3. ประวัติห้ามพระฉันในเวลาวิกาล
ั้ วันหนึ่งเวลาพลบค่ำ พระสงฆ์ก็ออกบิณฑบาตตามปกติที่เคยกระทำมาเพื่อไปแสวงหาภัตตาหารเย็นมาฉัน การบิณฑบาตนั้นคือการเดินไปเรื่อยๆไม่จำเพาะเจาะจงว่า จะไปรับอาหารที่ไหนแน่นอน ใครมีศรัทธาก็ตักบาตรตามมีตามเกิด ไม่มีกำหนดว่าจะต้องมีอาหารอะไรกี่อย่าง มีสิ่งใดที่ตนคิดว่าพอจะแบ่งปันเจือจานให้พระสงฆ์ผู้ไร้บ้านไร้เรือนได้บ้างก็ทำไปตามความเต็มใจและสบายใจ
พระสงฆ์รูปนั้นก็ออกเดินไปเรื่อยๆจนถึงบ้านหนึ่ง ลักษณะเป็นบ้านยกพื้นสูง มีประตูสองด้านมองเห็นคนเดินสัญจรไปมาได้อย่างชัดเจน วันนั้นลูกสาวของบ้านนั้น กำลังปรุงอาหารเย็นอยู่ในครัว บริเวณภายนอกมืดสนิทแล้ว เวลาจะมองอะไรต้องใช้ไฟส่อง หรือที่เรียกกันว่า เข้าไต้เข้าไฟแบบสมัยโบราณนั้นเอง
เมื่อพระสงฆ์ไปถึงบ้านนั้น จึงเลือกยืน ณ บริเวณหน้าประตูครัวด้านหนึ่ง ขณะที่ยืนอยู่ในที่มืดนั้น พอดีฟ้าแลบแปลบปลาบขึ้นมา ลูกสาวเจ้าของบ้านหันมองไปทางแสงฟ้าแลบพอดีเห็นพระสงฆ์ยืนอยู่ ตกใจสุดขีดคิดว่าผีหลอกจึงสาดน้ำล้างจานใส่จนเปียกปอน แล้วกรีดร้องขึ้นมาว่า ผีหลอก
ฝ่ายพ่อแม่และญาติๆก็นำคบเพลิง เดินมาดูว่าเป็นอะไรก็เห็นพระสงฆ์ยืนเปียกด้วยน้ำล้างจานชุ่มโชกไปทั้งตัว แถมยังมีกลิ่นอาหารติดอยู่ด้วย พ่อแม่และลูกสาวพากันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ พระสงฆ์ก็ไม่ว่าอะไรเต็มใจอภัยให้เช่นกัน
ข่าวพระสงฆ์ถูกชาวบ้านสาดด้วยน้ำล้างจานในเวลาวิกาล แพร่ไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งความทราบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเรียกประชุมพระสงฆ์จำนวนห้าร้อยรูปในธรรมสภา แล้วทรงเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ได้แสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางในเรื่องนี้
สุดท้ายก็มีบทสรุปว่า พระสงฆ์ไม่พึงฉันอาหารในเวลาวิกาลคือตั้งแต่เที่ยงไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
พระพุทธเจ้าจึงตรัสบัญญัติว่า พระภิกษุสามเณรไม่พึงฉันอาหารในเวลาวิกาล และได้ถือปฏิบัติกันตั้งแต่นั้นมา เพื่อเป็นการรบกวนพุทธศาสนิกชนให้น้อยที่สุด เพราะพระพุทธเจ้าทรงย้ำเตือนอยู่บ่อยๆว่า พระสงฆ์พึงทำตนเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่เบียดเบียนใครๆให้ลำบาก
นี้คือความเป็นมาของบทบัญญัติที่ว่า ทำไมพระสงฆ์จึงไม่ฉันอาหารในเวลาวิกาล หรือที่พูดกันง่ายๆว่า พระไม่กินข้าวเย็น จริงๆหากเป็นเวลบ่ายไปแล้วก็กินไม่ได้ ตามพระพุทธบัญญัตินี้
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple