วัดพุทธปัญญา

บทความ\58.วิเวก

58.วิเวก

ท่านอาจารย์พุทธทาสได้แปลคำว่า วิเวก ว่า เดี่ยวอย่างวิเศษ นับเป็นการแปลที่ได้ความหมายสมบูรณ์ทั้งอรรถะ พยัญชนะและสภาวะธรรม ท่านอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่แปลว่า เดี่ยวอย่างวิเศษนั้นเพราะ ไม่มีอะไรมารบกวน สิ่งที่พิเศษสุดของชีวิต คือจิตที่ปลอดหรือปราศจากกิเลสใดๆมารบกวน

ความจอแจแออัดของผู้คนที่รวมตัวกันเพื่อจุดประสงค์ของตนหรือของฝูงชนอย่างใดอย่างหนึ่งในที่ใดที่หนึ่งเช่นตลาดสด ห้างสรรพสินค้า หรือเสียงอึกทึกครึกโครมของรถราที่วิ่งขวักไขว่ไปมาบนถนนหนทาง แม้กระทั่งเสียงเพลงหรือเสียงดนตรีที่ใช้เสียงดังจนเกินไป ล้วนเป็นสิ่งรบกวนทางกาย

หากได้หลีกเร้นออกไปให้ไกลจากเสียงเหล่านี้ เช่นไปนั่งในป่า บนภูเขา ริมฝั่งแม่น้ำ ชายทะเล หรือสวนสาธารณะที่อยู่ไกลออกไปจากชุมชน ก็จะพบกับความสงบทันที คือเสียงต่างๆจะไม่ตามไปรบกวนได้ คงได้ยินเสียงนก เสียงสัตว์ป่าที่จะพาให้เพลิดเพลินได้มากกว่าที่จะรบกวน

ความสงบอย่างนี้ เรียกว่า กายวิเวก คือสงบทางกาย

สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ บางคนเมื่ออยู่คนเดียว หรือได้นั่งในที่สงบสงัดมักจะเล่าว่า รู้สึกเหงา ฟุ้งซ่าน คิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในอดีต หรืออาจจะวิตกไปถึงอนาคตบ้าง ไม่เป็นอันสงบรำงับลงไปได้ อาการอย่างนี้เป็นความสงบเพียงกาย แต่ใจยังไม่ยอมสงบด้วย

บางคนเล่าว่า เวลาทำงานหนักๆเหนื่อยๆติดต่อกันหลายวัน ทันทีที่เข้าไปสู่สถานที่สงบ ความคิดต่างๆที่ฟุ้งซ่าน ก็สงบไปใจสัมผัสอยู่กับธรรมชาติที่ปรากฏเบื้องหน้าไม่หนีไปไหน บางทีแค่เข้าไปในสวนสาธารณะอันร่มรื่นจิตใจก็เริ่มสดชื่นเบิกบานจากการ ชื่นชมธรรมชาติ

ก้อนหินที่วางอยู่อย่างง่ายๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่สักต้นหนึ่งที่มีร่มเงาบังแดดตามขนาดของเงาที่จะพึงมีได้จากการส่องแสงแห่งดวงอาทิตย์ สายลมพัดเบาๆไม่กระโชกแรงจนหนาวเหน็บ มองไปรอบๆตัว กระรอกน้อยใหญ่วิ่งเล่นและหาอาหารกันตามสัญชาตญาณอย่างสนุกสนาน นกฮัมมิ้งน้อยๆกำลังลอยตัวดูดเกษรดอกไม้ที่กำลังบานสพรั่งตามฤดูกาลอย่างเพลิดเพลิน

เมื่อกายได้สัมผัสกับบรรยากาศของธรรมชาติที่บริสุทธิ์ปราศจากการปรุงแต่งเช่นนี้ ใจก็เข้าสู่สภาวะบริสุทธิ์สะอาดตามธรรมชาติ เพราะจิตโดยปกติก็สะอาดอยู่แล้ว เมื่อสัมผัสกับสิ่งที่ปรุงแต่งมากๆก็เศร้าหมอง แต่เมื่อสัมผัสกับธรรมชาติบริสุทธิ์ ธรรมชาติกับธรรมชาติแล่นเข้าหากันต่างฝ่ายต่างชำระสะสางให้แก่กันและกันผลสุดท้ายมีแต่ความสงบและสะอาดผ่องใสไร้มลทิน

จิตที่สงบอยู่กับปัจจุบันขณะจดจ่อยู่กับธรรมชาติเบื้องหน้านี้แหละ เรียกว่า จิตวิเวก

ขณะที่จิตพบความวิเวกไม่มีความกังวล ความวิตก ความกลัว ความอยาก ความเกลียด เข้ามารบกวน เรียกว่า อุปธิวิเวก ซึ่งแปลว่า สงบจากกิเลส จิตจะรู้สึกอิสระ โล่งโปร่งเบา สดชื่น เบิกบาน และอิ่มเอิบ สงบเย็นเป็นสุข

ในโอวาทปาฏิโมกข์ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอรหันต์ทั้งหลายว่า การอยู่ในที่สงัดเป็นโอกาสพิเศษที่จะยกระดับจิตให้สูงได้อย่างยอดเยี่ยม

การยกระดับจิต คือ การนำจิตให้สูงขึ้นจากกระแสของกิเลสที่มักจะพัดพาใจให้ตกต่ำอยู่สม่ำเสมอ เมื่อเผลอเรอหรือประมาท

เมื่อจิตถูกกระแสความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาทจองเวรพัดพา จะดิ้นรนกระเสือกกระสน มุ่งร้าย ทำลาย สิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าพอใจ อันเป็นที่มาของการด่าทอ ทะเลาะวิวาท ทุบตี ฆ่าฟัน ทำลายล้าง สร้างสงครามได้ทุกหนทุกแห่ง

ความโกรธ คือ ผู้อยู่เบื้องหลังสงครามทุกแห่งในโลกนี้ ตัวผู้ก่อการร้ายหรือผู้บงการให้เกิดสงครามที่เรียกตัวเองว่าผู้นำในระดับต่างๆ ล้วนเป็นหุ่นเชิดแห่งความโกรธความเกลียดทั้งสิ้น

เมื่อจิตถูกกระแสของความโลภพัดพาก็จะกระตุ้นให้แสวงหา เก็บ กัก ตุน ห่วง หวง ทรัพยากรธรรมชาติทั้งที่เป็นคุณค่าแท้ที่มนุษย์บริโภคใช้สอยเพื่อเลี้ยงกาย เช่นข้าวและพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งปวง และทรัพยากรที่เป็นคุณค่าเทียมซึ่งมักจะเป็นอาหารเลี้ยงกิเลส เช่นแก้ว แหวน เงิน ทอง อำนาจ

ความโลภ คือผู้อยู่เบื้องหลังการทำลายทรัพยากรโลกให้หายนะอยู่ทุกวัน ทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยมลพิษ เศรษฐีน้อยใหญ่ตั้งแต่อันดับหนึ่งถึงอันดับท้ายๆของโลก ล้วนเป็นหุ่นกระบอกให้ความโลภเชิดชัก บังคับให้ดิ้นรนแสวงหาอย่างไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักพอ ภาษาทางโลกเรียกว่า เศรษฐี แต่ภาษาทางธรรมเรียกว่า ทาสที่อยู่บนซากปรักหักพังของทรัพยากรโลก

เมื่อความหลงครอบครองครอบคลุมจิต กระตุ้นให้มนุษย์ยึดติดเข้าใจผิดว่า ร่างกายนี้เป็นของตนเอง ชื่อเสียงเกียรติ์ยศเป็นของตนเอง สามีภรรยา เป็นของตนเอง ทรัพย์สิน ที่ดิน บ้านช่องเป็นของตน อำนาจเป็นของตน ทั้งๆที่แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติธรรมชาติ เมื่อตายแล้วไม่เห็นใครหอบหิ้วทรัพย์สินเหล่านี้ไปได้สักคนเดียวดังคำที่คนโบราณเขียนไว้เตือนสติตามป่าช้าและเมรุว่า

ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ คงเหลือแต่ต้นทุนบุญกุศล

ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน ร่างของตนเขายังเอาไปเผาไฟ

ร่างกายตายแล้วเน่าเปื่อยต้องช่วยกันหามไปเผาให้สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน หรือฝังเอาดินกลบไม่นานก็กลายเป็นดินทับถมโลกต่อไป ไม่มีสัญญาณใดๆหลงเหลืออยู่ว่า ใครๆจะครอบครองอะไรไว้ได้อย่างถาวร

ความหลงคือ ผู้อยู่เบื้องหลัง โจรร้ายทั้งหลายที่เดินคลาล่ำปล้นธรรมชาติด้วยการตะโกนว่า ที่ดินนี้ของกู บ้านหลังนี้ของกู ตลาดนี้ของกู ตำแหน่งนี้ของกู ผู้ชายคนนี้เป็นสามีกู ธุรกิจนี้ของกูและหลายๆอย่างที่กำลังปล้นกันอย่างเมามันจนวันสุดท้าย แบมือยอมแพ้ลาโลกไปและมอบทุกสิ่งที่เคยยึดครองว่าเป็นของตนให้แก่ธรรมชาติทั้งสิ้นอย่างจำนน

การมีโอกาสได้อยู่ในที่สงบสงัดปราศจากสิ่งรบกวน ปล่อยจิตให้สื่อสัมพันธ์กับธรรมชาติที่อยู่เบื้องหน้า ไร้การปรุงแต่ง เกลี้ยงเกลา เบาเย็น เป็นอิสรภาพ เป็นการยกระดับจิตให้สูงขึ้นจากกระแสพัดพาของกิเลสได้อย่างแท้จริง จิตที่สงบเย็นเป็นปกติเช่นนี้เองเป็นที่รวมพลังแห่งความดีทั้งปวง

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple