วัดพุทธปัญญา

บทความ\55.ทำแทนคำอ้อนวอน

55.ทำแทนคำอ้อนวอน

ลักษณะเด่นของหลักพุทธธรรมที่ชาวพุทธทราบกันโดยทั่วไปก็คือว่า พระพุทธเจ้าได้ ทรงทำหน้าที่เป็นครูผู้ชี้ทาง ส่วนการเดินทางเป็นหน้าที่ของ ผู้ที่ต้องการจะเดินทาง พระองค์จะไม่บังคับใครๆว่าจะต้องเดินตามทางที่พระองค์ได้ทรงชี้ไว้ ดังที่พระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์เป็นผู้บอกทาง ส่วนความพากเพียรในการเดินทางไปสู่จุดหมายอันได้แก่ความสำเร็จ สงบสุข ร่มเย็น เป็นประโยชน์ทั้งตรเองและผู้อื่นเป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายต้องลงมือกระทำ

ชาวพุทธต้องตระหนักอยู่เสมอว่า แค่เชื่อพระพุทธเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ หรือสวดอ้อนวอนเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งทุกเช้าค่ำขอให้พระพุทธเจ้าช่วยจะไม่มีทางสำเร็จได้เลย แต่ความสำเร็จอยู่ที่การนำเอาคำสั่งสอนของพระองค์มาปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

มีบทธรรมในมงคลสูตรชุดหนึ่ง ประกอบด้วย ความเป็นพหูสูต การมีศิลปะ การมีระเบียบวินัย และพูดจาดี เป็นมงคลอันสูงสุด

คำว่า พหูสูต แปลว่า ผู้ฟังเรื่องราวต่างๆมามาก เพราะคำว่า พหู แปลว่ามาก สุตแปลว่าฟัง นำเอาคำสองคำมารวมกันก็จะได้รูปคำว่า พหูสูต แปลว่า ผู้ฟังเรื่องราวต่างๆมามาก นั้นก็หมายถึงผู้มีความรู้มากรอบด้าน

ในยุคพุทธกาลพระอานนท์ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นพหูสูตบุคคล คือผู้ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าแสดงมากที่สุด ทั้งนี้เพราะท่านเป็นเลขานุการประจำองค์พระพุทธเจ้า ก่อนที่ท่านจะเข้ารับตำแหน่งเลขานุการประจำพระองค์ ท่านได้ขอพรจากพระพุทธเจ้าเอาไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมที่ไหน ที่ท่านไม่ได้ยินไม่ได้ฟังอยู่ด้วย เมื่อท่านได้เฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว ขอให้พระองค์ทรงแสดงให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันข้อครหานินทาที่จะเกิดขึ้นภายหลังว่า อยู่ใกล้พระพุทธเจ้าแล้วไม่รู้อะไร

ด้วยการที่พระอานนท์ตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติหน้าที่เลขานุการประจำพระองค์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นพระมหาเถระผู้เป็นพหูสูต คือทรงจำพระธรรมจากพระพุทธเจ้ามากกว่าพระสาวกองค์อื่น

หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ในการทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่หนึ่งที่ประชุมใหญ่อันประกอบด้วยพระอรหันต์ ห้าร้อยองค์ ได้มอบให้พระอานนท์แสดงพระธรรมทั้งหมด และท่านสามารถทำหน้าที่นี้อย่างสมบูรณ์สมฐานะแห่งพระอรหันต์ผู้ทรงพหูสูตจริงๆ ส่วนพระวินัยก็เป็นภาระรับผิดชอบของพระอุบาลี พระอรหันต์สำคัญอีกองค์หนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า มีความเชี่ยวชาญด้านพระวินัย

เป็นอันว่า คำว่าพหูสูตแปลว่า ได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆมามากแล้วเก็บสะสมไว้มาก หรือ อาจจะเรียกว่ามีประสบการณ์มาก ในสมัยโบราณการฟังเรื่องราวจากปากของนักปราชญ์โดยตรงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น คนที่ฟังเรื่องราวต่างๆได้มากต้องเป็นคนที่มีสติดีสมาธิดี สมองดี และปัญญาดีจริงๆ

ยุคนี้เป็นยุคทองของพวกเราที่เกิดมามีสื่อสารพัด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ วิทยุโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต ซีดี เทป มาเสริมให้เราได้ยินได้ฟัง ได้ทบทวนได้อ่านได้เห็นพร้อมทุกด้าน แหล่งความรู้ก็มีมากมาย สามารถหาได้ในทุกก้าวย่างของชีวิตทีเดียว หากใครพยายามแสวงหาความรู้ เพิ่มพูนให้ชีวิตทุกวันก็ได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรมเพื่อความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง

เมื่อได้ยินได้ฟังมามาก เก็บความรู้ต่างๆไว้มาก เมื่อถึงคราวที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาชีวิตก็สามารถหยิบฉวยมาใช้ได้ทันท่วงที การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ถูกที่ถูกทางถูกกาล ถูกเวลา ถูกฝา ถูกตัว ท่านเรียกว่า มีศิลปะ เพราะคำว่าศิลปะแปลว่า เป็น เช่นบางคนหุงข้าวได้หอมอร่อยเสมอต้นเสมอปลาย เขาเรียกว่า หุงข้าวเป็น บางคนทำอาหารอร่อยเป็นที่ติดอกติดใจของผู้คนที่ได้ชิมลิ้มรส เขาก็เรียกว่า ทำอาหารเป็น

หรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า มีศิลปะในการหุงข้าว มีศิลปะในการทำอาหาร ในเรื่องอื่นๆเช่นเรื่องการร้องเพลง การวาดภาพ การเขียนหนังสือ การพูดจาที่เป็นประโยชน์เรียกว่า เป็นการพูดอย่างมีศิลปะ

การใช้ความรู้ให้เป็นเรียกว่า มีทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์คือตัวความรู้ ศิลป์คือกระบวนการนำความรู้ไปใช้ เมื่อผสมผสานทั้งสองอย่างเข้ากันอย่างกลมกล่อม ก็จะเกิดความเจริญที่เรียกว่า เป็นมงคล

นอกจากใช้ความรู้คู่กับการกระทำอย่างถูกต้องแล้วในมงคลสูตรยังกล่าวต่อไปว่า ต้องมีวินัยและพูดดี นั้นก็หมายความว่าลำพัง ความรู้ดีและใช้ความรู้เป็นซึ่งเป็นมงคลหรือเจริญแล้วก็ยังไม่พอ ต้องมีระเบียบวินัยในการดำเนินการเรื่องราวต่างๆ ทุกเรื่องต้องมีขั้น มีตอน มีระบบระเบียบ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การสื่อสารผ่านการพูดจาทำความเข้าใจต้องพูดให้ดี นั่นคือพูดแล้ว ได้ทั้งเนื้อความ สาระ ศิลปะ ฟังแล้วผู้ฟังประทับใจ อยากจะคบหาสมาคมด้วย ผู้ที่พูดจาดีใครเข้าใกล้ก็มีความสุข มีปัญหาหนักอกหนักใจก็พูดให้เบาใจผ่อน คลายไปได้ มีเรื่องใหญ่ก็ทำให้เล็ก มีเรื่องเล็กก็ชี้ทางสะสางให้หมดเรื่องไปอย่างสงบเย็นเป็นสุขทุกฝ่าย

ชีวิตที่จะก้าวไปข้างหน้าตามหลักของพระพุทธศาสนาจึงมิใช่อยู่ที่การสวดอ้อนวอนบทใดบทหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งดังที่ชอบกระทำกันอยู่โดยทัวไป แต่อยู่ที่การกระทำลงไปที่กาย วาจา และใจ ให้ถูกกาลถูกเวลา ถูกสถานที่ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าทำไปแล้ว ทั้งเราและเขาหรือคนข้างเคียงจะได้รับผลเป็นความสุขกายสบายใจทุกครั้ง แม้ว่าแต่ละครั้งจะดูน้อยนิดแต่อย่ามองข้าม ดูเม็ดฝนซิเม็ดเล็กนิดเดียว เมื่อขยันตกไม่หยุดย่อมกลายเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ให้ความชุ่มเย็นแก่คนและสัตว์เหลือคณานับได้ อย่างไม่เคยหมดสิ้น

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple