วัดพุทธปัญญา

บทความ\เวทนา: ชอบ เฉย ชัง

5.เวทนา: ชอบ เฉย ชัง

ั้ ลานธรรมวัดพุทธปัญญา ยังคงเดินหน้าเปิดสนทนาธรรมเป็นประจำทุกอาทิตย์ในทุกฤดูกาล แม้ว่าฤดูหนาว ที่แสนจะหนาวเหน็บมาเยือนอีกครั้ง ชาววัดพุทธปัญญาที่มีจิตใฝ่ธรรมก็ยังคงปักหลัก ฟังธรรม สนทนาธรรมกันอย่างไม่ถอย นับเป็นที่น่าอนุโมทนายิ่งนัก

อุบาสกขาประจำท่านหนึ่งตั้งคำถามว่า ท่านอาจารย์ครับ คำว่า เวทนาในภาษา ธรรมะหมายความว่าอย่างไรครับ

ประธานลานธรรมขยับจีวรให้เข้าที่แล้วตอบว่า คำว่า เวทนา หมายถึง ความรู้สึก ที่มนุษย์เรารู้สึก อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปมาคือ ชอบ ชัง และเฉย

เวทนา เป็นความรู้สึกที่สืบเนื่องมาจากผัสสะ อันประกอบไปด้วย อายตนะภายใน อายตนะภาย นอกและวิญญาณ ทำงานร่วมกัน

ความรู้สึกชอบใจเกิดขึ้น เมื่อ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส จิตใจรับธรรมารมณ์

ความรู้สึกเกลียดชังเกิดขึ้น เมื่อ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส จิตใจรับธรรมารมณ์

ความรู้สึกเฉยก็เกิดขึ้น เมื่อ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส จิตใจรับธรรมารมณ์

ความรู้สึกเฉย แตกต่างจากความรู้สึกชอบชังอย่างไร

ความรู้สึกเฉยแต่ต่างกันก็คือ เวลาตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส จิตใจรับธรรมารมณ์นั้น ไม่รู้สึกประทับใจใดๆ เพียงแต่รับรู้แล้วผ่านไป เช่นเวลาไปเที่ยวงานสนุกต่างๆหรือไปซื้อของในงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ เห็นคนเป็นร้อยๆพันๆ หรือเห็นสินค้าเป็นร้อยๆพันๆชนิด แต่ไม่คิดจะซื้อสักอย่าง เหตุที่ไม่ซื้อมิใช่เพราะเกลียดชังหรือไม่ชอบ แต่เห็นแล้วเฉยๆ

เวลาเดินเที่ยวพบคนไปเที่ยวเป็นร้อยเป็นพัน ไม่นึกชอบใครสักคนที่จะผูกมิตรหรือผูกสัมพันธ์เป็นเพื่อนหญิงหรือเพื่อนชาย เห็นก็เพียงแต่รับรู้ว่า เป็นคน สูง ต่ำ ดำ ขาว ยาวสั้น อ้วน ผอม ตาสีฟ้าหรือสีดำ ผมสีบลอนหรือผมสีดำ หือสีน้ำตาล แต่ไม่รู้สึกเกลียดใครจนหยากจะชกตบหน้า หรือ ไม่รู้สึกรักจนอยากจะเข้าไปทักทายหรือกอดจูบ แต่เห็นแล้วเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาบวกหรือลบแต่อย่างใด

ความรู้สึกเฉยๆมีสองนัยยะคือ เฉยเพราะถูกโมหะครอบงำ เฉยแบบนี้ เป็นการเตรียมพร้อมที่จะเอนเอียงไปทางชอบหรือชังได้ทันที หากมีแรงกระตุ้นหรือเร้าใจมากพอ

ความรู้สึกเฉยอีกอย่างหนึ่ง คือ เฉยเพราะมีสติ สมาธิและปัญญา รู้เท่าทัน ไม่หวั่นไหวๆเฉยๆ ไม่บวก ไม่ลบ ตั้งอยู่ในทางสายกลาง ที่เปี่ยมไปด้วย สติ สมาธิ และปัญญา คอยดูแลรักษามิให้หวั่นไหวเอนเอียง

คำว่า สายกลาง คือ จุดกลางระหว่างชอบชัง ที่สติ สมาธิ และปัญญา คอยนำทาง

ส่วนการทำอะไรครึ่งๆกลางๆแต่ประกอบด้วยโมหะ เช่น มีคนมักกล่าวว่า ดื่มสุราให้ยึดทางสายกลาง คือ ดื่มเพียงครึ่งขวดพอเข้ากึ่งกลางก็หยุด หรือดื่มพอเมา ไม่มิให้เมามากนัก อย่างนี้ไม่เรียกว่า ทางสายกลาง

ทางสายกลางตามความหมายในทางพระพุทธศาสนาต้อง มีสติ สมาธิและปัญญา อันจะนำไปสู่สัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำทาง เป็นทางสายกลางระหว่างบวกลบ หรือชอบชัง

หากมนุษย์มีความรู้สึกเฉยๆอันประกอบไปด้วยโมหะ พร้อมที่จะเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าชอบหรือชังได้เสมอ

การโฆษณาขายสินค้า การโฆษณาทางศาสนา การเมือง และเรื่องอื่นๆ จึงต้องมีสิ่งจูงใจหรือ เร้าใจให้มนุษย์เอนไปข้างใดข้างหนึ่ง แล้วถูกสะกดให้อยู่กับความชอบหรือชังนั้น ที่เรียกว่า ติดใจ คือ ใจไปติดอยู่กับบ่วงแห่งความชอบชังนั้น จากนั้น เจ้าของสินค้า นักการเมือง นักการศาสนา นักต้มตุ๋นหลอกลวงด้วยความโลภและหลง ก็จะเข้าไปเก็บผลประโยชน์จากการหลงเข้าไปสู่วังวนทางแห่งความชอบชังนั้น

ผู้โฆษณาสินค้า จะนำ สิ่งที่ประชาชนชอบ มาจูงใจ กระตุ้นหรือเร้าใจจนผู้ชมผู้ฟังติดใจ ลุมหลง มัวเมา หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้น เวลาจะตัดสินใจซื้อสินค้าสักชิ้นหนึ่ง ก็จะเลือกสินค้านั้นอย่างว่าง่าย เพราะใจเข้าไปติดกับแห่งความชอบนั้นเสียแล้ว

ผู้รณรงค์ทางการเมืองต้องทำให้ผู้ฟัง ผู้ชมเอนเอียงไปทั้งความชอบและความชัง ส่วนมากจะเสนอ สิ่งที่น่าชังขึ้นมาก่อน พยายามจูงใจให้ประชาชนส่วนใหญ่เกลียดฝ่ายตรงกันข้ามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยขุดคุ้ยความชั่วร้ายของฝ่ายตรงกันข้ามมาตีแผ่ แม้ว่าความชั่วมีน้อย ก็พยายามตีไข่ใส่สีเพิ่มเติมให้น่าเกลียดน่าชังจนประชาชนแทบลุกขึ้นขับไล่ให้พ้นหูพ้นตาเลยทีเดียว แล้วก็เสนอสิ่งที่น่าชอบใจของตัวเองให้ประชาชนได้ทราบเข้าทำนองที่ว่า เอาความดีใส่ตัว เอาความชั่วใส่คนอื่น เมื่อประชาชนเคลิบเคลิ้มหลงไหล จะนำไปทางไหนก็ง่าย เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งก็ต้องเลือกตนเอง

หากมองนักการเมืองจากเวทีรณรงค์ทางการเมืองที่โยนความชั่วใส่คนอื่นจะพบว่า นักการเมืองทุกคนเลวพอๆกัน เพราะต่างฝ่ายต่างบอกว่าฝ่ายตรงกันข้ามกับตนเลวทั้งนั้น

แต่หากมองหรือฟังการรณรงค์ทางการเมืองจากฝ่ายที่เสนอความดีเข้าตัว ก็จะพบว่า นักการเมืองทุกคนดีเหมือนกันหมด

ส่วนเวลาปฏิบัติจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริงหรือไม่ ประชาชนก็ประจักษ์ด้วยสายตาของตนเอง

ชีวิตมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของเวทนา ย่อมจะต้องหวั่นไหววุ่นวาย เดือดร้อนไปตามแรงจูงใจต่างๆที่หลั่งไหลมารอบทิศ ย่อมมีชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์ทรมานเพราะพิษภัยแห่งความชอบชัง ส่วนมนุษย์ใดเข้าใจเวทนาตามความเป็นจริงว่า เวทนาที่บ่าไหลมาจากทั่วทิศกี่หมื่นกี่พันกี่แสนกี่ล้านอย่าง สรุปแล้วเหลือเพียงสิ่งที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ ที่ก่อให้เกิดความชอบชังเท่านั้น

ทุกครั้งที่ความชอบชังไหลเข้ามาสู่ชีวิต ทุกอย่างล้วนไหลออกไปตามกาลเวลา ผู้ใดเข้าใจเวทนาว่าเป็นเพียงมายาแห่งความชอบชังแล้วตั้งอยู่ในสติ สมาธิ และปัญญาอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหวเพราะเวทนาทั้งหลายประดุจภูเขาศิลาแท่งทึบไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมที่พัดมาจากทั่วทิศ ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้พิชิตโลกอย่างแท้จริง เพราะโลกทั้งโลกอยู่ในอำนาจของเวทนา เมื่อคุมเวทนาได้ ก็เท่ากับคุมโลกไว้ทั้งโลกนั้นเอง

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple