45. อิทธิพลของการคบหา
เมื่อฉันเริ่มจำความได้ แม่พาฉันไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ บางครั้งฉันนั่งตักแม่หรือนั่งคลอเคลียข้างๆแม่ ขณะที่แม่กำลังนั่งรับศีลหรือฟังธรรม ฉันสนใจบ้างไม่สนใจบ้าง แต่หลายครั้งที่ตั้งนั่งฟังอย่างสงบ เพราะเรื่องที่พระท่านเทศน์มีนิทานที่เด็กจะฟังได้ด้วย
ฉันเคยฟังพระท่านเทศน์แล้วจำนิทานเรื่องนกแขกเต้าได้จนกระทั่งวันนี้ พอพระท่านเอ่ยถึงนกแขกเต้า เด็กๆอย่างฉันได้ยินก็ต้องฟังอย่างใจจดใจจ่อ เพราะมีเรื่องเล่าของชาวบ้านว่า ถ้าจับนกแขกเต้ามาฝึกให้ดี โตขึ้นก็ตัดลิ้นมันโดยเอาเงินรอง เอาทองขูดแล้วนกแขกเต้าจะพูดได้เหมือนกับคนพูดทุกอย่าง
ฉันเองคงเพียงแต่ได้ยิน อยากได้ยินนกแขกเต้าพูดสักครั้งหนึ่ง แต่สิ่งทีฉันไม่อยากพบไม่อยากเห็น ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริงคือ การตัดลิ้นนกเพื่อให้คนได้รับความเพลิดเพลินจากการพูดของนก ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แม้จะบอกว่าเอาเงินรอง เอาทองมาขูดก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะนกมันคงเจ็บน่าดู นกมันคงไม่ตื่นเต้นกับเงินและทองที่เอามารองลิ้นมันจนหายเจ็บไปได้หรอก
พอพระพูดถึงนกแขกเต้า ฉันก็ต้องหยุดเงี่ยหูฟังอย่างสงบ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับสิ่งที่เคยได้ยินมา พระท่านเริ่มเล่าว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกแขกเต้าผัวเมียอยู่คู่หนึ่ง พากันทำรังอยู่บนยอดไม้ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา เมื่อทำรังเป็นที่พักพิงตามความปรารถนาแล้ว แม่นกก็ออกไข่มาสองฟอง ทั้งแม่นกและพ่อนกช่วยกันกกไข่ให้ความอบอุ่นจนกระทั่งถึงกำหนด ลูกนกสองตัวก็ออกมาจากฟองไข่ทั้งสอง
พ่อและแม่นกดีใจเป็นอย่างมากที่มีลูกน่ารักพร้อมกันถึงสองตัว ต่างเฝ้าทะนุถนอมดูแลมิให้คลาดสายตา ยามที่แม่นกอยู่กับลูกในรวงรัง พ่อนกก็ไปหาอาหารธัญญพืชต่างๆมาเลี้ยงดูมิให้ขาดแคลน จนกระทั่งลูกนกทั้งคู่โตวันโตคืนขึ้นตามลำดับ ขนของลูกนกก็งอกเพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป แต่ไม่ถึงเวลาที่พ่อแม่จะสอนบิน
จนกระทั่งวันหนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เวลาดึกสงัด พายุหมุนที่พัดมาตามแม่น้ำคงคาก็หอบเอารังนกบนยอดไม้หายไปตามกระแสลม รวงรังที่ทำด้วยใบไม้ใบหญ้าอย่างง่ายๆ พอเจอลมแรงอย่างนั้นก็ปลิวว่อนไปคนละทิศคนละทาง พ่อแม่ลูกนกก็ล่องลอยไปตามกระแสลมที่พัดผ่าน
แม่นกก็ไปทางหนึ่ง พ่อนกก็ไปทางหนึ่ง ลูกนกทั้งสองตัวก็ถูกลมพัดไปคนละทิศคนละทาง ครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นด้วยความรักต้องพลัดพรากจากไปอย่างกระทันหัน เป็นปรากฏการณ์ของความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นบนโลกและสากลจักรวาฬนี้บ่อยๆ
เช้าตรู่พระฤษีที่บำเพ็ญความเพียรอยู่ในอาศรมไม่ไกลจากแม่น้ำคงคานักก็ออกหาผลไม้ป่ารับประทานตามปกติที่เคยทำมา ได้เห็นดอกไม้ดอกหนึ่งในระหว่างช่อดอกไม้อื่นๆห้อยย้อยลงต่ำเป็นพิเศษเสมือนว่ามีอะไรมาถ่วงให้ห้อยย้อยต่ำลงมากอย่างนั้น จึงเดินเข้าไปดู พบลูกนกแขกเต้าตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่ดอกไม้นั้นเอง
พระฤษีเห็นว่าลูกนกยังเล็กไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ คงพลัดพรากจากรังมาพร้อมกับพายุหมุนเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นแน่ คิดดังนั้นแล้ว จึงค่อยประคองลูกนกแขกเต้าอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน แล้วนำมาอาศรมวางลูกนกลงบนผ้าเก่าๆผืนหนึ่งเพื่อให้ลูกนกได้รับความอบอุ่นเพียงพอ ต่อมาพระฤษีได้ตั้งชื่อว่า ปุปผกะ ซึ่งแปลว่าดอกไม้
ในป่าลึกไกลเข้าไปจากหมู่บ้านที่ผู้คนอาศัย กลุ่มโจรกลุ่มใหญ่มีจำนวนประมาณห้าร้อยคนอาศัยอยู่ หัวหน้าโจรตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อตรวจดูพวกโจรทั้งหลายที่นอนอยู่ตามที่ต่างๆในบริเวณนั้น ดูอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะได้ออกปล้นในภาคกลางวันอันเป็นกิจวัตรที่เคยทำมาตามปกติ พลันเดินไปเห็นนกแขกเต้าน้อยตัวหนึ่ง นอนอยู่บนกองหอก หัวหน้าโจรเห็นแล้วนึกรักนกขึ้นมาคิดว่า จะฝึกเป็นนกสื่อสารได้จึงรีบจับขึ้นมาอุ้มและตั้งชื่อว่า สัตติกุมภะ ซึ่งแปลว่าเจ้ากองหอก
กาลเวลาผ่านไปนานเป็นปีจากวันเกิดเหตุ พระราชาองค์หนึ่งเสด็จประพาสป่าเพียงลำพังพระองค์ ได้พลัดหลงเข้าไปในป่าลึก รู้สึกอ่อนเพลียกับการเดินทาง จึงหยุดรถม้าและเอนพระองค์หลับไปใต้คนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อพระองค์เคลิ้มหลับไปสักครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากบนต้นไม้ว่า เพชรก็งาม ทองก็งาม เงินก็งาม เดี๋ยวต้องบอกเจ้านายมาปล้นแล้วฆ่าทิ้ง
พระราชาทรงตื่นบรรทมเหลียวซ้ายแลขวาทรงพระดำริว่าจะมีภัย ก็ไม่เห็นใครเห็นแต่นกแขกเต้าเกาะอยู่บนยอดไม้ตัวเดียว รู้สึกพระองค์ว่าต้องหนีไปให้ไกลที่สุดและเร็วที่สุด ทรงดำริดังนั้นแล้วก็ขึ้นรถม้าขับออกจากที่นั้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ออกจากป่าใหญ่ถึงป่าละเมาะเห็นอาศรมฤษีจึงได้หยุดรถม้าแล้วเดินเข้าไปหวังว่าจะได้ถามทางเพราะพระองค์ทรงหลงทางเสียแล้ว
เมื่อเสด็จเข้าไปใกล้อาศรมก็ได้ยินเสียงนกแขกเต้าพูดว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว ขอพระองค์จงดื่มน้ำเย็นๆเสวยผลไม้สดๆก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ
พระราชาได้สดับเสียงนกแขกเต้าก็ทรงตกพระทัยยิ่งนัก เพราะทรงดำริว่าน่าจะมีภัยมาใกล้พระองค์อีก เพราะนกตัวนี้ก็คงเป็นนกตัวเดียวกันที่พูดให้พระองค์ตกพระทัยหนีมานั้นเอง พระองค์ทรงเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นทอดพระเนตรพระฤษีก็มีพระทัยชื้นขึ้นมาแล้วเล่าพระดำริดังกล่าวให้พระฤษีฟัง
พระฤษีครั้นรับเสด็จแล้วอธิบายให้พระราชาทรงรับทราบว่า นกแขกเต้าตัวนี้และตัวที่พระองค์ได้พบมาก่อนหน้านี้ เป็นพี่น้องกันต้องพลัดพรากเมื่อคราวพายุหมุนพัด ตัวหนึ่งไปตกอยู่ในสำนักของโจร เมื่อเห็นโจรพูดและคิดอย่างไรนกก็พูดและคิดอย่างนั้น พอเห็นใครมีเครื่องประดับมากก็คิดว่าน่าจะปล้นดังที่โจรคิด แต่นกตัวนี้อยู่กับฤษีก็ได้รับการเลี้ยงตามวิถีแห่งฤษี เวลาเห็นใครผ่านมานกต้องเรียกเข้ามา โอภาปราศรัยด้วยน้ำใจอันงาม ดังที่ฤษีได้ปฏิบัติต่อทุกคนและทุกชีวิต
พระราชาได้ฟังจึงสรุปว่า การคบหาสมาคมและการฝึกอบรมมีอิทธิพลมากถึงเพียงนี้แม้แต่สัตว์ที่เติบโตมาจากพ่อแม่เดียวกันเมื่อนำไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันลักษณะนิสัยก็แตกต่างกันไปตามสิ่งแวดล้อมที่เติบโตมานั้น
ด้วยความประทับใจในนกแขกเต้าที่ได้กล่าวคำปฏิสันฐารพระองคือย่างไพเราะจับใจ ต่อมาพระองค์จึงประกาศเขตป่าริมฝั่งแม่น้ำคงคาแถบนั้นทั้งหมดเป็นเขตอภัยทาน ห้ามใครทำร้ายเนื้อและนกทุกชนิด เพราะสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายไม่เคย พูดร้ายหรือให้ร้ายใครจะมีก็แต่มนุษย์นี้แหละที่เบียดเบียนทำร้ายกันไม่รู้จักจบสิ้น
นิทานก็จบลงแค่นี้อ่านแล้วจะเอาคติเตือนใจอะไรจากนิทานเรื่องนี้ก็เลือกเอาตามชอบใจ
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple