วัดพุทธปัญญา

บทความ\51.สุขของคฤหัสถ์

51.สุขของคฤหัสถ์

พระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นพระบรมครู คือเป็นครูชั้นเยี่ยม เวลาที่พระองค์จะทรงสั่งสอนประชาชน ไม่ว่าจะเป็นบุคคล เป็นกลุ่ม พระองค์จะทรงตรวจสอบความพร้อมของผู้ฟังเสียก่อนแล้วจึงเลือกสรรค์ธรรมะที่มีความเหมาะสมกับบุคคลนั้นๆมาสั่งสอน โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะนำเอาธรรมะนั้นไปปฏิบัติได้จริงๆแล้วเกิดผลตามมาจริงๆ

พระองค์ได้แสดงธรรมะสำหรับคฤหัสถ์ คือ ผู้ครองเรือนโดยตรงเอาไว้หลายเรื่อง หรือพูดตามสำนวนปัจจุบันที่ฟังได้ง่ายว่า พระองค์ได้แสดงธรรมเกี่ยวกับครอบครัวไว้หลายเรื่อง หากพูดว่า คฤหัสถ์จะกลายเป็นภาษาวัด ที่คนไปวัดหรืออ่านหนังสือธรรมะจะเข้าใจกัน แต่ถือเสียว่า ผู้อ่านทั่วไปก็ควรจะทำความเข้าใจศัพท์เหล่านี้ไว้บ้างเพราะว่าไม่ยากจนเกินไป

เป็นอันว่า คฤหัสถ์แปลว่า ผู้ครองเรือน ความสุข แปลว่าทนได้ง่าย ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่าทุกข์คือทนได้ยาก สุขของคฤหัสถ์ก็แปลว่า สิ่งที่คนในครอบครัวเดียวกันทนได้ง่าย ประเด็นนี้เห็นได้ชัดว่า ครอบครัวใดพ่อบ้านแม่เรือนยังทนอยู่กันได้ ทนทำมาหาเลี้ยงชีวิต ทนเลี้ยงลูก ทนเสียงบ่น ทนความจำเจ ได้อย่างสบาย ก็เรียกว่า เป็นการครองเรือนที่มีความสุข

แต่บางครอบครัว สมาชิกในครอบครัวโดยเฉพาะสามีกับภรรยา ทนฟังคำพูดของกันและกันได้ยาก ทนกินอาหารที่ปรุงให้แก่กันได้ยาก ทนเห็นหน้ากันทุกวันได้ยาก ทนสนทนาพูดคุยกันได้ยาก บางทีพูดกันเกินสิบคำก็เริ่มทะเลาะกันแล้ว บรรยากาศในครอบครัวอย่างนี้แหละ เรียกว่า ทุกข์ของผู้ครองเรือน

ความสุขของการครองเรือนนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะมีทั้งศาสตร์และศิลป์ มีหนักมีเบา มีขึ้นมีลง มีได้มีเสีย สลับปรับเปลี่ยนกันไปใครจัดการกับปัจจัยต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างไม่หวั่นไหวก็จะสามารถนำครอบครัวไปได้ตลอดรอดฝั่ง คู่รักก็อยู่กันตลอดชนิดตายจากกัน

ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการครองเรือนคือ ทรัพย์ อันหมายถึงเงินบ้าน ที่ดินและสิ่งที่จำเป็นอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกทั้งที่เริ่มต้นและจะทะยอยกันมาเพิ่มอยู่ไม่ขาดไม่ว่าจะเป็นสมาชิกถาวรหรือสมาชิกชั่วคราว พระพุทธเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า ถ้าผู้ครองเรือนมีปัจจัยเหล่านี้ จะมีความสุขในระดับหนึ่ง

  • ความสุขเกิดจากการได้ทำงานสุจริต อันได้แก่งานที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น มีผลผลิตและการสร้งสรรค์เพื่อส่งเสริมความสะดวกสบายของเพื่อนมนุษย์ โดยไม่จำกัดอาชีพอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะทุกอาชีพล้วนมีเกียรติและมีคุณค่าอยู่ในตัวเพราะต่างอาชีพก็ต่างเป็นกลไกให้เศรษฐกิจ สังคมและชีวิตมนุษย์ดำเนินไปอย่างราบรื่น
  • สุขเกิดจากการมีทรัพย์ เมื่อทำงานในด้านต่างๆมาแล้วทรัพย์ก็จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินประเภทเงินทอง บ้านที่ดิน ล้วนเรียกว่าทรัพย์สินเพราะทรัพย์แปลว่าสิ่งที่ทำให้ชื่นใจ เมื่อมีทรัพย์แล้วถ้ารู้สึกภูมิใจ พอใจกับทรัพย์ที่ได้มาจากความขยันหมั่นเพียรและภูมิปัญญา ก็ชื่อว่าสุขเกิดจากการมีทรัพย์
  • สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสหลักการจัดการทรัพย์สินที่ได้มาว่า ใช้จ่ายในครอบครัวหนึ่งส่วน ลงทุนสองส่วน และเก็บไว้ใช้จ่ายในวันข้างหน้าอีกหนึ่งส่วน แต่ละส่วนจะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับความจำเป็น ก่อนจะจ่ายทรัพย์ทุกครั้งตั้งคำถามในใจเสมอว่า จำเป็นไหม จ่ายแล้วได้ผลคุ้มทุนที่จ่ายไปไหม สิ่งที่ซื้อมาใช้ให้ประโยชน์คุ้มค่าไหม ถ้ายังไม่เห็นประโยชน์ที่แท้จริงก็อย่าเพิ่งจ่ายเก็บเงินไว้ในระบบที่ปลอดภัยจนกว่าจะถึงคราวจำเป็น จึงจะใช้จ่าย
  • สุขเกิดจากการไม่มีหนี้ ขึ้นชื่อว่าการเป็นหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้เพื่อการลงทุนหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ล้วนทำให้ไม่มีความสุขพอๆกัน ทุกหนี้ล้วนเป็นกองไฟที่ขับเคลื่อน จี้ติดให้ชี้วิตต้องดิ้นรนแสวงหาทรัพย์มาเปลื้องหนี้ให้หมด กล่าวกันว่าดอกเบี้ยเป็นดอกไม้ที่ขึ้นและเจริญเติบโตได้ในทุกสถานการณ์ไม่ต้องการรดน้ำพรวนดินหรือใส่ปุ๋ยแต่อย่างใด ขึ้นไวโตไว ขึ้นไม่หยุด ชีวิตที่ปลอดหนี้ พอมีพอกิน พออยู่พอใช้ พอใจ ที่สำคัญคือคนทุกคนในครอบครัวเข้าใจกัน เป็นความสุขอย่างหนึ่งในครอบครัว

แม้ว่าทรัพย์สินเงินทองมิใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่ก็เป็นปัจจัยเครื่องอำนวยความสะดวกให้ชีวิตได้พัฒนาตนเองไปสู่ความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เมื่อผู้ครองเรือนเข้าใจความจริงข้อนี้ ก็รักงาน ขยันทำงาน ตั้งใจทำงาน ปรับปรุงพัฒนางานให้มีคุณภาพอยู่ตลอดเวลา หาความสุขจากการทำงานในทุกก้าวย่าง เมื่อได้ทรัพย์มาแล้วก็พอใจยินดีจัดการกับทรัพย์อย่างถูกต้อง การครองเรือนก็จะมีแต่ความสุขในทุกขั้นตอน ไม่ลุ่มๆดอนๆสั้นๆแล้วหนีหายไปเพราะความสุขแท้จะติดตามเราไปทุกหนทุกแห่งที่เรามีความรู้สึกพอใจ

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple