42.สภาเป็นที่รวมของคนดี
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดล่าสุดของประเทศไทยได้ประชุมกันเพื่ออภิปรายนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ก่อนที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารประเทศตามรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศฉบับชั่วคราวได้บัญญัติไว้
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อรับทราบและอภิปราย ซักถามนโยบายรัฐบาลครั้งนี้ ชี้ให้เห็นการปฏิรูปคือทำให้เหมาะสมขึ้นหรือดีขึ้นในหลายๆด้าน ลักษณะการอภิปรายแม้จะไม่ดุเด็ดเผ็ดมันดังที่คอการเมืองบางคนโปรดปราน แต่หากติดตามฟังกันให้ดีๆแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คำอภิปรายของแต่ละท่านเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระที่หนาแน่น ตามมุมมองของแต่ละสาขาอาชีพ
บรรยากาศการประชุมดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่วุ่นวาย คำพูดที่ใช้ในการอภิปรายโดยรวมแล้ว ก็เลือกใช้คำได้อย่างเหมาะสมกับเรื่องที่อภิปรายไม่ใช้คำหยาบคาย ก้าวร้าย โวยวาย หรือเสียดสี แต่มีลักษณะระดมสมองจากมุมมองของผู้มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมากกว่าการเล่นสำนวนโวหารเพื่อเชือดเฉือนประหัตประหารกัน
คณะรัฐมนตรีนำโดยท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก สุรยุทธ์ จุลลานนท์ มีท่าทีเปิดใจรับฟังคำอภิปรายด้วยความสนใจ หลายๆประเด็นที่สมาชิกสภานิติบัญญัติอภิปรายไปแล้ว ฝ่ายบริหารตอบรับที่จำดำเนินการตามที่คำแนะนำนั้น หลายเรื่อง เช่นเรื่อง FTA รัฐมนตรีที่รับผิดชอบได้ตอบสภาว่า จะไม่รวบหัวรวบหางเซ็นสัญญาไปตามำนาจที่มีอยู่แต่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน เมื่อเห็นชอบกันอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น
ท่านรัฐมนตรีว่าผู้รับผิดชอบได้จัดวาระเกี่ยวกับเรื่อง FTA ไว้ว่า จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเสียก่อน เมื่อผ่านคณะรัฐมนตรีแล้วต่อไปก็จะ ส่งให้ประชาชนได้ทำประชาพิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง เมื่อประชาชนทำประชาพิจารณ์แล้ว จะส่งให้สภานิติบัญญัติพิจารณากันอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุมแล้วจึงตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป
นี้คือ สัมพันธภาพระหว่างสภานิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในยุปฏิรูป
เมื่อมองโลกกันเสร็จแล้ว ต่อไปกลับมามองธรรมกันบ้างว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องของสภาและสมาชิกสภาไว้อย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าเป็นพระบรมครูที่สอนพุทธบริษัทได้อย่างไม่มีขีดจำกัดไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครอยู่ในหน้าที่อะไร เมื่อพบพระพุทธเจ้าแล้วย่อมจะได้รับแสงสว่างไปนำทางชีวิตให้ได้รับความสุขได้ตามสถานะของตนๆโดยไม่ต้องออกบวชเป็นพระสงฆ์เสียทั้งหมด
พระพุทธภาษิตมีอยู่ว่า " ที่ใดไม่มีสัตบุรุษ ที่นั้นไม่เป็นสภา ผู้พูดไม่กล่าวธรรม ก็ไม่ชื่อว่าเป็นสัตบุรุษ" หรือ ภาษาบาลีว่า เนสา สภา ยตฺถ น สนฺติ สนฺโต สนฺโต น เต เย น วทนฺติ ธมฺมํ
พระพุทธภาษิตบทนี้ชี้ลักษณะของสภาและสมาชิกสภาไว้ชัดเจนว่า
หากจะประยุกต์หลักธรรมข้อนี้เข้ากับการทำงานร่วมกันของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมุ่งหวังประโยชน์และความสุขของประชาชนส่วนมากเป็นที่ตั้ง พึงทำสภาให้เป็นสภา คือหมั่นนำเรื่องที่ดีและมีประโยชน์มาเสนอฝ่ายบริหาร เพื่อนำไปบริหารประเทศได้
ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติต้องตั้งใจทำน้าที่อย่างถูกต้อง ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นฝ่ายฝันอยากจะเห็นประเทศชาติสังคมไทยอันเป็นที่รักเป็นอย่างไร ฝ่ายบริหารได้รับฟังแล้ว เข้าใจ นำเอาความฝันอันเจิดจ้านั้นไปทำให้ ฝันเป็นจริง ตามความเป็นจริง สอดคล้องกับเหตุปัจจัยต่างๆ ที่มีที่เป็นอยู่นั้น
อนึ่งสัตบุรุษที่ทำหน้าที่อยู่ในสภานอกจากจะกล่าวแต่วาจาที่ดี มีประโยชน์ กล่าวแต่เรื่องจริงมีที่อ้างอิงแล้ว ยังจะต้องตระหนักในธรรมของสัตบุรุษอีก เจ็ดประการคือ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักบุคคล รู้จักสังคม แต่ละส่วนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งลึกซึ้งทุกขั้นตอนอย่างเป็นกระบวนการ มีเป้าหมายการทำงานที่สอดประสานกับพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มุ่งประโยชน์และความสุขของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิรูปทุกด้าน ต้อง เริ่มต้นที่การปฏิรูป กาย วาจา และใจ ให้ดำเนินไปอย่างเหมาะสมเสียก่อน โดยไม่ฝากความหวังไว้กับใครหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียวที่จะนำการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมาสู่ประเทศชาติและสังคม แต่ทุกคนต้องประสานมือ ประสานงาน ประสานใจ ก้าวเดินพร้อมๆกันไปสู่อนาคตที่สดใสงดงาม เพราะแต่ละคนต่างมีความสำคัญในสถานะของตนๆไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple