วัดพุทธปัญญา

บทความ\47. ต้องสู้

47. ต้องสู้

เมื่อหลายปีที่แล้ว นักร้องของไทยคนหนึ่งบ้านเกิดอยู่นครราชสีมา มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า เจินเจิน นามสกุลเป็นภาษาถิ่นว่า บุญสูงเนิน ได้ร้องเพลงๆหนึ่งที่ดีทั้งสาระ เนื้อร้องและทำนอง เป็นเพลงที่โด่งดังไปทั่วประเทศ จำชื่อเพลงไม่ได้แล้ว แต่จำเนื้อร้องท่อนสั้นๆได้ว่า สามสิบลิขิตฟ้า เจ็ดสิบต้องฝ่าฟัน ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ

เพลงนี้สะท้อนความจริงว่า หากใครจะเชื่อว่าชีวิตนี้ฟ้าลิขิต จะรุ่งเรืองหรือตกต่ำขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต ก็มีสิทธิ์เชื่อได้ แต่อย่าเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ เชื่อสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ก็พอ เพื่อเป็นเครื่องปลอบใจ สำหรับผู้ที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ แต่จะต้องเเชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง และขยันหมั่นเพียร ลงมือกระทำอย่างจริงจังอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์

แม้ความจริงจะปรากฎตามกฏอนิจจังว่า มีขึ้น มีลง มีแพ้ มีชนะ มีมืดมีสว่างสลับสับเปลี่ยนกันไป ณ ที่ใดมีการต่อสู้ก็ต้องมีทั้งแพ้ทั้งชนะ แต่การต่อสู้กับอุปสรรคที่ผ่านมาในชีวิต ด้วยความทุ่มเท ตั้งใจ จริงจัง ขยัน อดทน ศึกษาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยุทธวิธีไปเรื่อยๆโอกาสชนะย่อมมีมากกว่าความพ่ายแพ้

ดังมีนิทานที่จะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ท้องทุ่งกว้าง ที่มีธารน้ำใสเย็นไหลผ่านชั่วนาตาปี ทำให้บริเวณท้องทุ่งมีความชุ่มชื้นประเภทดินดำ น้ำชุ่ม ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆบริเวณจึงเขียวชอุ่ม ใกล้ๆท้องทุ่งนั้นก็เป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เป็นที่พักพิงของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่ต้องการความร่มเย็นจากร่มไม้ที่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น

วัวฝูงหนึ่งจำนวนหนึ่งร้อยตัว อาศัยอยู่บริเวณท้องทุ่ง มันจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆแต่ไม่ไกลไปจากท้องทุ่งที่แสนจะอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ต่อมาไม่นาน เสือหนุ่มตัวหนึ่งก็เดินทางมาถึงแผ่นดินอันเขียวขจีนี้ และยึดเอาภูเขาเป็นที่อาศัย เพราะได้ทั้งสถานที่แฝงเร้นกายอย่างมิชิด และมีสัตว์ต่างๆที่สามารถจับกินเป็นอาหารได้อยู่มากมาย

อยู่มาวันหนึ่งเสือเห็นวัวฝูงใหญ่นั้น พากันเดินทอดน่องแทะเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งอยู่สุขสำราญ ก็แอบกระหยิ่มใจว่า นอกจากจะได้พบถิ่นที่อยู่ที่แสนจะร่มเย็นมั่นคงแล้ว ก็ยังได้พบอาหารอันโอชะเดินขวักไขว่อยู่เต็มทุ่ง อีกด้วย

เมื่อเสือรู้สึกหิวขึ้นมาก็ลงจากภูเขา ไล่ตะปปขบกัดวัวตัวใดตัวหนึ่งแล้วลากไปไว้ที่เชิงเขา ค่อยๆกินจนเนื้อหมดเหลือแต่โครงกระดูกแล้วก็ลงมาตะปบขบกัดวัวตัวอื่นๆต่อๆกันไป เอาตามชอบใจ ไม่เคยมีวัวตัวใดคิดสู้เลย ฝูงวัวจะมีปฎิกิริยาโต้ตอบเสือบ้างก็เพียงแต่วิ่งหนีให้พ้นจากกรงเล็บของเสือเท่านั้น

วัวฝูงนั้นจึงอยู่ในสภาพระวังภัย วัวตัวไหนกำลังดี ฝีเท้าดีก็วิ่งหนีเอาตัวรอดจากกรงเล็บเสือไปได้ วัวตัวไหนเล็กเกินไปหรือแก่เกินไปไม่มีกำลังพอที่จะวิ่งได้เร็วก็ถูกเสือตะปบขบกัดอย่างทรมานแล้วก็ตายกลายเป็นอาหารเสือไป

วัวได้เรียนรู้และเชื่อต่อๆกันมาว่า ถ้าเห็นเสือมาต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด ใครหนีเร็วก็รอด ใครหนีช้าก็ตาย เพราะมีความเชื่อฝังหัววัวมานานว่า เสือต้องเก่งกว่าวัวเพราะล้มวัวได้

กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ประธานวัวจึงหันมาสำรวจจำนวนวัวทั้งฝูงเหลือเพียงเจ็ดสิบตัว ถูกเสือกินไปสามสิบตัว หัวหน้าวัวจึงเรียกประชุมวัวทั้งหมดเพื่อแจ้งข่าววิกฤตกาลดังกล่าวให้ทราบโดยทั่วกัน จากนั้นได้อภิปรายถึงสาเหตุของการหายไปของเพื่อนในฝูงอย่างกว้างขวาง และสรุปลงที่สาเหตุสำคัญว่า เพราะเสือลงมาขบกัดกินเป็นอาหารนั้นเอง

จากนั้นก็อภิปรายกันต่อว่า จะหนีเสือไปอยู่ที่ไหนกันดี วัวแต่ละตัวก็เล่าประสบการณ์ว่า ไปหากินมาหลายท้องทุ่งแล้ว แต่ไม่ว่าที่ไหนจะมีหญ้าและน้ำอุดมสมบูรณ์เช่นที่นี้เลย ควรจะอยู่ที่นี้ต่อไป ประธานวัวได้ถามต่อไปอีกว่า เราจะปล่อยให้พี่น้องในฝูงตายต่อไปหรือจะทำอย่างไรให้พ้นภัยจากเสือ

วัวตัวหนึ่งเป็นวัวหนุ่มรูปร่างปราดเปรียว ฝีเท้าเร็วก้าวออกมาต่อหน้าที่ประชุมแล้วตะโกนดังๆว่า ต้องสู้ ต้องสู้ วัวอื่นๆที่ได้ฟังก็ตกใจว่าทำไมวัวหนุ่มอายุน้อยแต่บังอาจไปพูดคำว่า สู้ กับเสืออย่างนั้น ท่านประธานวัวก็เลยถามวัวหนุ่มตัวนั้นว่า จะสู้อย่างไร

วัวหนุ่มเสนอแผนยุทธศาสตร์ว่า พวกเราชาววัวมีเขาตัวละสองข้าง แต่เสือไม่มีแม้แต่เขาเดียว สิ้นเสียงเสนอ วัวที่อยู่ในที่ประชุมต่างร้อง มอมอ ออกมาด้วยความประหลาดใจว่าคิดได้อย่างไระนะ วัวหนุ่มจึงชี้ให้เห็นว่า ท่านทั้งหลายเห็นคุณค่าของตัวเองหรือยังว่า พวกเราชาววัวได้เปรียบเสือมากเพราะพวกเรามีเขาตัวละสองเขา เจ็ดสิบตัวก็ร้อยสี่สิบเขา ถ้าร้อยสี่สิบเขากระแทกเข้าไปตรงตัวเสือพร้อมๆกันอะไรจะเกิดขึ้น

วัวที่ฟังอยู่ในที่ประชุมทุกตัวตอบด้วยความมั่นใจว่า เสือเละ เสือเละ เสือเละ สิ้นเสียงตอบของวัวในฝูง วัหนุ่มก็กล่าวต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น ขอให้พวกเราจับกลุ่มกันให้แน่น เวลาเคลื่อนที่ไปกินหญ้ากินน้ำที่ไหนให้ไปพร้อมๆกัน นอนรวมในที่เดียวกัน อย่าแตกฝูง แตกหมู่ จะได้มีกำลังต่อสู้กับเสือได้

วัวหนุ่มกำหนดยุทธวิธีต่อไปว่า เมื่อเราอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนใหญ่ก็จะสามารถป้องกันความสูญเสียได้ เวลาที่เราเห็นเสือลงมาจากภูเขาต้องรีบลุกขึ้นทันที วัวที่มีกำลังดีที่สุดสิบตัวยืนแถวหน้า วัวที่มีกำลังปานกลางอยู่แถวถัดมาตามลำดับ ส่วนวัวแก่และลูกวัวอ่อนให้อยู่หลังสุด เมื่อเสือเดินเข้ามาระยะใกล้จงวิ่งเข้าชนเสือพร้อมๆกันทั้สิบตัวอย่าให้เสือทันตั้งหลัก ถ้าสิบตัวแรกไม่สามารถจะปะทะเสือได้ ขอให้สิบตัวต่อไปพุ่งเข้าเสริมกำลัง

วันต่อมาเสือมองเห็นวัวแทะเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งอย่างพร้อมเพรียงก็คิดว่า อยู่พร้อมหน้าพร้อมตัวกันอย่างนี้ดีแล้วจะได้เลือกกินได้ตามชอบใจ คิดดังนั้นแล้วก็เดินตรงมายังฝูงวัวโดยไม่ได้ระมัดระวังตัวแต่อย่างใด มัวแต่มองว่าจะเลือกกินตัวไหนดีที่เนื้อนิ่มและหวาน

พอเสือเข้ามาไม่ใกล้นัก ฝูงวัวชุดแรกก็ออกวิ่งพุ่งใส่เสือโดยที่เสือยังไม่ทันตั้งตัว ยี่สิบเขาเสียบร่างเสือพร้อมกัน เสือดินรนด้วยความตกใจ แต่สายเกินไปเสียแล้วเสือหมดหนทางป้องกัน แม้แต่จะวิ่งหนีเอาตัวรอดก็ยังทำไม่ได้

วัวหนุ่มเจ้าของยุทธศาสตร์วิ่งปราดมายืนใกล้ๆผู้กล้าหาญทั้งสิบ ที่เขายังเสียบคาร่างเสืออยู่ กล่าวว่า พี่น้องทั้งหลายบัดนี้เจ้าวายร้ายที่คร่าชีวิตพี่น้องของเราไปมากมาย ก็จบชีวิตลงแล้ว ต่อแต่นี้ไป ทุ่งหญ้าเขียวและธารน้ำใสก็จะเป็นสมบัติของพวกเราสืบไป พวกเราจะเดินแทะลมหญ้าอย่างตั้งใจโดยไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใดๆอีกต่อไป

พี่น้องเห็นแล้วหรือยังว่า ความจริงของดีที่จะป้องกันอันตรายก็มีอยู่บนหัวของพวกเราเท่าๆกัน แต่ตราบใดที่เรายังไม่เห็นคุณค่าของตนเองเราก็ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เลย สิ่งสำคัญที่พวกเราควรตระหนักไว้คือ ตราบใดที่พวกเราต่างตัวต่างอยู่ตัวใครตัวมัน สุดท้ายอันตรายจะมาถึงตัว แต่เมื่อใดเรารวมพลังขึ้นสู้ ศัตรูที่น่ากลัวก็จะพ่ายแพ้ย่อยับไปอย่างง่ายดาย แล้ววัวทุกตัวตะโกนขึ้นพร้อมกันว่า ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple