยากลำบาก เมื่อบอกข่าวเหล่านี้ให้ทราบก็รีบชวนกันขวนขวายบริจาคตามศรัทธาตามที่เห็นว่าสมควรจะให้ความช่วยเหลือ ได้ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากกันไปหลายๆครั้งในแต่ละปีที่ผ่านมา

บัดนี้วัดพุทธปัญญา มีที่ดินเป็นของวัดแล้ว ชาววัดพุทธปัญญาผู้ใฝ่ธรรมล้วนเปี่ยมด้วยขันติธรรม ทนร้อนทนหนาวฟังธรรมใต้ต้นไม้กันมาทั้งที่กริฟิตพาร์คเป็นเวลาห้าปีไม่หนีไปไหน บัดนี้ทาง City of Pomona ได้อนุญาตให้สร้างวัดตามระเบียบของ CITY แล้ว ชาววัดพุทธปัญญาจึงจำเป็นต้องสร้างศาลา ลานจอดรถและรั้วสองด้านตามที่ City กำหนด

จึงได้นัดแนะพร้อมใจกันว่า วันที่ 27 พฤษภาคม 2550 จะเป็นวันวางศิลาธรรม เพื่อลงหลักปักฐานพุทธธรรมลงในดินแดนอเมริกาอย่างมั่นคง เพื่อประโยชน์ของชาวโลกอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ตามพระพุทธประสงค์ของพระพุทธองค์ที่ฝากไว้ทุกประการ

ห้าปีที่วัดพุทธปัญญา เป็นห้าปีแห่งการร่วมมือ ร่วมแรง และร่วมใจกัน สร้างใจ สร้างคน สร้างชุมชน สร้างวัดเพื่อส่งเสริมศาสนาทั้งในด้านศาสนธรรม ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ไปพร้อมๆกัน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในวิถีทางที่ทุกคนปรารถนาสืบไป

22 เมษายน 2550 เวลา 11.04 น. ห้าทุ่ม สี่นาที

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple