วัดพุทธปัญญา

บทความ\28.ปัจจัยสี่

28.ปัจจัยสี่

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า มนุษย์ทั้งหลาย ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยอาศัยปัจจัยสี่ คือ เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ในทางพระพุทธศาสนาพระสงฆ์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยการอาศัยปัจจัยสี่ คือ จีวร อาหารบิณฑบาตร เสนาสนะ และเภสัช คนที่ไม่คุ้นเคยกับวัดก็พอจะทราบว่า จีวร คือผ้าที่พระสงฆ์ห่ม อาหารบิณฑบาตร คืออาหารที่ประชาชนพากันตักบาตรถวายให้พระสงฆ์ได้ฉัน แต่คำว่าเสนาสนะและคำว่าเภสัช น่าจะไม่ค่อยทราบกันนัก

คำว่า เสนาสนะ หมายถึงที่พักอาศัยของพระสงฆ์อาจจะเป็นกุฏิ หรือวิหารตามความสะดวก

ส่วนคำว่า เภสัชนั้น หมายถึงยาแก้ไข้ หากเรียกกันอย่างเต็มรูปแบบก็เรียกว่า คิลานเภสัช ซึ่งแปลตรงตัว่า ยารักษาความป่วยไข้

คำว่า ปัจจัย แปลว่า สิ่งที่ทำให้เป็นไปได้ หรือสิ่งที่ขับเคลื่อนไปได้ เช่นอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยาสำหรับรักษาโรคนั้น เป็นเครื่องขับเคลื่อนชีวิตให้เป็นไปได้

การใช้สอยปัจจัยทั้งสี่ประการ ตามหลักการในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงเน้นการตอบสนองความจำเป็นของชีวิตมากกว่า การตอบสนองความต้องการของกิเลส

เวลาที่พระสงฆ์จะใช้สอยจีวรแต่ละครั้ง พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาอย่างรอบคอบเสียก่อนว่า การห่มจีวรนั้น เพื่อป้องกันความร้อน ความหนาว ป้องกันเหลือบ ยุงริ้นไรที่จะมากัด เพื่อปกปิดอวัยวะที่ทำให้เกิดความละอาย

ผ้าจีวรของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล เย็บจากเศษผ้าที่เก็บมาจากกองขยะที่เปื้อนฝุ่นเปื้อนดิน ที่เรียกกันว่า ผ้าบังสุกุล เมื่อเย็บเสร็จแล้ว ก็ย้อมด้วยน้ำฝาดจากเปลือกไม้บ้าง น้ำจากดินที่มีสีเข้มที่เรีกยว่า ดินสีอรุณบ้าง เมื่อเย็บจีวรได้สักผืนก็ใช้กันไปได้นานๆ เมื่อขาดก็เย็บปะ ชุนกันไปจนไม่สามารถจะใช้งานตามจุดประสงค์ได้แล้วก็นำไปทำผ้าปูที่นอน ทำผ้าเพดาน ทำผ้าเช็ดเท้า หรือบางแห่ง ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆผสมดินเหนียวฉาบทาฝากุฏิหรือวิหารได้อีก นับเป็นการใช้ผ้าอย่างคุ้มค่าทีเดียว

สมัยโบราณ พระสงฆ์อาศัย อาหารบิณฑบาตรเพียงอย่างเดียวเลี้ยงชีพ ไม่มีการหุงต้มในวัดแต่อย่างใด ประชาชนถวายเท่าไร ก็รับเท่านั้น ประชาชนทั่วไปรับประทานอะไรและแบ่งถวายพระสงฆ์บ้าง พระสงฆ์ก็ฉันอาหารตามที่ประชาชนถวายนั้น ตามคติที่พระพุทธเจ้าทรงย้ำว่า พระสงฆ์ต้องทำตนให้ประชาชนเลี้ยงง่าย หรือตรงกับคำที่ว่า เป็นผู้สันโดษ ยินดีตามมีตามได้ ไม่ขวนขวายแสงหาอาหารนอกเหนือไปจากหลักการแห่งพระธรรมวินัย การรับอาหารบิณฑบาตร พระสงฆ์ต้องรับเท่าที่จะฉันได้ไม่เหลือทิ้งขว้าง เพราะอาหารแต่ละอย่างประชาชนหามาได้โดยยาก

ว่ากันตามพระวินัย เวลาพระสงฆ์รับอาหารบิณฑบาตรจะรับได้ไม่เกิน สามบาตร เต็มๆก็พอแล้ว ไม่รับด้วยอำนาจของความละโมบเพื่อเก็บหรือกักตุนไว้ เวลาประชาชนทำบุญตักบาตรจึงต้องทำพอประมาณเพื่อให้พระสงฆ์ได้ยังชีพอยู่ได้ แต่ไม่ควรถวายจนเหลือล้นฉันไม่หมดต้องนำไปทิ้งขว้าง ย่อมมิใช่ทางแห่งพระพุทธศาสนาเป็นแน่แท้

เวลาพระสงฆ์จะฉันอาหารก็ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบว่า การฉันอาหารในครั้งนั้นๆ มิใช่ฉันเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานแบบกินเลี้ยง ไม่ได้ฉันเพื่อตกแต่งหรือประดับ แต่ฉันเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ คือเจริญ ศีล สมาธิ และปัญญา ให้บริบูรณ์เท่านั้น และที่สำคัญ อาหารที่ฉันเข้าไปต้องไม่มีโทษ ยังชีพต่อไปได้ และทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างผาสุก ไม่ใช่ฉันจนอิ่มแปร้ ชนิดที่ขยับกายไม่ได้ หรือฉันน้อยเกินไปจนลุกขึ้นเดินไม่ไหว

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องรู้ประมาณในการบริโภคอาหาร

เมื่อพระสงฆ์ใช้สอยเสนาสนะ ก็ต้องตั้งใจว่า การเข้าไปอาศัยในกุฏิวิหารนั้น เพื่อป้องกัน ความร้อน ความหนาว ป้องกันเหลือบยุงริ้นไรมากัด และจะได้หลีกเร้นเพื่อการเจริญภาวนา พระสงฆ์จึงมิได้ใช้เสนาสนะเพื่อความสะดวกสบาย หรือเพื่อแสดงสถานะที่มั่งคั่งร่ำรวย แต่ใช้เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม การสร้างเสนาสนะถวายพระสงฆ์จึงไม่ต้องสร้างให้หรูหราโอ่อ่าจนเกินไป จะเป็นการสวนทางกับหลักการดั้งเดิมแห่งพระธรรมวินัยที่เน้นความเรียบง่ายใช้ประโยชน์สูงสุดเป็นหลัก

ยามพระสงฆ์ป่วยไข้ ในสมัยโบราณจะใช้ปัสสาวะมาดองสมองหรือมะขามป้อมเป็นยารักษาโรคเป็นหลัก ต่อมาเมื่อการแพทย์ก้าวหน้า ก็มียารักษาโรคประเภทอื่นๆ ซึ่งพระสงฆ์จะใช้ยาก็ต่อเมื่อป่วยไข้ แต่พระสงฆ์ไม่ควรใช้ยาบำรุงกำลังหรือยาอื่นๆที่ไม่จำเป็นต่อการรักษาสุขภาพเพราะจุดประสงค์ของการใช้ยาเพื่อระงับความป่วยไข้เท่านั้น

มนุษย์มีความจำเป็นที่จะต้องแสวงหาปัจจัยสี่เพื่อมาเลี้ยงชีวิต ก็ต้องทำงานในด้านต่างๆเพื่อเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสังคมมนุษย์ให้ก้าวต่อไปและดำรงอยู่ได้ ให้มนุษย์ใช้สอยปัจจัยสี่เท่าที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต จะมีปัจจัยสี่เหลืออยู่อีกมากมาย แต่ที่มนุษย์ช่วงชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกลายเป็นความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ไม่ใช่เพื่อการเลี้ยงชีวิตให้รอดเท่านั้น แต่ส่วนมากเหน็ดเหนื่อยกับการหาปัจจัยมาเลี้ยงกิเลสตัณหา ที่ไม่เคยแสดงทีท่าอาการให้รู้ว่า เมื่อไรจะอิ่มจะพอเสียที

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple