วัดพุทธปัญญา

บทความ\48.ภาวนากับธรรมชาติ

48.ภาวนากับธรรมชาติ

คราวหนึ่งเมื่อพระราหุลได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ได้ทรงสอนวิธีการฝึกจิตหรือการเจริญภาวนาแก่พระราหุล โดยตรัสให้เจริญภาวนาหรือฝึกจิตให้มีสภาพเป็นเช่นกับธาตุที่มีอยู่ตามธรรมชาติคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ และชี้แจงผลของการเจริญจิตภาวนาแบบนี้เอาไว้ว่า เมื่อเธอเจริญภาวนาหรือฝึกจิตให้เห็นเช่นกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ นี้แล้ว ผัสสะที่น่าพอใจก็ตาม และไม่น่าพอใจก็ตาม ที่เกิดขึ้นแล้วจะครอบงำจิตไม่ได้

จุดประสงค์ของการเจริญภาวนาจึงอยู่ที่การรักษาจิตให้เป็นอิสระจากการครอบงำของความยินดีและยินร้าย จิตที่ยังมิได้ฝึกโดยทั่วไป เมื่อสิ่งที่น่าพอใจผ่านมาก็ยินดีชอบใจ สิ่งที่ไม่น่าพอใจผ่านมาก็อึดอัดขัดเคืองเบื่อระอา แต่จิตที่เป็นอิสรภาพ คือจิตที่บริสุทธิ์ มั่นคง ไม่หวั่นไหว พร้อมที่จะรับรู้สิ่งที่ผ่านมากระทบทั้งยินดีและยินไร้ได้อย่างมั่นคงเป็นปกติ

พระองค์ได้ชี้ชัดลงไปที่ ความยินดีหรือยินร้าย จะถือโอกาสครอบงำใน ขณะที่ผัสสะนั้นแต่ละครั้ง และพระองค์ก็อธิบายเปรียบเทียบความปล่อยวางของ ว่าง สงบจากการปรุงแต่งของจิตด้วยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ ซึ่งหมายถึงช่องว่าง โดยยกมาเปรียบเทียบแต่ละอย่างว่า

ดูกรราหุลเปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้างลงบนแผ่นดิน แผ่ดินไม่เคยเบื่อระอาหรือรังเกียจฉันใด การเจริญภาวนาที่เสมอด้วยแผ่นดินก็ฉันนั้นนั่นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดิน ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จะไม่ครอบงำจิตได้

ดูกรราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายล้างของสะอาดบ้าง ล้างของไม่สะอาดบ้าง ทิ้งคูถบ้าง ทิ้งมูตรบ้างน้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงในน้ำ น้ำจะอึดอัด เอือมระอาหรือเกลียดสิ่งนั้นก็หาไม่ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำฉันนั้นนั่นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

ดูกรราหุล เปรียบเหมือนไฟที่เผาของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ไฟจะอึดอัดหรือเอือมระอา หรือเกลียดสิ่งนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟฉันนั้นนั่นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ ที่เกิดแล้วจักไม่ครอบงำจิตได้

ดูกรราหุลเปรียบเหมือนลมย่อมพัดต้องของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลมจะเอือมระอาหรือเกลียดของนั้น ก็หาไม่ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยลมก็ฉันนั้นนั่นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่นั้น ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจที่เกิดขึ้น จักไม่ครอบงำจิตได้

ดูกรราหุลเปรียบเหมือนอากาศย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศฉันนั้นนั่นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จะครอบงำเธอไม่ได้

จากพระพุทธวจนะและคำเปรียบเทียบก็พบว่า สิ่งสำคัญที่พระองค์ทรงสอนให้ฝึกจิตก็คือ การรักษาจิตให้ปกติไม่เอนเอียงหวั่นไหวไปทางความพอใจเมื่อถูกอารมณ์ที่น่าพอใจมากระทบ และไม่เอียงไปทางความไม่พอใจเมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจมากระทบ

กำหนดรู้ผัสสะทุกครั้งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปตามหน้าที่ที่ประสาทสัมผัสจะพึงรู้ตามธรรมชาติ เป็นการวางจิตไว้ตรงกลางอย่างมั่นคง เป็นการเจริญหรือเดินตามทางสายกลางอย่างแท้จริง

รับรู้สิ่งที่เข้ามากระทบทุกอย่าง แต่ปล่อยผ่านพ้นไปไม่ยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้สักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบ โดยเปรียบ ความหนักแน่นเหมือนแผ่นดินไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆต่อสิ่งทั้งหลายที่ทิ้งลงไป

หรือทำใจให้ใสสะอาดพร้อมที่จะล้างสิ่งต่างๆให้สะอาดสะอ้านแต่ทว่าทำหน้าที่ล้างโดยไม่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบว่าชอบหรือชังแต่อย่างใดคงปล่อยให้ผ่านไป เมื่อล้างเสร็จแล้วก็เสร็จสิ้นกัน ไม่เรียกร้องทั้งความสำคัญหรือผลักใสไล่ส่ง

ทำใจให้มีพลังดั่งไฟที่สามารถจัดการกับสิ่งดีหรือสิ่งร้ายให้ผ่านพ้นไปโดยไม่เลือกปฏิบัติว่าอะไรควรทำยึดหรืออะไรควรปล่อย แต่ปล่อยให้ผ่านพ้นไปทุอย่างเหมือนไฟที่ไม่เคยเลือกไหม้ว่าจะไหม้เฉพาะสิ่งที่เกลียดหรือชอบแต่ไหม้ทุกอย่างอย่างเสมอภาค จิตใจที่ฝึกดีแล้วก็ทำงานได้ทุกอย่างจนแล้วเสร็จแต่ไม่พกอะไรติดใจมาสักอย่าง คงมีใจแต่ที่ว่างโล่งเกลี้ยงเกลาเหลืออยู่

ทำใจให้เห็นสิ่งทั้งหลายว่า ผ่านมาแล้วผ่านไปดังสายลมพัด แม้จะกระทบสิ่งใด ก็กระทบแล้วผ่านไป ไม่ติดใจอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ลมเคลื่อนคล้อยพัดผ่านไปแล้วไม่หวนกลับฉันใดสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจชั่วขณะก็ดับไปไม่หวนคืนมาอีก

ทำใจให้เหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ใดทั้งนั้น ผัสสะทั้งหลายเกิดแล้วก็สลายไปหมดหาตัวตนที่จะดำรงอยู่อย่างยั่งยืนถาวรไม่ได้

กล่าวโดยสรุปภาวนาวิธีแบบนี้มีจุดประสงค์อยู่ที่ความปล่อยวางสิ่งทั้งปวง เมื่อมีหน้าที่ต้องรับรู้ ก็ล้วนรับรู้สักว่ารับรู้แล้วปล่อยผ่านไป เมื่อกฎธรรมชาติมีแต่ไหลเรื่อยไปก็ไม่ขัดขืนแต่มองเห็นตามความเป็นจริง ก็ไม่มีสิ่งใดเหลือถ่วงใจให้หนักอีกต่อไปคงเหลือแต่ความว่างโล่งดังอากาศฉะนั้น

การที่พระพุทธเจ้าสอนให้พระราหุลตระหนักศึกษา รู้จักฝึกจิตให้อยู่ในสภาพที่คล้ายๆกับธาตุที่มีอยู่รอบๆตัวเรานี้ เพราะชีวิตประจำวันที่เคลื่อนไหวไปมา สัมผัสกับธาตุต่างๆอยู่ตลอดเวลา

เมื่อมองเห็นกายไม่ว่าส่วนใดก็พบธาตุทั้งห้าปรากฏอยู่ทันที เมื่อมองออกไปนอกกายก็เห็นธาตุทั้งห้าปรากฏอยู่ แม้แต่แหงนมองดูฟ้า ก็เห็นอากาศธาตุคือความว่างปรากฏอยู่ ผู้ที่กำลังเจริญภาวนาโดยใช้ธาตุห้าเหล่านี้เป็นพื้นฐานก็จะสามารถทำจิตให้สงบและมั่นคงได้ง่ายเพราะไปที่ไหนก็พบแต่ดินน้ำไฟลมและอากาศธาตุอยู่ตลอดเวลา

การศึกษาวิชาสงบเย็นของพระพุทธเจ้า เป็นการศึกษาที่ใช้โลกกว้างเป็นมหาวิทยาลัย สิ่งทั้งหลายที่ประกอบขึ้นมาจากดินน้ำไฟลมและอากาศก็เป็นอุปกรณ์และสื่อ ที่จะนำจิตให้เข้าถึง ความสงบ มั่นคง อ่อนโยนและเยือกเย็น ด้วยเหตุนี้เองพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ธรรมะมีอยู่คู่โลกตถาคตอุบัติขึ้น เพื่อค้นพบ เปิดเผย ประกาศ บอกให้ทราบโดยทั่วกัน พระธรรมมีอยู่ในทุกชีวิต อยู่รอบๆตัวทุกอย่างก้าว เพียงมอบกายใจให้พระธรรมแล้วจะพบกับความชุ่มฉ่ำเบิกบาน เพราะพระธรรมยังคงเป็นอมตะตลอดกาล

วันที่ 22 เมษายน 2547 เวลา 2.14 น. ยามบ่าย

ในโอกาสที่มาพำนักที่วัดพุทธปัญญาครบสองปีเต็ม

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple