วัดพุทธปัญญา

บทความ\57.รากแก้วชีวิต

57.รากแก้วชีวิต

อุบาสกอุบาสิกาหลายท่านที่ไปฟังธรรมที่กริฟฟิตพารค์ทุกวันเสาร์ก็ดี ที่ไปฟังธรรมที่วัดพุทธปัญญาในวันอาทิตย์ก็ดี ล้วนมีความประสงค์ร่วมกันคือ ต้องการทำความเข้าใจเรื่องสติปัฎฐานสี่ให้กระจ่างชัด ในระยะเวลาอันสั้น ด้วยคำอธิบายง่ายๆ

เบื้องต้นมาทำความเข้าใจเสียก่อนว่า คำว่า สติปัฎฐาน นั้น แปลว่า การวางสติไว้ทุกแห่ง

วางสติไว้ที่ไหนบ้าง

  • วางไว้ที่กาย ซึ่งหมายถึงร่างกายที่มองเห็นสัมผัสจับต้องได้นี้แหละ ทุกครั้งที่กายเคลื่อนไหว ก็ระลึกถึงเสียก่อนว่าจะเคลื่อนไหวแล้วนะ หรือเมื่อเคลื่อนไหวก็รู้สึกว่ากำลังเคลื่อนไหวอยู่ ตรงนี้คนที่เข้าวัดบ่อยๆ ปฏิบัติภาวนามาบ้างจะเรียกว่า สติ ความระลึกได้ทำงานคู่กับ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว
  • วางสติไว้ที่ความรู้สึก ซึ่งภาษาธรรมะเรียกกันว่า เวทนา แบ่งเป็นความรู้สึกชอบและ ชัง กับความรู้สึกกลางระหว่างชอบชัง คือพร้อมจะชอบหรือชังได้ ตามแรงจูงใจหรือเหตุปัจจัยที่หนุนเนื่องเข้มข้นมากพอ หากมีแรงจูงใจหรือเหตุปัจจัยพร้อมที่จะให้ชัง ก็พร้อมจะเอนเอียงไปทางชัง หากมีเหตุอันควรชอบก็เอนเอียงไปทางชอบ การวางสติก็คือระลึกรู้อยู่ว่า กำลังชอบหรือชัง ชอบก็รู้ว่าชอบ ชังก็รู้ว่า ชัง แค่รู้ก็พอ และรู้ต่อไปว่า ทั้งชอบและชังก็เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็ดับไปทั้งหมดไม่เหลือค้างคาเมื่อสติกำหนดรู้ได้ชัด จิตใจจะมั่นคง ไม่โอนเอนอ่อนไหว สะบัดกวัดแกว่งไปมาตามความชอบชัง วางจิตไว้เหนือกว่าก็จะรอดพ้นไปจากกระแสความรู้สึกที่ชอบชัง
  • วางสติไว้ที่จิต ไม่ว่าเวลาใดจิตใจอิ่มเอิบ ปราโมทย์เบิกบาน หรือซึมเศร้า เซ็ง ก็ใช้สติกำหนดรู้ว่า กำลังเป็นอย่างไร ก็รู้อย่างนั้น ธรรมชาติของจิตจะเกิดดับรวดเร็ว เมื่อใช้สติเฝ้าดูอย่างติดตามแล้ว ก็จะไม่หลงตกลงไปในความคิดตามสภาพที่ปรากฏกับจิตนั้น บางคนคิดเบื่อหน่ายชีวิตขึ้นมา แล้วไม่เคยเข้าใจว่าความคิดเช่นนั้นเกิดแล้วดับไปสุดท้ายก็ปล่อยใจไปตามความคิดและคิดต่อไปเรื่อยๆไม่ยอมกลับมาสู่จิตบริสุทธิ์ที่รอยู่แล้ว สุดท้ายก็กระทำไปตามที่คิดอย่างขาดสติ ซึ่งอาจจะทำร้ายตนเองหรือฆ่าตนเองก็ได้ แต่ถ้าทำความเข้าใจเรื่องการใช้สติมาคอยดูแลใจแล้วจะปลอดภัยทั้งใจและกาย
  • วางสติไว้ที่ธรรม คือตัวธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับจิตหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปดีบ้างไม่ดีบ้าง เช่น ความรัก ความเกลียด ความฟุ้งซ่าน ความซึมเซาเซ็งและเบื่อหน่าย ความวิตกกังวล ที่วนเวียนเข้ามาเยี่ยมเยือนจิตใจถี่บ้างห่างบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง หากขาดสติหรือไม่เคยเจริญสติ พอเกิดสิ่งเหล่านี้ก็จะเผลอตัวทันที ถ้ารักก็รักจนลืมตัว ถ้าเกลียดก็เกลียดจนลืมตัว เมื่อเกลียดหรือรักมากๆก็ฝังแน่น ขจัดออกได้ยาก แต่ถ้าศึกษาจิตดีๆผ่านการเจริญสติเรื่อยๆนานๆก็เริ่มแยกจิตบริสุทธิ์ออกจากกิเลสได้เก่งขึ้น เข้าใจไตรลักษณ์ คือ ความเปลี่ยนแปลง ทนอยู่มิได้ และสลายไปในที่สุด ก็จะพบว่า ชีวิตทั้งภาคกายและจิตไม่มีอะไรหยุดนิ่งล้วนไหลไปไม่หยุดแม้ดูหยาบๆปราศจากโยนิโสมนสิการจะเห็นว่า เป็นก้อน เป็นเนื้อเป็น หนังกระดูกแต่ถ้ามองลึกๆด้วยสติที่คมชัดลึก ก็จะพบว่า ไม่มีอะไรหยุดนิ่งหรือจับกันเป็นตัวตนได้เลย นี้แหละเป็นที่มาแห่งธรรมะที่เรียกว่าอนัตตา

เมื่อมาทำความรู้จักว่าสติปัฏฐานเป็นอย่างไรทำหน้าที่อย่างไรแล้ว ก็มีคำถามต่อไปว่า ถ้าเจริญสติมากๆหรือวางสติไว้ทุกจุดจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต

คำตอบซื่อๆตรงๆก็คือ ถ้าสะสมสติไว้มากๆก็จะร่ำรวยด้วยสติ มีความรู้สึกตัวทั่วถึงเป็นเยี่ยมจะทำสิ่งใดก็ไม่ผิดพลาดจิตใจก็ดีงาม จะทำจะพูดจะคิด ก็ล้วนดำเนินไปอย่าง ถูกต้อง มั่นคง และหนักแน่น

ตรงกันข้าม ถ้าขาดสติบ่อยๆโดยไม่คิดว่าจะสะสมสติกันบ้าง วันหนึ่งหมดสติก็จะทำพูดหรือคิดอะไรไม่ถูก คนหมดสติก็คือคนที่ตายทั้งเป็น หรือคนที่สติเหลือน้อยก็เป็นคนบ้าหรือเป็นคนที่ไร้ค่าแห่งความเป็นมนุษย์ไปในที่สุด

เมื่อเจริญสติทุกครั้ง ก็มีสติทุกครั้ง เมื่อสติมาทันปัญญาก็เกิด จิตใจบริสุทธิ์ไม่เศร้าหมอง ก็พบความสุขใจได้ง่ายๆ เมื่อเครื่องเศร้าหมองใจลดน้อยลงไปชีวิตจิตใจก็เบาโปร่งสบาย ด้วยการที่สติมีความสำคัญแก่การดำเนินชีวิตในทุกอย่างก้าวตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนกระทั่งล้มตัวลงนอนหลับในตอนค่ำ

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สติ สัพพัตถะ ปัตถิยา แปลว่า ต้องใช้สติเป็นแสงสว่างนำทางในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ เผลอเมื่อไรไม่ตายก็เป็นบ้า สติจึงรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยทั้งกายและจิต

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple